แม้งานนี้จะไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่ก็เป็นเพราะวังมังกรเริ่มกลั่นแกล้งสำนักตู้เซียนก่อน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนในสำนักตู้เซียนระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่หาได้คลายความระมัดระวังลงไม่
มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ล้อมรอบพวกเขา และหลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนแปลกหน้ามากมายมาอยู่ใกล้เขาซึ่งทำให้เขาต้องคอยเฝ้าระวังและใส่ใจสถานการณ์รอบกายของเขาอยู่ตลอดเวลา
เขาจึงแอบร่ายเวทวายุวัจน์เอาไว้
เมื่อใดก็ตามที่สายลมพัดผ่าน ข้อมูลจำนวนหนึ่งก็จะถูกส่งไปให้หลี่ฉางโซ่ว เขาก็จะจัดการประมวลผลข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียดภายในใจ
เมื่อใช้พลังปราณสัมผัสรับรู้เพื่อตรวจสอบผู้ใด มันก็เหมือนกับการใช้สายตามองดูคนผู้นั้น หากคนผู้นั้นตื่นตัวระแวดระวัง เขาก็ย่อมจะรู้สึกได้
นี่คือ ‘การตรวจสอบเชิงรุก’
เมื่อใช้เวทวายุวัจน์ นอกจากจะรับข้อมูลจากคนที่เขามุ่งเน้นแล้ว เขายังสามารถได้รับข้อมูลรอบข้างได้ทั้งหมดอีกด้วย
นี่ถูกเรียกว่า ‘การสำรวจแบบเชิงรับ’ โดยหลี่ฉางโซ่ว
ซึ่งข้อดีของมันคือ จะไม่ผลาญพลังวิญญาณ แต่ข้อเสียก็คือ จะต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลทุกประเภทที่ถูกรวบรวมเอาไว้อย่างต่อเนื่อง
นานมาแล้วที่หลี่ฉางโซ่วฝึกวิชาเวทตรวจจับ จิตตานุภาพ และการทำสมาธิของเขาเองอย่างมีสติ
ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาเหมือนกันกับเขา มักจะเสียสมาธิและผ่อนคลายการเฝ้าระวังรวมถึงการสังเกตสภาพแวดล้อมหลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม
และเมื่อหลี่ฉางโซ่วใช้เวทวายุวัจน์เพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมของเขา เขาก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องหยุดเป็นเวลาหลายร้อยชั่วยาม!
ถึงแม้ว่า…ชีวิตที่ดีที่ได้มาโดยบังเอิญในฐานะผู้บำเพ็ญเซียน ต้องกลายมาเป็น ‘กล้องวงจรปิดรูปร่างคน’ จะทำให้รู้สึกเศร้าอยู่บ้างก็ตาม
แต่อย่างน้อย จิตใจของหลี่ฉางโซ่วก็สงบลงได้
เนื่องจากเขาใช้เวทวายุวัจน์เพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมในสถานที่ต่างๆ ของเขา หลี่ฉางโซ่วจึงสามารถได้ยินเสียงหัวเราะจากผู้บำเพ็ญทุกคนและฟังเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายจากพวกเขา
เซียนเสิ่นส่วนใหญ่จะพูดคุยกันในเรื่องงานชุมนุมครั้งนี้และยังพูดถึงแท่นหลักด้านบนที่เหล่าเซียนเทียนรวมตัวกันอยู่
เซียนเสิ่นส่วนใหญ่จะกังวลเกี่ยวกับข้อตกลงที่พวกเขาจะทำกับวังมังกร ว่าขอบเขตของทะเลบูรพาจะถูกแบ่งออกอย่างไร และเผ่าพันธุ์มังกรจะสร้างความลำบากให้ผู้บำเพ็ญมนุษย์หรือไม่
ในขณะที่หัวข้อสนทนาของบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์มักจะพูดคุยกันเกี่ยวกับการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์อยู่ตลอดเวลา
ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่มักจะกลัวการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ เพราะการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์นั้นอันตรายอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้
แน่นอนว่าหากพวกเขาหยุดฝึกบำเพ็ญ หรือติดอยู่ในจุดตีบตันของขอบเขตต่างๆ ของการบำเพ็ญ อาทิ ขอบเขตการหลอมรวมปราณ ขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพ ขอบเขตคืนกลับอนัตตา และขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถี พวกเขาก็จะไม่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตพลัง และย่อมไม่จำเป็นจะต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์
ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ในสำนักตู้เซียนที่ไม่ได้เผชิญกับภาวะลมปราณแตกซ่าน พวกเขาก็จะมีโอกาสเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์
เนื่องจากสำนักตู้เซียน ถือเป็นสำนักเซียนที่มีชื่อเสียงของดินแดนเทวะบูรพา จึงเป็นการยากสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีคุณสมบัติธรรมดาจะเข้ามาได้ ทั้งนี้มรดกแห่งเต๋าของพวกเขาสมบูรณ์ มีเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยม และยังมีระบบภายในสำนักที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วยสวัสดิการที่ดีเยี่ยมอีกด้วย
ซึ่งสำนักเซียนอื่นๆ อาจไม่มีเช่นนี้
เมื่อพิจารณาจากยุคบรรพกาลและทั่วทั้งมหาตรีสหัสโลกธาตุแล้ว กว่าเก้าสิบในหนึ่งร้อยส่วนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนไร้คุณสมบัติและศักยภาพเพียงพอที่จะฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนได้ ในขณะที่กว่าเก้าสิบห้าในหนึ่งร้อยส่วนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เป็นได้เพียงมนุษย์ทั่วไปเท่านั้น
ในบรรดากลุ่มผู้บำเพ็ญเก้าสิบในหนึ่งร้อยส่วนของพวกเขาล้วนไม่อาจข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์แห่งเซียนได้ เนื่องจากข้อจำกัดของศักยภาพและการฝึกบำเพ็ญที่ไม่สมบูรณ์ของพวกเขา
ท้ายที่สุดก็มีเพียงสิบถึงยี่สิบในหนึ่งร้อยส่วนของพวกเขาเท่านั้น ที่สามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์แห่งเซียนได้สำเร็จ
ซึ่งเมื่อพิจารณาดูจากตัวเลขเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีมนุษย์จำนวนไม่มากที่สามารถกลายเป็นเซียนได้สำเร็จ
ทว่าในเวลานี้จำนวนเซียนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็สามารถบดขยี้ผลรวมจำนวนเซียนของทั้งสองเผ่าพันธุ์ในช่วงยุคทองของจอมเวทและปีศาจได้แล้ว!
แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญพันธุ์ได้ดีมากเกินไป…จนทำให้จำนวนเลขฐานของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นใหญ่มากเกินไปจริงๆ
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วอ่านตำราโบราณอย่างมากมายแล้ว เขาก็สรุปเหตุผลหลักสามประการที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ในช่วงหลังสงครามจอมเวท-ปีศาจ และยังสามารถเอาชนะเผ่าพันธุ์จอมเวทและเผ่าพันธุ์ปีศาจได้
ประการแรกคือ เทพีหนี่วาได้มอบร่างกำเนิดเต๋าเอาไว้ให้
ประการที่สองคือ ความสามารถในการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว และการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมของพวกเขา
ประการที่สามคือ บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทำให้เกิดความสามัคคีและมีแรงกำลังสู่ศูนย์กลาง
หลี่ฉางโซ่วไม่เชื่อการโต้เถียงในสิ่งต่างๆ เช่น เต๋าสวรรค์ที่ดำเนินการกับเผ่าพันธุ์มนุษย์
วิถีแห่งเต๋าสวรรค์ย่อมต้องคงความเป็นกลาง เช่นนั้นแล้วจะลำเอียงกับเผ่าพันธุ์เดียวได้อย่างไรเล่า
เต๋าสวรรค์ทำนายการเปลี่ยนแปลงของทุกสรรพสิ่งในโลกทั้งหมด และบอกล่วงหน้าถึงความเจริญรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่มันเป็นเพียงเสมือน ‘คำทำนาย’ หาใช่ชะตาลิขิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์
คำกล่าวที่ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์อาศัยสามสำนักบำเพ็ญเต๋า เพื่อให้ได้มาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ก็นับว่าไร้สาระมากยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากการเพิ่มจำนวนขึ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ สามบรรพชนแห่งเต๋าได้ก่อตั้งสำนักบำเพ็ญเต๋ามนุษย์ทั้งสามสำนักขึ้นมา และได้รับบุญที่ไร้ขอบเขตเพื่อพิสูจน์เต๋าผ่านโชคของเผ่าพันธุ์มนุษย์
แม้ในฐานะศิษย์สำนักเต๋า เขาอาจจะผิดพลาดในการประเมินไปบ้าง แต่หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกเสมอว่าสามบรรพชนแห่งเต๋าได้ให้ความสว่างแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่พวกเขาไม่เคยทำงานจริงมากนักสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์
มีสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘สำนักบำเพ็ญเต๋ามนุษย์’ บรรพชนไท่ชิงได้รับศิษย์มนุษย์รุ่นแรกคือปรมาจารย์เสวียนตู ส่วนบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสำนักตู้เซียน ตู้เอ้อร์เจินเหรินนั้นมีความเป็นมาและขอบเขตพลังที่ไม่ชัดเจน และนางไม่น่าจะมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือได้รับคำสอนของบรรพชนไท่ชิง
และในเวลานี้บรรพชนไท่ชิงยังไม่ได้ไปยังโลกมนุษย์เพื่อเผยแผ่เต๋าเต๋อจิง[1] ให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์
เป็นผลให้หลี่ฉางโซ่วยังไม่กล้าทำความเข้าใจตำราโบราณเต๋าเต๋อจิงที่เขาจำได้!
สำนักบำเพ็ญเต๋าฉานก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะหยวนสื่อเทียนจุนผู้เป็นปฐมเทวาได้นำปรมาจารย์เผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมากในรุ่นแรกมาเป็นศิษย์ ซึ่งต่อมาพวกเขาก็ได้ก่อตั้งสำนักเต๋าของตนเองในดินแดนเทวะมัชฌิมาตอนกลางและส่งเสริมวิธีการฝึกบำเพ็ญในหมู่ผู้บำเพ็ญมนุษย์
ส่วนสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยก็กระตือรือร้นมากเกินไปหน่อย…
มันคล้ายกับที่ทงเทียนเจี้ยวจู่หรือปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์รับชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อช่วยเสริมเผ่าพันธุ์อื่น และมีศิษย์เพียงไม่กี่คนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขาได้ทำในสิ่งที่ค่อนข้างไม่เหมาะสม
ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับสำนักบำเพ็ญเต๋าทั้งสามนั้น ผู้ก่อตั้งย่อมเป็นรากฐานของเต๋ายุคหลัง ในขณะที่ยุคหลังต่อมาก็จะเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้อดีตดีขึ้น ซึ่งให้การรับรองความเจริญรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากขึ้น
โลกยุคบรรพกาลล้วนเต็มไปด้วยการวางแผน
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่มีส่วนทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เติบโตอย่างแท้จริงนั้นอาจใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสบายๆ หรือกลับเข้าสู่สังสารวัฏไปนานแล้ว
หากความคิดเหล่านี้ถูกพูดออกไป พวกเขาย่อมจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นพวก ‘ละทิ้งความเชื่อ’ อย่างแน่นอน หลี่ฉางโซ่วจึงแค่คิดในใจและไม่บอกหลักการเหล่านี้กับผู้ใด
ตัวอย่างเช่น เมื่อให้ความรู้กับหลิงเอ๋อร์ หลี่ฉางโซ่วจะเพียงสอนนางถึงวิธีหลีกเลี่ยงกรรม วิธีการหลบหนีในเหตุการณ์ฉุกเฉิน และฝึกให้นางทำสิ่งต่างๆ คนเดียว และหากมีสิ่งใดผิดพลาด นางย่อมไม่อาจทำตามลักษณะเด่นของศิษย์ที่มีคุณธรรมสูงส่งไปถึงก้อนเมฆได้อย่างแน่นอน
หลิงเอ๋อร์นั้นมีศักยภาพสูงยิ่งและย่อมจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์เซียนได้ นอกจากนี้ นางยังมีความพากเพียรในการฝึกบำเพ็ญอีกด้วย
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกเสมอว่าศักยภาพของการฝึกบำเพ็ญเซียนนั้นอาจเป็นมรดกที่ซ่อนอยู่
………………………………………………………………
[1] เต๋าเต๋อจิง เป็นพระคัมภีร์ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นจากแนวคิดของเหลาจื่อ (เล่าจื๊อ) ซึ่งคือบรรพชนหรือเทพาจารย์ไท่ชิง หรือไท่ซ่างเหล่าจวิน เป็นหนึ่งในสามผู้ปกครองสูงสุดแห่งจักรวาลที่ลงมายังโลกมนุษย์ และมาเป็นจอมปราชญ์เผยแผ่คำสอนแก่มวลมนุษย์