จิ่วอูพลันหรี่ตาลงมองและหยิบกระต่ายซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณออกมาจากแขนเสื้อของเขา จากนั้นเขาก็เริ่มป้อนอาหารให้กระต่ายเพื่อทดสอบอาหาร
ทว่าหลี่ฉางโซ่วเบิกบานใจที่ได้เห็นเช่นนั้นและเฝ้ารออย่างเงียบๆ เพื่อให้ จิ่วอูทดสอบเสร็จสิ้น
และในที่สุด เมื่อจิ่วอูมั่นใจว่า หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ทำอะไรในวันนี้ เขาก็หยิบตะเกียบหยกคู่หนึ่งที่เขาพกมาด้วยออกมา ก่อนจะกระแอมไอแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมด้วยสีหน้าลำบากใจว่า
“เมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์ป้าจิ่วซือของเจ้ากำลังเข้าปิดด่านเพื่อทะลวงฝ่าขอบเขตสร้างความก้าวหน้า ศิษย์หลาน…อย่าได้พูดแบบเดียวกับที่เจ้าเคยทำเลย”
หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวว่า “ณ เวลานี้และที่นี่ ศิษย์สาบานได้ว่า อยากจะเชิญท่านอาจารย์ลุงมาดื่มและสนทนากันจริงๆ ขอรับ!”
“เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สาบานเถิด” จิ่วอูพยักหน้าทันที “มาเถิด เร็วเข้า เจ้าสาบานเลย”
“ศิษย์เพียงเอ่ยไปธรรมดา หากสาบานจริงๆ นั่นจะไม่ได้หมายความว่าศิษย์มีจิตคิดร้ายอยู่ในใจจริงๆ หรือเล่าขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ลุง ศิษย์ขอดื่มให้ท่านขอรับ”
จิ่วอูหัวเราะแล้วหยิบจอกสุราขึ้นมาเพื่อให้ชนจอกกับหลี่ฉางโซ่ว ทว่าเขาเพียงแค่จิบเล็กน้อยเท่านั้น
“มาคุยเรื่องงานกันก่อนที่เราจะดื่มดีกว่า” จิ่วอูกล่าว “ครั้งนี้ ข้ามาตามคำสาบานที่ข้าเคยให้ไว้เมื่อคราวที่แล้ว ข้าจะหารือกับเจ้าล่วงหน้า หากเจ้าตกลงตามนี้ สำนักก็จะตอบแทนเจ้าอย่างงาม…
…แต่หากเจ้าไม่เห็นด้วย ก็จงถือเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยถึงมันแล้วกัน”
“โอ้?” หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วทำความเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “หากท่านต้องการเสริมสร้างค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการในสำนัก ท่านก็ไม่จำเป็นต้องถามศิษย์จริงๆ หรอกขอรับ”
จิ่วอูขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร ข้ายังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับผู้ใดเลย!”
“ข้าเดาขอรับ” หลี่ฉางโซ่วคีบปลาวิญญาณที่ศิษย์น้องหญิงของเขาปรุงขึ้นมา ปลาเนื้อขาวนุ่มละลายในปากของเขา ข้างนอกมีรสหวานหอม และมีรสที่ค้างอยู่ในปากและคอของเขา
“แล้วเจ้าจะตกลงหรือไม่” จิ่วอูหรี่ตาทันที “มาเถิด บอกข้ามาดีกว่าว่าเจ้าจัดวางค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการอย่างไร”
โอ…ปรากฏว่าเขาไม่เข้าใจ…
หลี่ฉางโซ่วพลันกล่าวว่า “อันที่จริง ข้าได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มาคร่าวๆ จากตำราโบราณและทำการสรุปไว้ขอรับ”
และในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบม้วนหนังแกะออกมาทันที
แน่นอนว่า เขาย่อมไม่เปิดเผยไพ่ไม้ตายของเขาโดยง่าย
ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาเปิดเผยในตอนนี้เป็นเพียงแผนวิธีแก้ปัญหาเชิงหลักการที่ใช้ในการแก้ปัญหาสำคัญในการสร้างค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการ นั่นคือความสามารถในการปรับตัวของค่ายกลที่แตกต่างกัน
มันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เขาพัฒนาขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ยังมีเอกสารอ้างอิงระบุไว้ด้านบนเช่นกัน มันเป็นตำราโบราณที่ไม่มีผู้ใดสนใจและถูกซ่อนอยู่ในห้องโถงด้านนอกของหอพระสูตรเต๋า
แผนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแนวคิด ‘หน่วยฐานค่ายกล’ ที่เขาใช้อยู่ในขณะนี้ ข้อเสียคือ สิ้นเปลืองวัสดุ แต่ก็สามารถบรรลุผลการจัดวางค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการได้เช่นกัน
ในวันแรกที่มีการสร้างค่ายกลรอบๆ หอโอสถ เขารอคอยที่จะเปิดม้วนหนังแกะแผ่นนี้ และวันนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ทำตาม ‘สิ่งที่เขาต้องการ’ แล้ว
จิ่วอูหยิบมันขึ้นมาแล้วอ่านอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นไม่นาน นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็อดจะตบต้นขาของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและชื่นชมหลี่ฉางโซ่วไม่ได้
“เดิมทีข้าคิดว่าจะต้องใช้ความพยายามเกลี้ยกล่อมเจ้า แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะเอามันออกมาให้ในทันทีเช่นนี้! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ!”
“เจ้ามอบมันให้สำนักได้จริงๆ หรือ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางพยักหน้าและกล่าวว่า “แน่นอนขอรับ”
“อ่า ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าจะทำเช่นนี้จริงๆ! ข้าใช้มาตรฐานของตัวเองไปตัดสินผู้อื่นและเข้าใจศิษย์หลานผิด ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นคนประเภทที่จะเก็บแต่สิ่งดีๆ เอาไว้เป็นของตัวเอง!”
จิ่วอูถอนหายใจครู่หนึ่งก่อนจะยกจอกสุราขึ้นดื่มแล้วกล่าวว่า “ข้าควรถูกลงโทษ ข้าสมควรได้รับโทษจริงๆ!”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “สำนักนี้ก็คือบ้านของข้า และความเจริญรุ่งเรืองของสำนักย่อมขึ้นอยู่กับทุกคนขอรับ ท่านอาจารย์ลุง อืม…แล้วสำนักจะให้รางวัลใดได้บ้างหรือขอรับ”
จิ่วอูยิ้มแล้วกล่าวว่า “เราจะไม่พลาดในส่วนของเจ้าอย่างแน่นอน! แล้วเจ้าปรารถนาสิ่งใดเล่า”
“หากเป็นไปได้ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวขณะที่ชี้ไปยังเตาหลอมโอสถที่อยู่ข้างๆ เขา
จิ่วอูตกตะลึงในคราแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าแล้วตอบตกลง
เขายังกล่าวอีกว่า “หากเจ้าไม่พบเตาหลอมโอสถใดที่เจ้าชอบในสำนัก ข้าจะขอให้อาจารย์ป้าจิ่วซือสร้างให้เจ้าเมื่อนางออกมาจากการปิดด่าน!”
“แม้ทักษะการหลอมอาวุธของนางไม่อาจเทียบได้กับเหล่าผู้อาวุโสเซียนเทียนในสำนัก แต่ก็นับว่านางมีฝีมือเก่งกาจในเรื่องนี้ทีเดียว!”
หลี่ฉางโซ่วพลันยิ้มแย้มออกมาทันทีแล้วดื่มให้จิ่วอูครั้งแล้วครั้งเล่า
และทันใดนั้นทุกคนต่างก็ดื่มสุราอวยพรให้แก่กัน ทั้งสองลุงหลานก็เข้ากันได้ดีอย่างกะทันหัน…
เมื่อพวกเขาดื่มจนเมาเล็กน้อย หลี่ฉางโซ่วก็แนะนำให้เอากระต่ายที่ใช้ทดสอบอาหารลงไปในเตาหลอมโอสถเพื่อทำให้เป็น ‘กระต่ายอบยา’ และจากนั้นพวกเขาก็เริ่มทำเช่นนั้นจริงๆ
รสชาติดียิ่ง
หลังจากดื่มสุราและทานอาหารมื้อนี้แล้ว สามวันต่อมา จิ่วอูก็กลับมาหาหลี่ฉางโซ่ว แล้วพาหลี่ฉางโซ่วไปที่ยอดเขาตันติ่งเพื่อเลือกเตาหลอมโอสถใหม่
ยอดเขาตันติ่งเป็นสาขาหนึ่งของสำนักตู้เซียนที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมโอสถและการหลอมอาวุธ แม้ว่าจะมีการหลอมโอสถและอาวุธเวทไม่มากนัก แต่ก็มีชื่อเสียงดีในในดินแดนเทวะบูรพา และถือเป็นจุดเด่นที่หายากของสำนักตู้เซียน
และทันทีที่หลี่ฉางโซ่วและจิ่วอูเพิ่งออกไปจากยอดเขาหยกน้อย ก็มีร่างงดงามบินมาจากทิศทางของยอดเขาพิชิตสวรรค์
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาจับภาพร่างงดงามนี้ได้
ไม่จำเป็นต้องมองใบหน้าของนางให้ชัด เพียงแค่มองดูรูปร่างเพรียวบางและสมบูรณ์แบบของนางรวมถึงชุดสีแดงเพลิงที่คุ้นเคย เขาก็รู้ว่าเป็นผู้ใดกัน
โหย่วฉินเสวียนหย่า
เวลานี้ บนยอดเขาหยกน้อย หลันหลิงเอ๋อร์กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ใต้ต้นไม้…
หลี่ฉางโซ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจปล่อยไปโดยไม่เข้าไปยุ่งด้วยแล้วหันไปพูดคุยกับอาจารย์ลุงจิ่วอู
และเมื่อลุงกับหลานชายคู่นี้ไม่มีอุบายเล่ห์เหลี่ยมต่อกัน พวกเขาก็พูดคุยกันถูกคอด้วยมีความสนใจคล้ายคลึงกัน
……
ในขณะนี้ที่ใต้ต้นหลิว โหย่วฉินเสวียนหย่ายืนเงียบๆ และชี้แจงถึงความตั้งใจในการมาของนาง
แม้นางจะต้องการมาที่ยอดเขาหยกน้อยเพื่อพบกับศิษย์พี่ผู้นั้น แต่นางก็ไม่อาจมาปรากฏตัวโดยไม่มีเหตุผลได้ หลังจากออกมาจากการปิดด่านในครั้งนี้ นางก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาสองสามวัน และในที่สุดก็หาเหตุผลได้
นางตัดสินใจใช้ข้ออ้างในการมาขอข้อมูลในการฝึกฝนเวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย
หลังจากกล่าวจบ โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ก้มหน้าลงและรออย่างเงียบๆ ลึกลงไปในใจของนางแล้ว นางก็รู้สึกว่าข้ออ้างของนางนั้นเกินจริงไปสักหน่อยและไม่รู้ว่านางจะหลอกเขาได้หรือไม่…
ชั่วขณะนั้นนางได้ยินเสียงลมเสียดสีดังกรอบแกรบแว่วในหู ทว่าไม่ได้ยินคำตอบของหลิงเอ๋อร์
ทันใดนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็เงยหน้าขึ้นและเห็นแผ่นหินชนวนที่ถูกสลักอักขระเอาไว้สองสามบรรทัด
‘ศิษย์พี่เพิ่งออกไป
ข้าถูกศิษย์พี่ทำโทษ ข้าจึงไม่อาจพูดได้เจ้าค่ะ
ศิษย์พี่หญิงเข้าไปนั่งในบ้านแล้วรอสักครู่นะเจ้าคะ’
หลิงเอ๋อร์แอบหัวเราะในใจ นางเคยสัญญากับศิษย์พี่ว่าจะไม่คุยกับคนแปลกหน้า แล้วนางก็รู้สึกว่าอาจนับศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินเป็นคนแปลกหน้าได้ แม้ว่าพวกนางจะเคยนอนด้วยกันแล้ว
นางคิดว่าหากนางเอ่ยเช่นนั้น ศิษย์พี่โหย่วฉินจะต้องจากไปอย่างแน่นอน
จริงๆ แล้ว คำว่า ‘ออกไป’ นั้นค่อนข้างคลุมเครือ ซึ่งง่ายมากที่จะทำให้คนคิดว่าเขาออกจากสำนักไป
“ก็ดีเหมือนกัน”
และนอกจากนี้ยังมี?
“ขออภัยที่รบกวนเจ้า ศิษย์น้องหญิง”
โหย่วฉินเสวียนหย่าประสานมือและโค้งคารวะให้หลิงเอ๋อร์ก่อนจะเดินไปที่กระท่อมมุงจากด้านข้างด้วยตัวของนางเอง
หลิงเอ๋อร์เอียงศีรษะ กำลังจะเอ่ยออกไป ทว่าทันใดนั้น นางก็อดจะตบหน้าผากของนางไม่ได้…
ศิษย์พี่หญิงผู้นี้…
นางคือตัวอันตรายใช่หรือไม่
ท่านไม่เข้าใจความรักและความซับซ้อนของมนุษย์ในวิถีของโลกเช่นนี้หรือ