เวลานี้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก้าวเข้าสู่เมืองหลินไห่ แล้วขี่ก้อนเมฆบินผ่านห้องใต้หลังคาและบ้านหินขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งคึกคักไปด้วยร้านขายยามากมายมารวมตัวกัน
ข้าจะต้องฉกฉวยธุรกิจจากสำนักของเขามาอีกครั้ง
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจ
โอสถก็เป็นธุรกิจหลักของร้านสำนักตู้เซียนในเมืองเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เขาจะไปเยือนสถานที่นั้นเพียงไม่กี่วันในทุกๆ สองสามปี แม้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของสำนักของเขาในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรทำให้ธุรกิจของสำนักต้องตกต่ำลง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นเพียงพ่อค้าเร่ขายรายย่อยเท่านั้น
แม้สินค้าของเขาจะมีคุณภาพสูงและขายราคาต่ำในปริมาณมาก…
……
หลังจากที่ผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองออกจากเมือง พวกเขาก็บินไปทางตะวันตกเฉียงใต้ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนทิศทางฉับพลันแล้วเร่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
อันที่จริง ครั้งนี้ปรมาจารย์ของสำนักเซียนสองสามแห่งในดินแดนเทวะบูรพาได้เชิญเซียนเสิ่นที่พวกเขาคุ้นเคยซึ่งมาจากเกาะเต่าทอง
เกาะเต่าทองเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันดีของสำนักบำเพ็ญเจี๋ย ซึ่งผู้บำเพ็ญจะได้รับเชิญจากสำนักเซียนบางแห่งให้เข้าร่วมการสนทนาหารือเกี่ยวกับเต๋า
เดิมทีพวกเขาได้ออกไปสนทนาหารือเกี่ยวกับเต๋าเป็นเวลาสามเดือนแล้ว พวกเขาไปกินและดื่มที่สำนักเซียนสองสามแห่งในดินแดนเทวะบูรพา…แค่กๆ พวกเขาได้เทศนาและอ่านพระคัมภีร์…
การเดินทางครั้งนี้เสร็จสิ้นและได้เวลากลับแล้ว
เนื่องจากอ๋าวอี่ทำได้ดีมากในระหว่างการสนทนาเต๋า และเอาชนะเซียนหยวนที่ถูกส่งมาจากสำนักเซียนสองสามแห่งได้อย่างง่ายดาย
และนอกจากนี้ ความอาวุโสของอ๋าวอี่นั้นก็เหมือนกับเซียนเทียนทั้งห้าของสำนักบำเพ็ญเจี๋ย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจให้รางวัลแก่เขาโดยตรงได้
ดังนั้นพวกเขาจึงพาอ๋าวอี่ไปที่เมืองหลินไห่และเลือกของขวัญมากมายให้แก่อ๋าวอี่
และอ๋าวอี่ก็แจกจ่ายของขวัญเหล่านั้นให้แก่ศิษย์หลานสาวสองคนที่อยู่ข้างๆ เขา ทำให้พวกนางทั้งสองล้วนเบิกบาน และเซียนเทียนสองสามคนจากเกาะเต่าทองก็ยินดีมากเช่นกัน
หากว่ากันว่าบุตรชายของเจ้าสำนักเซียนผู้ยิ่งใหญ่มีห้องเก็บสมบัติของเขาเอง เช่นนั้นแล้ว ก็ถือได้ว่า อ๋าวอี่ รัชทายาทแห่งวังมังกรทะเลบูรพามีบ้านของเขาอยู่ในห้องเก็บสมบัติ…
ในทางกลับกัน อ๋าวอี่ไม่ตระหนี่ใดๆ เลยเมื่อมอบของขวัญให้กับศิษย์ของ ‘ศิษย์พี่’ สองสามคนเพื่อให้พวกเขามีความสุข
หากจำเป็น เขาจะนำยันต์สื่อสารออกมาและแจ้งให้ตระกูลของเขารับรู้ถึงแผนการของเขา จากนั้นเขาก็จะสามารถมอบของขวัญมากมายให้กับผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองในวันพรุ่งนี้ได้
เมื่อออกจากเมืองแล้ว ทั้งกลุ่มก็อยากจะไปเยือนเกาะเต่าทอง
แต่อ๋าวอี่ครุ่นคิดในใจเล็กน้อยก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ศิษย์พี่ ข้ามีเรื่องอยากขอร้อง”
จากนั้นพวกเขาทั้งห้าจึงหันกลับมามองอ๋าวอี่ด้วยความเอาใจใส่
“ไม่มีการร้องขอใดไม่สมเหตุสมผล หากมีการร้องขอก็ต้องมีการตอบกลับ ศิษย์น้องอ๋าวอี่เพียงแค่เอ่ยความคิดของเจ้าออกมาเท่านั้น…
…พวกเรา ผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองล้วนเป็นมิตรรักใคร่ไม่แบ่งแยกกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านฟันฝ่าไปด้วยกัน!”
“ถูกต้อง และไม่ใช่แค่เกาะเต่าทองของเรา แต่จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันสำหรับทุกคนในสำนักบำเพ็ญเจี๋ย หากพวกเราคนใดมีปัญหา ทุกคนก็จะมาช่วยเหลือกัน!”
อ๋าวอี่ยิ้มในใจ แต่สีหน้าท่าทางของเขายังคงจริงจังมากขณะเอ่ยเสียงต่ำว่า “อันที่จริง ข้ามีความลับอยู่ในใจเสมอ”
สตรีสองคนที่อยู่ด้านข้างหันไปมองในทันที ดวงตาของพวกนางล้วนเปล่งประกาย
เด็กสาวคนหนึ่งมีผมเปียนับสิบ ทำให้นางดูอ่อนโยนและน่ารัก นางคือ หานจื่อ ผู้ซึ่งเฝ้าดูชะตากรรมข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของหลี่ฉางโซ่ว
ในบรรดาเซียนเสิ่นทั้งห้า หนึ่งในนั้นคืออาจารย์ของหานจื่อ ซึ่งเป็นนักพรตเต๋าชรานามว่า หยวนเจ๋อ
อ๋าวอี่ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจในทะเลบูรพาครานั้น ยามที่ข้ามีอายุเพียงแค่สิบขวบเท่านั้น ข้าได้รับคำสั่งให้ช่วยวังมังกรหาคนมาต่อสู้ด้วย แต่ข้าก็พ่ายแพ้ให้ศิษย์ของสำนักตู้เซียนที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตา มันเป็นบาดแผลในใจที่อาจเป็นปัญหาขัดขวางการฝึกบำเพ็ญ ซึ่งข้าก็ยังไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ไปได้”
เขากล่าวต่อว่า “เวลานี้ข้าได้ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์จนกลายเป็นเซียนแล้ว แม้ข้าจะอยู่เพียงขอบเขตเซียนหยวนเท่านั้น แต่ข้าก็ยังอยากต่อสู้กับและหารือเรื่องเต๋ากับคนผู้นั้นอีกสักครั้ง”
“อย่างนั้นหรือ” หยวนเจ๋อถามด้วยรอยยิ้ม
ชั่วเวลานั้น ใบหน้าของอ๋าวอี่เผยความอับอายออกมาขณะก้มศีรษะลงแล้วกล่าวว่า “ขอรับ”
“ง่ายมาก” นักพรตเต๋าวัยกลางคนอีกคนตอบยิ้มๆ และพร้อมด้วยการโบกมือของเขาเบาๆ เมฆขาวก็ลอยไปทางสำนักตู้เซียน “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ไปเดินเล่นที่สำนักตู้เซียนกัน”
นักพรตเต๋าจ้งอวี่ รองเจ้าสำนักตู้เซียนมีมิตรภาพที่ดีกับเขาเช่นกัน
“สำนักตู้เซียนเป็นสำนักเซียนในกลุ่มสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินในขณะที่เกาะเต่าทองของเราก็เป็นสถานที่สืบทอดคำสอนของกลุ่มสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยด้วย แล้วไยเราจะไปเยี่ยมเยียนไม่ได้เล่า”
ในเวลานั้นคนอื่นๆ ต่างก็เห็นตามด้วยดีเช่นกัน
แล้วหนึ่งในนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น พวกเราควรแจ้งพวกเขาล่วงหน้าก่อนหรือไม่ จะได้ไม่มีเรื่องน่าอึดอัดใจเกิดขึ้น”
ทว่านักพรตเต๋าชราหยวนเจ๋อก็โบกมือแล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ไม่ต้องห่วงหรอก ในครั้งนี้ เราไม่ได้ไปหาเรื่องต่อสู้กับพวกเขาจริงๆ เราแค่ไปหารือเรื่องเต๋า และปล่อยให้คนหนุ่มสาวเรียนรู้ซึ่งกันและกันเท่านั้น”
และในตอนท้ายของคำพูดนั้น เด็กสาวสองคนที่กำลังจับมือกันต่างก็พากันมองหน้ากันและกัน
จากนั้นเด็กสาวคนหนึ่งก็เปิดใช้งานอาวุธเวทซึ่งเป็นสร้อยข้อมือบนข้อมือของนางเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นได้ยินการสนทนาระหว่างพวกนางทั้งสอง
นางกระซิบเสียงเบาว่า “หานจื่อ อาจารย์ของเจ้าเอาอีกแล้ว”
หานจื่อเม้มปากพลางกล่าวอย่างเศร้าใจว่า “เตรียมตัวให้พร้อมเถิด”
“เฮ้อ อาจารย์ของข้าเปรียบได้กับอาวุธเวทแห่งเต๋าสวรรค์ เมื่อยามที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ อาจารย์ก็กล่าวว่า ‘ไม่ต้องกังวล ทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าจะต้องมีเพียงหกทัณฑ์สวรรค์เท่านั้น’ แต่ผลก็ลงเอยด้วยการที่ข้าต้องเผชิญแปดทัณฑ์สวรรค์จนเกือบตาย…ความจริงแล้ว คุณสมบัติและการสั่งสมของข้า ควรมีเพียงไม่เกินเจ็ดเท่านั้น”
จู่ๆ เด็กสาวอีกคนก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้และขึ้นสู่เซียนไปได้เช่นกัน”
“เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้…” ดูเหมือนหานจื่อจะมีท่าทีรำลึกอย่างเหม่อลอยเล็กน้อยขณะกล่าวต่อว่า “ข้าข้ามผ่านแปดทัณฑ์สวรรค์ด้วยตัวเอง และมันเป็นแปดทัณฑ์สวรรค์ระดับล่าง ในยามนั้นเองที่ข้าตระหนักได้ว่าทัณฑ์สวรรค์บรรลุเซียนนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวเพียงใด และข้านึกไม่ออกว่าจริงๆ ว่าผู้ที่ผ่านเก้าทัณฑ์สวรรค์ในทะเลทักษิณในวันนั้น จะเป็นคนเยี่ยงใดกัน”
“จะต้องเป็นร่างจุติใหม่ของมหาบุรุษโบราณที่ทรงพลังเป็นแน่”
“ก็อาจจะ…”
แล้วสองสาวน้อยก็หัวเราะกันเบาๆ และจากนั้นไม่นาน หัวข้อสนทนาก็ตกไปอยู่ที่มังกรหนุ่มน้อยที่อยู่ข้างหน้าพวกนาง
การปรากฏกายของชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้ ย่อมทำให้เด็กสาวเบิกบานใจยิ่ง
แล้วครึ่งวันต่อมา ก็สามารถมองเห็นค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่บางและเรียบเนียนของสำนักตู้เซียน แล้วกลุ่มคนของเกาะเต่าทองก็ล่องลอยข้ามไปในขณะที่พูดคุยและหัวเราะกัน
บัดนี้รอยยิ้มบนริมฝีปากของอ๋าวอี่ก็ดูมีนัยลึกซึ้งยิ่งขึ้น
……
“เอ๋?”
ขณะนี้ ในป่าบนภูเขา ฉีหยวนที่กำลังคิดเกี่ยวกับ “ทักษะสงบลมปราณเต่า” พลันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นกลุ่มคนของเกาะเต่าทองลอยอยู่เหนือเมฆ
เขารู้สึกถึงพลังแรงกดดันจากเหล่าเซียนเทียนสองสามคน และรู้สึกสับสนเล็กน้อยในใจ เขาไม่รู้ว่าปรมาจารย์เหล่านั้นมาจากที่ใดและเหตุใดพวกเขาถึงมาที่ไปที่สำนักตู้เซียน
“มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับยอดเขาหยกน้อยสักหน่อย”
ฉีหยวนผู้เฒ่าแย้มยิ้มแล้วเหลือบมองยันต์สื่อส่งสารที่ศิษย์คนโตของเขาส่งมาให้ นอกจากนี้ เขายังรู้สึกว่ามีเพียงปรมาจารย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่มาเยี่ยมสหายที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลี่ฉางโซ่ว
เขายังคงครุ่นคิดถึงทักษะซ่อนลมปราณที่ศิษย์ของเขาสร้างขึ้นมา
และในไม่ช้า นักพรตเต๋าชราฉีหยวนก็ระงับกลิ่นอายลมปราณของเขาได้อย่างสมบูรณ์ แล้วร่ายเวทแปลงกายก่อนจะกลายเป็นตอไม้ด้วยท่าทีตื่นเต้น
และหลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนรอบคอบมาระยะหนึ่งแล้ว…
“มันช่วยให้ปลอดภัยอย่างน่าทึ่งจริงๆ”