เหตุใดไม่นานมานี้ รักแร้ซ้ายของข้าจึงคันมาก
ขณะกำลังหลอมโอสถ หลี่ฉางโซ่วก็ขยับเหยียดแขนซ้ายของเขาแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
ยามนี้เขามีร่างเซียนที่บริสุทธิ์ดุจหยกจากภายในสู่ภายนอกแล้ว
แล้วจู่ๆ คนที่บริสุทธิ์เช่นเขา…จะรู้สึกคันรักแร้ได้อย่างไรเล่า
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ในตัวเขาเองหลังจากตรวจสอบมาครึ่งเดือนแล้ว
มันอาจเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการลงทัณฑ์ของสวรรค์หรือไม่ มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็ทำได้เพียงควบแน่นร่างเซียนของเขาที่ยังคงไม่สมบูรณ์ให้แข็งแกร่งขึ้น และเขาต้องค่อยๆ รวบรวมฐานพลังของเขาช้าๆ
หลังจากที่เขาทะยานขึ้นสู่เซียนแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกว่าความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แม้ความเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่ชัดเจนนัก แต่เขาก็ยังมั่นใจขึ้นบ้าง
และผลก็คือ…เขายังถึงกับกล้าสำเร็จเฉิงเต๋า[1]ในหอโอสถ!
เฮ้อ อย่างไรเขาก็ต้องระวังให้มากกว่านี้
มาทำตามกฎเก่าและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ขอบเขตเล็กๆ ก่อนที่จะไปยังขอบเขตต่อไป
ยามนี้เขายังมีอายุขัยยืนยาวและการข้ามผ่านมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพก็ยังอยู่ห่างไกลออกไปเช่นกัน จึงยังไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลมากเกินไป
โดยการทำให้รากฐานมั่นคงและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรากฐานเซียนของเขาเท่านั้นที่เขาจะสามารถเรียนรู้วีถีเซียนสู่ความเป็นอมตะได้ และเมื่อนั้นเขาจะมีพลังมากพอที่จะปกป้องชีวิตของเขาเองได้ในอนาคต
และขณะนี้ ด้วยสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาทำให้เขาสัมผัสได้ว่าหลิงเอ๋อร์กำลังบินมาจากกระท่อมมุงจาก หลี่ฉางโซ่วจึงปิดค่ายกลบางส่วนและปล่อยให้นางมาถึงหอโอสถอย่างราบรื่นตลอดทาง
ในไม่ช้า หลิงเอ๋อร์ก็กระโดดลงจากก้อนเมฆแล้วมาที่หอโอสถ
“ศิษย์พี่! ท่าน…ท่านกำลังอบมือของท่านหรือเจ้าคะ”
“อบมืออันใดกัน นี่คือการหลอมโอสถ”
ในหอโอสถ หลี่ฉางโซ่วพลันหันร่างแล้วเดินออกไปเพื่อเผยให้เห็นเตาหลอมโอสถขนาดเล็กสูงสามฉื่อ
ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์พลันกะพริบตาขณะถือกล่องอาหารกลางวัน นางมองหอโอสถที่กว้างขวางมากขึ้น และ เตาหลอมโอสถขนาดเล็กสูงสามฉื่อที่อยู่บนพื้น จากนั้นก็วาดโครงร่างของเตาหลอมโอสถขนาดใหญ่ขึ้นด้วยนิ้วของนาง…
“แล้วเตาที่ใหญ่กว่าเล่าเจ้าคะ”
“มันระเบิดไปเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว” หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะแล้วถอนหายใจขณะที่ควบคุมไฟของเตาหลอมโอสถขนาดเล็กนั้นอย่างระมัดระวัง
ไม่มีกฎห้ามหรือค่ายกลใดๆ สำหรับเตาหลอมโอสถและไม่มีวิธีใดที่จะทำให้เปลวไฟในเตาหลอมโอสถเสถียร มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเหมือนปัญหาในช่วงแรกๆ เมื่อหลายปีก่อน และเขาจำเป็นต้องควบคุมไฟอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโอสถเซียนบางชนิดก็ไม่สามารถถูกกลั่นสกัดออกมาได้เช่นกัน
“ศิษย์พี่ ท่านต้องใส่ใจระมัดระวังในการหลอมโอสถ แบบนี้มันไม่อันตรายเกินไปนะเจ้าคะ”
หลันหลิงเอ๋อร์เตือนด้วยความกังวลก่อนจะถือกล่องใส่อาหารหงส์ที่เจาะเป็นรูกลวงสีม่วงเข้มแล้ววางลงบนโต๊ะเตี้ยๆ ข้างร่างของนาง
จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าดูเหมือนหลังคาจะถูกแทนที่อีกด้วย
นางง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะทั้งสองเข้ามาวางด้วยกัน ก่อนจะเปิดใช้งานกฎห้ามง่ายๆ บนโต๊ะ จากนั้นก็นำอาหารอันโอชะที่เพิ่งปรุงสดใหม่ออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ
เมื่อหลี่ฉางโซ่วไม่อยู่บนภูเขา หลันหลิงเอ๋อร์ก็สวมชุดฝึกบำเพ็ญหลวมๆ ของนางเกือบตลอดเวลา
ทว่าเมื่อเขาอยู่บนภูเขา แม้นางจะไม่ได้พบเขามาสองสามวัน แต่นางย่อมต้องเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงเทพธิดาที่สวยงามอย่างแน่นอน และบางครั้งก็จะวาดคิ้วและทาชาดที่ปากด้วย…
“ศิษย์พี่ คราวนี้ ท่านยังจะเชิญอาจารย์ลุงจิ่วอูด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม เมื่อวานอาจารย์ลุงจิ่วอูส่งสารผ่านกระเรียนกระดาษมา เขาบอกว่าอยากมาคุยกับข้าในวันนี้”
หลี่ฉางโซ่วสูดลมหายใจเข้าลึกในขณะที่เปลวไฟในเตาก็ค่อยๆ ดับลง แล้วเม็ดโอสถก็เริ่มปล่อยกลิ่นหอมฟุ้งของโอสถออกมาแล้ว…
เมื่อคิดถึงวิธีที่เขาหลอกจิ่วอูเมื่อสองสามปีก่อนและทำให้จิ่วอูต้องทำสัตย์สาบานเหล่านั้น หลี่ฉางโซ่วก็แย้มยิ้มออกมาทันที
งานเลี้ยงครั้งนี้ เขาจะถือว่าเป็นการขออภัยต่อท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู
หลังจากจัดจานอาหารและอุ่นสุราแล้ว หลันหลิงเอ๋อร์ก็มองไปยังถุงซึ่งห้อยอยู่ที่เอวของนางแล้วหัวเราะคิกคักออกมา
“มีเรื่องอันใดกัน” ระหว่างที่รอให้โอสถพร้อม หลี่ฉางโซ่วก็เอ่ยถามอย่างเป็นกันเองว่า “เจ้าฟื้นตัวเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ ดูเหมือนว่า เจ้าจะลืมบทเรียนจากครั้งที่แล้ว”
“ไม่นะ ข้าไม่ได้ลืม! ข้าไม่เคยลืมเจ้าค่ะ!”
หลันหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างรวดเร็ว และเผยสีหน้าโศกเศร้าลำบากใจขณะคร่ำครวญว่า “ศิษย์พี่ เป็นความผิดของข้าเองที่ทำให้ท่านโกรธเมื่อก่อนหน้านี้…”
“ก็ได้ หลี่ฉางโซ่วยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าทำอะไรให้ข้า จงเอามันออกมาเถิด”
ดวงตาของหลันหลิงเอ๋อร์เป็นประกายฉับพลันแล้วกล่าวอย่างยินดีว่า “ฮิฮิ ศิษย์พี่แอบดูข้าแน่ๆ”
หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องแอบดู ข้าก็เดาได้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในใจ”
“อันใดกัน” หลันหลิงเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นนางก็โยนถุงใส่เขาแล้วเดินออกไปจากประตูพร้อมกับเม้มปากบูดบึ้งทันที
“ศิษย์พี่หน้าเหม็น นี่เสื้อคลุม ข้าทำมาให้ท่าน!…
…ข้าจะกลับไปฝึกบำเพ็ญต่อ แล้วจะกลับมาล้างจานให้ทีหลังเจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วหยิบถุงแล้วมองเข้าไปข้างใน แล้วจึงเห็นว่ามันเป็นเสื้อคลุมธรรมดาสีเขียวเข้ม จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา
แน่นอนว่าการดูแลและฝึกฝนศิษย์น้องหญิงน้อยไม่ได้ทำให้เสียเปล่าเลย…
เขาพอใจเสื้อคลุมนี้มาก มันเหมาะกับเขาอย่างยิ่ง
ขณะนี้หลี่ฉางโซ่วนั่งรอให้จิ่วอูมาถึงอยู่บนเก้าอี้โยกด้านนอกหอโอสถเงียบๆ เขาหลับตาและใคร่ครวญถึงพลังศักดิ์สิทธิ์และทักษะเวท
และไม่นานหลังจากนั้น ร่างของนักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกยอดเขาหยกน้อย
หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นยืนพลางทักทายและต้อนรับเขาพร้อมกับปิดค่ายกลที่อยู่รอบๆ ก่อนจะโค้งคำนับให้ท่านอาจารย์ลุงของเขา และทุกอย่างก็เป็นเฉกเช่นเดิม
ทว่าคราวนี้ นักพรตเต๋าร่างเตี้ยหันกลับมาแล้วเดินไปรอบๆ สถานที่สองสามรอบ และในที่สุดก็หยุดห่างจากเขาพลางมองไปรอบๆ ขณะที่ไพล่มือเอาไว้ข้างหลัง
บัดนี้สายตาของเขาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
หลี่ฉางโซ่วยิ้มโดยไม่เอ่ยอันใด เขายืนรออยู่ที่ประตูเงียบๆ และเมื่อเห็นท่านอาจารย์ลุงของเขากำลังเดินเข้ามา เขาก็ไม่ได้เอ่ยวาจาใด
ทั้งสองมองหน้าและยิ้มให้กันขณะที่ยังอยู่ห่างออกไปสามสิบฉื่อ
“แค่กๆ!”
จิ่วอูกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวอย่างสงบว่า “เหตุใดกัน คราวนี้…เจ้าไม่ได้ต้องการให้ข้าแนะนำเจ้าในการจัดวางค่ายกลหรือ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า ท่านอาจารย์ลุง เมื่อท่านแจ้งว่าจะมาที่นี่ ศิษย์เลยขอให้ศิษย์น้องหญิงช่วยทำอาหารและสุราเอาไว้ให้ ท่านอาจารย์ลุงขอรับ หากท่านประสงค์จะแนะนำวิธีการฝึกฝนค่ายกลให้ศิษย์ เช่นนั้นศิษย์ก็มีข้อสงสัยอยู่บ้างขอรับ”
“ไม่ ไม่” จิ่วอูส่ายศีรษะแล้วปฏิเสธทันที “ข้าแก่แล้วและไม่อาจชี้แนะเจ้าได้หรอก ข้าไม่ทำอีกแล้ว”
“ท่านอาจารย์ลุง ความสำเร็จในด้านค่ายกลของท่านนั้นมากเกินกว่าที่ศิษย์จะสามารถทำได้ขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึมว่า “ศิษย์เพิ่งพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ ในบางด้านเพียงเล็กน้อยที่ไม่สำคัญนัก หากศิษย์ต้องการสร้างค่ายกลที่ทรงพลังจริงๆ ศิษย์จะต้องมีเซียนอัจฉริยะเช่นท่าน ผู้เก่งกาจในการจัดวางค่ายกล และมีขอบเขตพลังสูง รวมถึงมีวัสดุที่เพียงพอขอรับ”
จิ่วอูพลันเลิกคิ้วหนาสั้นแล้วยิ้มออกมา
“คราวนี้ เจ้าคงไม่แอบวางผลึกบันทึกเหตุการณ์กับข้าใช่หรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและส่ายศีรษะ ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับและเชิญท่านอาจารย์ลุงของเขาเข้ามาในหอโอสถ จิ่วอูก็เผยรอยยิ้มอย่างไม่เต็มใจและดึงมันออกจากเสื้อคลุมเต๋าของเขา…
แล้วผลึกแก้วทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นสองลูกก็ปรากฏขึ้นมา
“เหอะๆ ข้าเอามาด้วย!”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันฉับพลัน…
“เพียงท่านสำราญใจเท่านั้นขอรับ ท่านอาจารย์ลุง” หลี่ฉางโซ่วทำท่าทางเชิญชวนแล้วกล่าวว่า “คราวนี้ศิษย์ไม่มีอะไรจะถามท่าน ข้าเพียงแค่อยากฟังคำสอนของท่านอาจารย์ลุง เชิญท่านอาจารย์ลุง เข้ามาเถิดขอรับ”
ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาตรวจสอบและพินิจพิเคราะห์
จิ่วอูสังเกตเห็นความผิดปกติของขวดโอสถและวิเคราะห์ในใจพลางคาดคะเนว่าเตาหลอมโอสถขนาดเล็กจะสร้างอะไรได้
ในที่สุด หลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ทั้งจิ่วอูและหลี่ฉางโซ่วต่างก็นั่งลง
และขณะที่จิ่วอูมองดูงานเลี้ยงตรงหน้าเขา…
[1] รู้แจ้งหรือบรรลุเต๋า