กลุ่มผู้ใหญ่ต่างพากันดุด่าเด็กสาวอยู่พักหนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ลงโทษเด็กสาวแล้วเริ่มค้นหา ‘ท่านเทพแห่งท้องทะเล’ ของพวกเขาทั้งในและนอกหมู่บ้าน
หลี่ฉางโซ่วยังคงแอบเฝ้าสังเกตการณ์เงียบๆ
หมู่บ้านนี้ค่อนข้างผิดปกติ และนี่เป็นเหตุผลเดียวที่หลี่ฉางโซ่วจะอยู่ห่างหนึ่งร้อยลี้และไม่ออกไป
เมื่อมีอะไรผิดปกติก็ย่อมต้องมีปีศาจอยู่เสมอ และอาจเป็นไปได้ว่าจะมีสมบัติซ่อนอยู่
ผู้คนหลายพันคนในหมู่บ้านที่อาศัยการตกปลา ล่าสัตว์ เกษตรกรรมเพื่อหาเลี้ยงชีพและใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งสถานที่นี้ก็มีอากาศดีไม่มีภัยธรรมชาติ
ส่วนภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้น…แม้จะมีชนเผ่าในอาณาจักรมนุษย์มาพร้อมกับกองทหารประจำการหลายพันนาย ก็ยังไม่อาจทำลายหมู่บ้านนี้ได้ นับประสาอะไรกับกลุ่มโจรและโจรสลัดทะเล
แต่คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญและทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มีร่างกายแข็งแกร่งเหมือนเด็กสาวผู้นั้น ซึ่งเป็นอะไรที่ดูไม่สมเหตุสมผลนัก
ประการแรก โภชนาการของพวกเขาย่อมไม่ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน
นับประสาอะไรกับที่ผู้คนที่นี่ก็ไม่ได้ตั้งใจฝึกกล้ามเนื้อเช่นกัน
ท่ามกลางความเป็นไปได้หลายประการที่หลี่ฉางโซ่วสามารถคิดได้ สถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ มีเส้นชีพจรน้ำหรือสายแร่น้ำเป็นส่วนผสมพิเศษที่นี่ และยังมีปริมาณมากอีกด้วย
บ่อยครั้งที่มนุษย์ไม่สนใจวัตถุเวทประเภทนี้ พวกเขาล้วนไม่สนใจว่าจะเป็นสมบัติสำหรับการหลอมโอสถ หลอมอาวุธ สร้างค่ายกล และการฝึกบำเพ็ญ
นอกจากนี้ยังไม่มีผู้บำเพ็ญต่างถิ่นเข้ามาในสถานที่นี้ มีผู้บำเพ็ญไม่กี่คนที่อยู่ในขั้นสร้างปราณวิญญาณเทพ และในหมู่บ้านก็น่าจะมีวิธีฝึกบำเพ็ญที่ไม่สมบูรณ์อยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกในโลกมนุษย์
เรื่องพวกนี้ทำให้หลี่ฉางโซ่วจึงเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย และตัดสินใจอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้เพื่อสังเกตการณ์
เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้บุกค้นไปทั่วหมู่บ้าน พวกเขาก็ไม่พบอะไร
หลังจากค้นหาอย่างสุดความสามารถเป็นเวลานานกว่าครึ่งวัน ชายชราคนหนึ่งก็ร้องตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวังว่า “ท่านเทพแห่งท้องทะเลคงกลับสู่ทะเลใหญ่แล้ว!”
ดังนั้นชาวบ้านสกุลสงกลุ่มนี้จึงกลับมาที่หมู่บ้าน และเริ่มการชุมนุมรอบกองไฟอย่างมีชีวิตชีวา เพื่อเฉลิมฉลองการกลับคืนสู่ทะเลของท่านเทพแห่งท้องทะเล
หลี่ฉางโซ่วเฝ้าสังเกตการณ์มาเป็นเวลาสามวันและแอบไปตรวจสอบแหล่งน้ำของสถานที่แห่งนี้ จากนั้นก็ตรวจสอบอาหารที่กินกันทั่วไปในหมู่บ้านนี้ รวมถึงสำรวจบริเวณใกล้เคียงในรัศมีร้อยลี้ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
หรือว่าพวกเขามีร่างกายที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วไม่อยากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินไป จึงตัดสินใจที่จะจากไปเพราะไม่อาจหาสาเหตุของความผิดปกติในสถานที่แห่งนี้ได้
ในช่วงกลางดึกหลี่ฉางโซ่วก็แอบออกมาจากลำต้นของพฤกษาใหญ่ แล้วแปลงร่างเป็นปลาขนาดกลางก่อนจะกระโจนลงไปในน้ำทะเลอุ่นๆ และแหวกว่ายไปมองหาสถานที่สำหรับปิดด่านบำเพ็ญเพียรของเขาต่อไป
สถานที่แห่งนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของดินแดนเทวะทักษิณและอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของวังมังกรทะเลทักษิณ
แต่เนื่องจากวังมังกรทะเลทักษิณอยู่ไกลจากแผ่นดินมากเกินไป และไม่เคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้นเหมือนวังมังกรทะเลบูรพา พื้นที่ทะเลแห่งนี้จึงเงียบสงบผิดปกติ และในไม่ช้าหลี่ฉางโซ่วก็พบเกาะร้างเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เขาใช้เป็นสถานที่ปิดด่านบำเพ็ญเพียรของเขา
สามเดือนต่อมา อาการบาดเจ็บในฐานเต๋าของหลี่ฉางโซ่วก็ได้รับการฟื้นฟูและหายเป็นปกติแล้ว ในขณะที่วิชาเวททั้งหลีกลี้วารีเร้นกายและหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายของเขาก็ปรับปรุงขึ้นอย่างมากเช่นกัน นอกจากนี้เขายังได้ฝึกฝนเพลิงสมาธิแท้อีกครั้งและสร้างไฟอมตะขึ้นมาได้
ห้าเดือนต่อมา หลี่ฉางโซ่วกำลังนั่งอยู่ในท่าดอกบัวในถ้ำตามแนวปะการัง ขณะนี้แสงเซียนรอบกายของเขาได้ลดน้อยลงจนไม่มีกลิ่นอายลมปราณของเขาอีกต่อไป ดวงตาของเขาดูไม่แข็งกร้าว และกลิ่นหอมบางเบาจากร่างกายของเขาก็หายไปเช่นกัน
เขายืนขึ้นแล้วก้มศีรษะลงมองตรวจสอบตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าลมปราณของเขาไม่ได้ผันผวนเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เดินไปที่แนวปะการัง และยืนเงียบๆ พลางสังเกตปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตในทะเล
ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีแรงกดดันของเซียนอยู่ บรรดาปลาและกุ้งในทะเลจึงหลบหลีกไป
ขณะนี้เมื่อเขามายืนอยู่ที่นี่ เหล่าปลาและกุ้งในทะเลก็ตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแหวกว่ายไปในน้ำตามปกติ
หลังจากใคร่ครวญในเรื่องนี้แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ได้จำลองลมปราณในระดับขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นเจ็ดขึ้นมา จากนั้นจึงซ่อนส่วนหนึ่งของมันเอาไว้ก่อนจะเปิดเผยลมปราณในระดับขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสามออกมาแทน
บัดนี้การปรับปรุงทักษะสงบลมปราณเต่าครั้งที่สามของเขาประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ด้วยความสำเร็จในระดับใหญ่
หลังจากที่กลับไปแล้ว ข้าจะส่งตำราบันทึกการปรับปรุงทักษะสงบลมปราณเต่าครั้งที่สองให้หลิงเอ๋อร์
เขาถอนหายใจอย่างโล่งใจเล็กน้อย หลี่ฉางโซ่วอารมณ์ดียิ่ง เขาไม่อยากเสียเวลามากเกินไป จึงกลับไปยังถ้ำที่เขาซ่อนตัวก่อนหน้านี้เพื่อฝึกบำเพ็ญต่อไป
ทว่าขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับไป ทันใดนั้นก็มีลำแสงสมบัติล้ำค่าเจ็ดสีปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทางด้านเหนือ
ฉับพลันนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจจับทันที และพบว่าแหล่งกำเนิดแสงสมบัติล้ำค่านั้นเป็นหมู่บ้านที่เด็กสาวหอคอยเหล็กนาม สงหลิงลี่อยู่
ต้องมีของดีอยู่ในหมู่บ้านนั้นอย่างแน่นอน!
แต่เหตุโกลาหลครั้งใหญ่เช่นนี้ ย่อมเป็นไปได้สูงที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ มากเช่นกัน และเขาก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้ง่ายหากรีบเร่งไปที่นั่น
เมื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็หยิบตุ๊กตากระดาษออกมาจากแขนเสื้อแล้วเป่าใส่มัน
จากนั้นตุ๊กตากระดาษก็สั่นสองสามครั้งก่อนจะค่อยๆ มีชีวิตขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วเหยียดแขนขาเล็กๆ ของมันก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนมือของหลี่ฉางโซ่วแล้วกระโจนลงสู่ทะเล
ตุ๊กตากระดาษตัวน้อยเดินไปสองก้าวบนน้ำทะเลก่อนจะกลายร่างเป็นนักพรตเต๋าวัยกลางคน แล้วคว้าถุงเก็บสมบัติสามใบที่หลี่ฉางโซ่วขว้างไป จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วหายตัวไปในน้ำทะเล
หลังจากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กลับไปที่ถ้ำหินแล้วหลับตาลงขณะที่จดจ่ออยู่กับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์
เขาทำจิตใจของเขาให้สบายและอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายมาก
เขาจะเก็บสมบัติหากทำได้ และหากต้องทำมากกว่า ‘เก็บ’ เขาก็จะปล่อยให้ตุ๊กตากระดาษทำ
ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อขอบเขตพลังของเขาเพิ่มขึ้น ตุ๊กตากระดาษก็จะยิ่งมีความก้าวหน้ามากขึ้นตามไปด้วย และการสร้างมันขึ้นมาก็จะยิ่งลำบากมากขึ้นเช่นกัน
แต่เนื่องจากที่นี่คือโลกมนุษย์ จึงไม่น่าจะมีสมบัติและอาวุธเวทที่ทรงพลังใดๆ
……
ที่ชายแดนทะเลทักษิณและทะเลบูรพา ตรงหัวมุมของเกาะที่มีลักษณะคล้ายเต่าขนาดใหญ่
“สหายเต๋าทั้งหลาย ข้าไม่ได้โป้ปดจริงๆ…ระหว่างทางกลับครั้งที่แล้ว บังเอิญ ข้าได้พบกับชายคนหนึ่งที่รอดพ้นจากทัณฑ์เทพปีศาจเก้าสวรรค์ ข้ากล่าวออกไปว่า เขาจะไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ แต่เขากลับทำได้สำเร็จ! หลังจากที่ชายผู้นี้ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์แล้ว เขาก็ยังถูกเต๋าสวรรค์ลงทัณฑ์อีกด้วย และข้าก็รู้สึกอีกครั้งว่าเขาจะไม่อาจข้ามผ่านไปได้สำเร็จและต้องตายอย่างแน่นอน แต่…สหายเต๋า ลองเดาสิว่าเกิดอันใดขึ้นต่อไปหลังจากนั้น”
ถัดจากสระสมบัติล้ำค่า มีนักพรตเต๋าชรากำลังสนทนากับผู้บำเพ็ญนับสิบคนที่มีระดับการบำเพ็ญเต๋าอยู่ในระดับเดียวกันด้วยท่าทางตื่นเต้นยิ่ง
ในขณะนั้น ที่มุมหนึ่งใต้สระสมบัติล้ำค่า อ๋าวอี่ได้ฟื้นคืนร่างมังกรครามดั้งเดิมของเขาและปักหลักอยู่ที่ก้นสระโดยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
โลกบรรพกาลช่างน่าสะพรึงกลัวมากจริงๆ
บัดนี้แม้เขายังไม่สงบลงจากฝันร้าย แต่อ๋าวอี่ก็ขอให้มารดาของเขาส่งเขากลับไปยังดินแดนของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย
นั่นเป็นเพราะว่าอ๋าวอี่รู้ว่ามีเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยด้วย ดังนั้นเขาจึงจะสามารถสังเกตพวกเขาและเรียนรู้จากพวกเขาได้ว่าเผ่าพันธุ์มังกรขาดสิ่งใดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่ห์เหลี่ยมและอุบายของพวกเขา
หลังจากนั้น หัวข้อสนทนาของเหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้างสระน้ำนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นมังกรน้อยที่อยู่ก้นสระโดยไม่รู้ตัว
มีคนหนึ่งถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ช่องว่างใต้สระถูกวางกฎห้ามเอาไว้ ข้าไม่รู้ว่าองค์ชายมังกรผู้นี้จะรู้สึกไม่พอใจเกาะเต่าทองของเรามากจนหนีออกไปจริงๆ”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กจะไม่อยากฟังผู้เฒ่า”
นักพรตเต๋าชราผู้เล่าเรื่องการเผชิญหน้ากับการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เมื่อครู่นี้ กำลังหัวเราะและลูบเคราของเขาพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เราปฏิบัติต่อองค์ชายแห่งวังมังกรเป็นอย่างดี เขาย่อมจะซาบซึ้งในความเมตตาของเราและฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจที่นี่”
จากนั้นบรรดาผู้บำเพ็ญทั้งหมดต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน
ในขณะที่อ๋าวอี่ซึ่งอยู่ในสระน้ำพลันขยับหัวมังกรของเขา แต่มิได้สนใจใดๆ
……………………………………………………………………………