ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว – ตอนที่ 27.2 เหอะ ก็แค่ค่ายกลเล็กๆ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

และในอีกหนึ่งชั่วยามต่อมา…

“แปลกมาก มันไม่น่าเป็นเช่นนี้”

ขณะนี้จิ่วอูนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นที่โล่งซึ่งเต็มไปด้วยกองใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมา บีบสองมือครุ่นคิดไม่หยุด

ส่วนจิ่วซือนั้นกำลังลูบคางงดงามที่สะอาดเนียนเรียบของนาง ขณะที่เดินไปมาพร้อมกับร่ายเวทบางอย่างที่นางพอรู้มาจากค่ายกลที่นางเคยรู้จัก แต่ในยามนี้มันไม่มีผลแต่อย่างใด

ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการตามหาจิ่วจิ่วภายในค่ายกลขนาดใหญ่นี้โดยเร็วที่สุดอีกต่อไปแล้ว

สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือ พวกเขากำลัง…หลงอยู่ในค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการนี้!

ไม่ว่าพวกเขาจะบินขึ้นหรือลง พวกเขาก็จะพบว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในเขาวงกตแห่งอื่นต่อไปอีกเรื่อยๆ!

เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากถอยหนีแต่ก็ไม่อาจหาทางออกได้!

จิ่วซือพูดขึ้น “เหตุใดพวกเราไม่ระเบิดค่ายกลนี้ออกไปเลยเล่า”

“ไม่ได้ เรามาที่นี่เพื่อจับคนหรือมาเพื่อระเบิดภูเขาเล่า”

จิ่วอูยิ้มขื่นแล้วกล่าวเสริมว่า “ยิ่งไปกว่านั้นหากมีข่าวหลุดออกมาว่า พวกเราติดอยู่ในค่ายกลบนยอดเขาหยกน้อยที่ไร้เซียนเช่นนี้ แล้วพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกันเล่า”

จิ่วซือยังพร่ำบ่นต่อว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าเก่งกาจเรื่องค่ายกลหรอกรึ”

“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นค่ายกลพื้นฐานโดยแท้จริง แต่มันไม่มีวิธีชัดเจนในการแยกค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการ เราทำได้เพียงค่อยๆ สำรวจหาทางออกต่อไป มองหาช่องว่างหรือข้อบกพร่องระหว่างค่ายกล ทว่าผู้ที่วางค่ายกลเหล่านี้ เขาปกปิดช่องว่างเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเกินกว่าที่เราจะหาพบได้”

จิ่วอูตบหน้าผากของเขาและกล่าวต่อว่า “มาเถิด ข้านึกวิธีที่จะออกจากค่ายกลนี้ได้แล้ว มาลองกันใหม่อีกสักตั้ง!”

ดังนั้นในอีกหนึ่งชั่วยามต่อมา…

ปัง!

เหนือพื้นดินราวห้าฉื่อ หน้าผากแบนราบก็พุ่งกระแทกเข้ากับลำต้นของพฤกษาใหญ่

เวลานี้ดวงตาของนักพรตเต๋าร่างเตี้ยนั้นพลันขุ่นมัวจนมืดทะมึน นัยน์ตาที่ปกติเคยสดใสและกระตือรือร้น บัดนี้กลับหม่นมัวไร้ชีวิตชีวา เสื้อคลุมสีน้ำตาลบนตัวของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าและกิ่งก้านใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมา ลมปราณในร่างของเขาเองก็แปรปรวนอย่างยิ่ง

เขากระแทกหน้าผากของเขาไปที่ลำต้นของพฤกษาใหญ่อีกครั้ง ในขณะที่หัวเราะเย้ยหยันตนเองอย่างขมขื่นใจ จากนั้นเขาก็พึมพำว่า “ไม่จริง ความเข้าใจในค่ายกลของข้าล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องอุปโลกน์หาความจริงแท้ไม่ได้ทั้งสิ้นหรือนี่…

ปรากฏว่าค่ายกลพื้นฐานทั้งหลายยามรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ก็สามารถสร้างค่ายกลเขาวงกตและค่ายกลกับดักที่ระดับสูงเช่นนี้ได้ ดูเหมือนว่าข้าจะเดินผิดทางมาหลายปีแล้ว…

ข้าฝึกบำเพ็ญผิดพลาดในวิถีแห่งเต๋ามาตลอดด้วยหรือไม่ แล้วพระสูตรนิรกรรมของข้าก็ผิดด้วยเช่นกันใช่หรือไม่ ฮ่าฮ่า…กลายเป็นว่า ข้าผู้น่าสมเพชเป็นเพียงเซียนเสิ่นธรรมดาเท่านั้น ฮ่าฮ่า…”

จิ่วซือที่อยู่ข้างๆ พลันรู้สึกสิ้นหวังอับจนหนทางจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ชั่วขณะนั้นนางรีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงอย่างรวดเร็วแล้วกอดคู่บำเพ็ญเต๋าของนางเอาไว้

“ศิษย์น้องอย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้สิ พวกเราแค่ระเบิดค่ายกลนี้ออกไปเท่านั้นก็จบแล้ว”

“ไม่ ทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด ผู้ที่สามารถสร้างค่ายกลที่ทรงพลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ จะยอมให้ผู้ใดมาระเบิดมันได้อย่างไรกัน ข้าว่ามันอาจเปลี่ยนเป็นค่ายกลสังหารขึ้นมาได้ในทันที… ศิษย์พี่?”

ริมฝีปากของจิ่วอูสั่นเทาขณะเงยหน้ามองไปที่เซียนสาวแสนสวยที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้วเผยรอยยิ้มน่าเวทนาออกมา

“ที่แท้ข้าไม่คู่ควรกับท่านเลย”

จิ่วซือกอดจิ่วอูแน่นขึ้นทันที “ห้ามเจ้าพูดเช่นนี้ พวกเราได้ทำปฏิญญาต้าเต๋ากันไว้แล้วว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งกันตลอดไป!”

“ข้าไม่คู่ควรกับเจ้าจริงๆ…”

ฟู่…

ขณะนั้นสายลมแผ่วเบาพัดผ่าน ผืนป่าถูกหมอกขาวหนาทึบปกคลุมโดยทันใด ทว่าก็ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงสนทนากันดังมาจากที่ไม่ไกลนัก

“ท่านอาจารย์อาจิ่ว พวกเรามาทดสอบกันอีกครั้งเถิดขอรับ หลังจากนี้ข้าจะใส่สมุนไพรทั้งสองต้นนี้ลงไปในเตาหลอม จากนั้นท่านก็…”

“อืม ไม่มีปัญหา”

จิ่วอูและจิ่วซือพลันมองหน้ากันทันที จากนั้นจิ่วซือก็ร่ายเวทเร้นกายทำให้พวกเขาทั้งคู่กลายเป็นร่างเงาแล้วพุ่งร่างตรงไปยังทิศทางของเสียงนั้นอย่างเร็วรี่

ไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็พบว่าสถานที่ที่พวกเขาเพิ่งจะอยู่ในช่วงเวลานี้นั้น ห่างจากจิ่วจิ่วที่พวกเขากำลังตามหาเพียงร้อยจั้งเท่านั้น!

พวกเขาจึงรีบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แล้วแอบยืดคอชะเง้อมองสำรวจหอโอสถกันอย่างเงียบๆ

ในเวลานี้เนื่องจากพวกเขากำลังจะเปิดใช้งานเตาหลอมและสกัดโอสถ หน้าต่างทั้งสองด้านของหอโอสถจึงเปิดออก ซึ่งจากมุมมองของพวกจิ่วอู พวกเขาสามารถมองเห็นหลี่ฉางโซ่วและจิ่วจิ่วกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องบางอย่างอยู่ที่หน้าเตาหลอม

บัดนี้เวลาล่วงเลยมาถึงยามใกล้ค่ำแล้วโดยไม่รู้ตัว และแสงแดดสลัวแห่งดวงตะวันยามอัสดงก็ได้สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาต้องร่างของจิ่วจิ่ว

นางไพล่มือทั้งสองไว้ทางด้านหลังขณะที่ยืนเขย่งอยู่บนเท้าซ้ายและโน้มกายของนางมาข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อฟังผู้บำเพ็ญร่างสูงโปร่งเบื้องหน้านางอธิบายขั้นตอนของการหลอมโอสถอย่างละเอียด

ท่ามกลางแสงแดด เส้นผมยาวประบ่าของนางทอประกายเงางาม ผิวพรรณของนางก็ดูเปล่งปลั่งและชุ่มชื้น ดวงตากลมโตราวกับดวงดาวของนางก็ยิ่งดูสุกสกาวพราวแสงมากขึ้น

ลำคอเรียวยาว ลาดไหล่งาม เอวคอด ส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างเพรียวบาง รวมถึงเรียวขาและเท้าของนางภายใต้เสื้อผ้าป่านแสนธรรมดา ผิวพรรณของนางราวหยกขาวไร้ที่ติ ทั้งหมดนี้ล้วนเผยให้เห็นความงดงามตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าของนางที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

และข้างๆ นางก็มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีคราม เส้นผมยาวของเขาถูกมัดเอาไว้อย่างเรียบง่ายด้วยห่วงเหล็ก…

เอ๋?

จิ่วอูเผยสีหน้าไม่เข้าใจพึมพำออกมา “ศิษย์หลานฉางโซ่วรึ หรือว่าค่ายกลที่นี่…”

และก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวจบ ก็มีมืออ่อนนุ่มปิดปากของเขาเอาไว้ทันที

“ชู่ว์!” จิ่วซือที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า “กลับกันเถอะ เราค่อยคุยกันเมื่อกลับไปแล้ว มา อย่าเพิ่งไปรบกวนพวกเขาเลย!”

ขณะนั้นจิ่วอูเผยท่าทีสับสนกล่าวถามว่า “เราจะไปเช่นนี้ ตอนนี้?”

“แล้วอย่างไรเล่า… หนุ่มน้อยผู้นี้หล่อเหลายิ่ง ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างน่าเชื่อถือทีเดียว เพียงแต่ว่าฐานพลังของเขาอยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาเท่านั้น ทว่า…นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน”

จิ่วซือแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วดึงร่างของจิ่วอูออกไปพร้อมกับวิชาเวทเร้นกายของนาง

แล้วทันใดนั้นก็มีใบไม้สีเขียวปลิดปลิวออกมาจากต้นของมันแล้วพลิ้วไหวไปมาขณะที่ร่วงหล่นลงบนศีรษะของจิ่วอู…

……

ในที่สุดก็ไปกันซะที

หลี่ฉางโซ่วพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เปิดค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่รอบๆ อีกครั้ง และตรวจสอบส่วนต่างๆ ของมันซ้ำๆ อีกหลายครั้ง

โชคยังดีที่ไม่มีสิ่งใดถูกเปิดเผยออกไป

ค่ายกลกับดักทำงานได้ดีเกินคาด ยิ่งไปกว่านั้นข้อความที่ค่ายกลกับดักส่งไปถึงผู้บุกรุกก็เป็นไปตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดการณ์เอาไว้

“เริ่มหลอมโอสถกันเถิด”

เขากล่าวเช่นนี้แล้วก็หันหลังเดินไปยังที่ราบโล่งด้านข้างก่อนจะหยิบถุงเก็บสมบัติที่ระบุเอาไว้ว่า ‘เสวียนลำดับสิบเอ็ด’ ออกมาแล้วเขย่า สิ่งของจำนวนมากก็ร่วงตกลงมาบนพื้น

เสื้อคลุมเวทที่ดูคล้ายกับชุดอวกาศ ถุงมือที่ทนต่อการกัดกร่อนจากพิษร้ายแรง ยันต์ต้านพิษ โอสถขจัดพิษ แหนบและตัวหนีบที่ทนต่อการกัดกร่อน ภาชนะรูปทรงแปลกตา และอื่นๆ…

“อันใดกันนี่” จิ่วจิ่วถามด้วยความสงสัย

“มาตรการเตรียมการที่จำเป็นสำหรับการหลอมโอสถพิษ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเตรียมชุดที่เหมือนกันเช่นนี้เอาไว้ให้อาจารย์อาด้วย เราใส่กันเถอะ แม้พลังเซียนของอาจารย์อาจะแข็งแกร่ง แต่พิษนั้นสามารถซึมผ่านได้ง่ายแม้แต่ช่องเปิดเล็กๆ ดังนั้นทางที่ดีควรระมัดระวังเอาไว้ก่อน”

“ได้ ศิษย์หลาน เจ้ายังมีน้ำใจคิดถึงอาจารย์อาเช่นข้า”

จิ่วจิ่วกะพริบตาขณะเคลื่อนกายมาด้านข้างของหลี่ฉางโซ่วอย่างใคร่รู้

…………………………………………………………………………………………………………………

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

Status: Ongoing
เพื่อให้มีอายุยืนยาวในยุคบรรพกาลอันโหดร้าย จงหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการ เก็บงำความสามารถ ขยันฝึกวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!หลี่ฉางโซ่วที่ไปเกิดใหม่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวน้อยๆ ในโลกบรรพกาลอันน่าสะพรึงกลัวเขาถูกอาจารย์ผู้นำยอดเขาสุดแสนอัตคัดในสำนักเซียนมนุษย์เล็กๆ พาตัวมาดูแล เพื่อฝึกฝนให้บรรลุวิถีเซียนตั้งแต่ยังเยาว์เป้าหมายของเขาคือ ‘อายุยืนยาว’ ในยุคบรรพกาลอันโหดร้ายนี้จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการเก็บงำความสามารถ ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเคล็ดวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!เดิมทีในแผนการของหลี่ฉางโซ่ว เขาตั้งใจว่าจะซ่อนตัวอยู่ในเขาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตจนกระทั่งปีหนึ่ง อาจารย์ของเขาคงมีชีวิตที่สงบเงียบเกินไปจนเบื่อขึ้นมา ถึงได้รับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งมาให้เขา…เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องนำผลกรรมมาแปดเปื้อนตน เขาจะต้องสอนหลักการการใช้ชีวิตให้ศิษย์น้องดีๆ เสียหน่อยแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท