“อาจารย์ เหตุใดท่านถึงมาอยู่ภายในนี้ด้วยเจ้าคะ”
“เอ่อ…นี่ไม่ใช่ว่าข้ามาหาเจ้าในฐานะอาจารย์หรือ เอาละ ขึ้นไป! อย่าทำให้อาจารย์ต้องขายหน้าที่นี่! ”
จากมุมที่อยู่ของอ๋าวอี่ เขามองเห็นได้จากหางตาของเขาว่า นักพรตเต๋าชรา หยวนเจ๋อรีบพาเด็กสาวสองคนลอยกลับไปขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขากลับมาที่ฝูงชน พวกเขาก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น…
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็บินขึ้นไปในอากาศและโค้งคำนับ
“ข้า ศิษย์ผู้น้อยของยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่ว ข้าขอน้อมพบท่านผู้อาวุโส อาจารย์ลุงและอาจารย์อา และผู้อาวุโสทุกท่านขอรับ…”
เสียงที่คุ้นเคยค่อยๆ เคลื่อนผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ชั่วขณะนั้น ขาของอ๋าวอี่สั่นขณะที่เขาเดินโซเซไปข้างหน้า
เขาแพ้…
น่าจะบอกว่าแพ้อีกแล้ว
เมื่อเขาอายุได้สิบขวบ เขาอยากแพ้ แต่หลี่ฉางโซ่วกลับยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าเขา ทว่าแท้จริงแล้วเขาคือผู้แพ้…
วันนี้…
ข้ามีไข่มุกวิญญาณวารีที่พระมารดามอบให้ข้า แต่ข้าก็ยังไม่อาจทำลายค่ายกลกับดักธรรมดาเหล่านี้ได้
ข้าถือกระบี่เกราะน้ำแข็งที่อาจารย์มอบให้ แต่ข้าก็ยังไม่อาจขจัดความสับสนออกไปได้
แล้วข้าจะมีหน้าไปท้าคนผู้นี้ด้วยกระบี่เล่มนี้เพื่อเรียนรู้ได้อย่างไร
แต่เขาจะเต็มใจยอมจำนนง่ายๆ ได้อย่างไร
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะคิดแผนสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง เขาต้องการใช้ผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองที่ชอบพูดคุยเกี่ยวกับเต๋าไปทุกที่เพื่อท้าทายชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์…
เหตุใดสิ่งต่างๆ ถึงผิดพลาดตั้งแต่แผนเพิ่งเริ่มต้นเช่นนี้ …
อ๋าวอี่ยังคงยืนอยู่ที่นั่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป เขาคิดว่าเขาควรจะโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วและกล่าวว่า “ข้าไม่เก่งกาจเท่าเจ้า” แล้วหันหลังเดินจากไป
หรือไม่ก็ทำตามแผนของตนเองต่อไป ไม่ใส่ใจหน้าตา แล้วค่อยพูดคุยกับศิษย์มนุษย์คนนี้อีกครั้ง…
อ๋าวอี่ถอนหายใจในใจ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อยากทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้
หลังจากเก็บไข่มุกแล้ว เขาก็เสียบกระบี่กลับเข้าไปในฝักแล้วก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าวก่อนจะคำนับให้หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งอยู่ที่หน้าหอโอสถ
“ข้า อ๋าวอี่ วันนี้ ข้าได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของค่ายกลเต๋าของเจ้าแล้ว”
และหลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็หันหลังกลับและจากไป
อย่างไรก็ตาม ปรมาจารย์เทียนเซียนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าพลันขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวอย่างเฉยเมย
“ในเมื่อสหายน้อยฉางโซ่วของเราได้ออกมาจากการปิดด่านแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการประลองด้านค่ายกลใดๆ เช่นนั้น ให้ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนทักษะกันตามปกติ ไม่ต้องใส่ใจว่าจะชนะหรือแพ้ ในวันนี้ พวกเราเกาะเต่าทองเพียงต้องการช่วยศิษย์น้องอ๋าวอี่กำจัดจิตมารในใจของเขาซึ่งเป็นผลมาจากความพ่ายแพ้ในครั้งก่อนของเขา”
อ๋าวอี่เงยหน้าขึ้น และลังเลจะกล่าว
ทว่าหนึ่งในผู้อาวุโสจากสำนักตู้เซียนกล่าวว่า “ฉางโซ่ว เจ้ายินดีที่จะต่อสู้กับองค์ชายแห่งวังมังกรอีกครั้งหรือไม่ เขาจะผนึกขอบเขตพลังของเขาเองให้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าที่คืนกลับอนัตตาขั้นเจ็ด”
หลี่ฉางโซ่วไม่ลังเลใจเมื่อคาดการณ์ปฏิกิริยาของทั้งสองฝ่ายเอาไว้แล้ว
การประลองครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว เพราะว่าทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันกันในด้านค่ายกลและศักดิ์ศรีแล้ว
เขาก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ศิษย์ ขอปฏิบัติตามแต่ทางสำนักจะเห็นควรขอรับ”
ทันใดนั้น รอยยิ้มของผู้อาวุโสเหล่านั้นบนท้องฟ้าก็เบิกบานขึ้นทันที
เหล่าผู้อาวุโสบรรลุข้อตกลงกันโดยปริยายแล้ว พวกเขาตัดสินใจว่าหลังจากที่กลุ่มเกาะเต่าทองออกไปแล้ว พวกเขาจะให้รางวัลแก่หลี่ฉางโซ่ว ศิษย์ผู้น้อยของพวกเขาที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจคนนี้
และในขณะนั้น ทั้งกลุ่มก็กลับไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ทันที
เมื่อพวกเขามาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์นั้น มีเพียงห้าหรือหกคนบนท้องฟ้าเท่านั้น แต่เมื่อพวกเขากลับมา ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆ และดวงดาวก็มืดสนิท
หลี่ฉางโซ่วเดินตามหลังเหล่าเซียนไปอย่างเชื่อฟัง ในขณะที่จิ่วอูรีบวิ่งเข้ามาจับแขนของเขาแล้วเอนตัว…
“นี่ให้เจ้า”
จิ่วอูกล่าวพลางสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อของหลี่ฉางโซ่วเพื่อให้ถุงเก็บสมบัติ
จากนั้นเขาก็กล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “องค์ชายวังมังกรผู้นี้มีสมบัติวิญญาณที่ได้มาสองชิ้น กระบี่นั้นไม่ควรดูเบาเลย หากเขาต้องการทำร้ายเจ้าในภายหลัง เจ้าก็สามารถเอาสิ่งของในถุงเก็บสมบัติมาบดขยี้เขาได้”
“นี่คือตราประทับวิญญาณม่วงของอาจารย์ของข้า ซึ่งเป็นสมบัติวิญญาณเช่นกัน ข้าขอท่านมาเพราะต้องการให้เจ้ายืม จำไว้ว่ามันคือให้ยืม! ไม่ใช่ของขวัญสำหรับเจ้า!”
หลี่ฉางโซ่วอดจะหัวเราะไม่ได้ เขาหยิบถุงเก็บสมบัติมา ทว่าเขายัดมันกลับเข้าไปในแขนเสื้อของจิ่วอู
หือ? แขนเสื้อของอาจารย์ลุงคนนี้เย็บถุงเก็บสมบัติเอาไว้กี่ใบ
ไม่รู้ว่ามีดีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
“ท่านอาจารย์ลุง โปรดอย่ากังวล ข้ามีวิธีที่จะจัดการกับเขาในภายหลัง” หลี่ฉางโซ่วตอบกลับผ่านการส่งข้อความเสียงเช่นกัน “ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้…ตราบใดที่เขาไม่ต่อสู้และแปลงร่างเป็นมังกร”
จิ่วอูงงงวยในขณะที่หลี่ฉางโซ่วพึมพำอีกสองสามคำ
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยเลิกคิ้วทันที และยิ้มอย่างเหยียดหยาม “เป็นความคิดที่เหมาะแล้วหรือ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ท่านต้องยืดหยุ่นกับกฎเกณฑ์ นี่เป็นหลักการที่อาจารย์ของข้ามักจะสอน”
“ว่าแต่ อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ใด เจ้าควรให้เขามาดูเจ้าในเวลาที่เจ้ามีเรื่องปะทะกับใครสักคน”
“เอ่อ…” หลี่ฉางโซ่วส่งสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปเพื่อมองดูตอไม้ที่ผล็อยหลับไปในป่านอกภูเขาที่ห่างออกไปนอกประตูสำนักสองสามร้อยลี้ มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อยขณะที่แผ่สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาล้อมรอบเอาไว้
จากนั้นเขาก็ตอบว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้ ท่านอาจารย์มีอารมณ์ไม่ดีนัก ดังนั้นบางที เขาอาจจะออกไปเดินเล่น”
จิ่วอูถอนหายใจเบาๆ “ถูกต้อง อาจารย์ของเจ้าได้กลายเป็นเซียนจั๋ว วิถีเซียนของเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน อย่าคิดมาก ในครั้งนี้ จงสู้ให้ดี ไม่สำคัญว่าเราจะชนะหรือไม่ แต่อย่าแพ้อย่างน่าสมเพชเกินไป”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้า
บัดนั้น ข้างหน้าพวกเขา ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็หันมามองพวกเขาทั้งสองคน จิ่วอูจึงไม่กล้าพูดอะไร เขาขี่เมฆและตามคนที่เหลือไปกับหลี่ฉางโซ่ว
…
ครู่ต่อมา ที่ลานจัตุรัสด้านหน้าโถงตู้เซียนแห่งยอดเขาพิชิตสวรรค์ ผู้อาวุโสคนหนึ่งได้ขว้างไข่มุกราตรีเรืองแสงออกมาหลายสิบเม็ด ซึ่งทำให้สถานที่นั้นสว่างไสวและทำให้ดูเหมือนเป็นเวลากลางวัน
บัดนี้มีคนมากกว่าหนึ่งร้อยยืนอยู่หน้าห้องโถง และมีผู้บำเพ็ญมากกว่าครึ่งในสำนักตู้เซียน กำลังเฝ้าดูพวกเขาโดยใช้พลังปราณสัมผัสเซียนรับรู้และพลังสัมผัสเซียนรับรู้
ในเวลานั้น คนของเกาะเต่าทองไม่ได้เอ่ยวาจาใด
จิ่วอูพูดคุยกับผู้เฒ่าหลายคนชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดัง
“จุดประสงค์ของการพูดคุยและหารือเกี่ยวกับเต๋าคือการตรวจสอบและหยั่งรู้เต๋าของตนเอง ดังนั้นจึงควรเป็นการเปิดเผยความรู้เชิงหลักการของตนเอง ไม่ใช่การต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายจึงควรประมือกันอย่างเหมาะสมและไม่ทำร้ายกัน”
“พื้นที่เปิดโล่งด้านหน้าหอเป็นเขตแดน เราจะดำเนินการตามกฎของวังมังกรในเวลานั้น และแม้ว่าเจ้าจะพ่ายแพ้ แต่เจ้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สมบัติหรืออาวุธเวทสังหารใดๆ”
อ๋าวอี่และหลี่ฉางโซ่วต่างก็เห็นด้วยและยอมรับตามนี้
หลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็เก็บกระบี่ยาวที่เป็นสมบัติวิญญาณเอาไว้ที่เอวของเขา ก่อนจะหยิบถุงมือสีเงินขาวคู่หนึ่งออกมาแล้วสวมใส่มันช้าๆ
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปและประสานมือคารวะให้กับเซียนเทียนทั้งห้าแห่งเกาะเต่าทอง
“ศิษย์พี่ ยังต้องขอให้ศิษย์พี่โปรดช่วยข้าผนึกฐานพลังของข้าเป็นขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นเจ็ดขอรับ”
“ได้สิ” นักพรตเต๋าวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ แล้วเรียกยันต์ออกมาจากอากาศด้วยมือซ้ายของเขาก่อนจะโยนใส่ร่างของอ๋าวอี่ จากนั้น ลมปราณของอ๋าวอี่ก็ลดลงทันที
“ยันต์นี้สามารถผนึกขอบเขตพลังของเจ้าได้หนึ่งชั่วยาม”
“ขอบคุณศิษย์พี่ขอรับ”
หลังจากนั้น อ๋าวอี่และหลี่ฉางโซ่วก็เดินเข้าไปในลานแล้วแยกกัน พวกเขาอยู่ห่างกันสิบห้าฉื่อ และลมปราณของพวกเขาก็ขับเคลื่อนเกี่ยวพันปะปนกัน
แล้วทันใดนั้นก็มีคนตะโกนจากด้านข้าง “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว!”
หลี่ฉางโซ่วหันมองไปที่ด้านข้าง และพบว่าเป็นโหย่วฉินเสวียนหย่าในชุดสีแดงเพลิงกำลังเฝ้าดูเขาจากด้านหน้าของห้องโถงขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“อย่าต่อสู้หนักจนเกินกำลังของท่านมากเกินไป”
“ได้” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและพยักหน้าอย่างสุภาพ
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็มองไปที่อ๋าวอี่และกล่าวว่า “องค์ชายอ๋าวอี่ วันนี้แตกต่างจากงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจเล็กน้อย ซึ่งข้าอาจมีข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมได้”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอ๋าวอี่เต็มไปด้วยความกระดากขณะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่กระจ่างชัดเจน “สหายเต๋า โปรดลงมือและโจมตีได้ตามแต่เจ้าต้องการ”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าก่อนจะเปิดเสื้อคลุมเต๋าด้านหน้าด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วเอาไปไว้ด้านหลังเขาพลางแสดงท่าทางเชิญให้ลงมือได้
เปิดตัวแรงเต็มกำลัง!
อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วก็มีแผนในใจอยู่แล้ว
เขาได้คิดเกี่ยวกับกลยุทธ์การต่อสู้ต่อไปของเขาอย่างรอบคอบ
ข้าจะปลอดภัยและ…แค่กๆ ชนะโดยไม่เปิดเผยอะไรเลย!
อ๋าวอี่สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมในขณะที่มีคลื่นลูกไฟน้ำแข็งลึกลับปรากฏขึ้นรอบร่างของเขา
ทันใดนั้น ก็มีกระดาษยันต์สีเหลืองหลุดออกมาจากแขนเสื้อของหลี่ฉางโซ่ว และยันต์หลายร้อยแผ่นก็ถูกปล่อยออกมาในพริบตาเดียว!
อ๋าวอี่เคยมีประสบการณ์การเคลื่อนไหวเช่นนี้มาก่อน แต่ในขณะนี้ เขารู้สึกว่าพลังของยันต์กระดาษสีเหลืองเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ ร่างของอ๋าวอี่ก็พุ่งออกไปข้างหน้า และลูกไฟน้ำแข็งลึกลับสองสามลูกก็กลายเป็นร่างเงามังกรและวนเวียนล้อมรอบตัวเขา แล้วพุ่งเข้าใส่หลี่ฉางโซ่วพร้อมกันทันที!
คราวนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ใช้ทักษะฝีเท้าพลังตัวเบาใดๆ เพื่อหลบเลี่ยง แต่เขายังคงยืนนิ่งและร่ายเวทอย่างรวดเร็วจนแทบฟังไม่ชัดเจนราวกับว่าเขากำลังร้องเพลงเบาๆ
และในชั่วพริบตานั้น อ๋าวอี่ก็กระโดดพุ่งเข้าใส่เขาทันที!
เขาตั้งใจปล่อยหมัดที่ทรงพลังแข็งแกร่งพอที่จะระเบิดและแยกภูเขาออกจากกันแล้วพุ่งกระแทกเข้าที่หน้าอกของหลี่ฉางโซ่วทันที ในเวลานี้ อ๋าวอี่ก็ขมวดคิ้วและพร้อมจะปล่อยหมัดของเขาออกไปได้ทุกเมื่อ
ทว่า…
ฟิ้ว!
ร่างของหลี่ฉางโซ่วก้มโค้งลงและพุ่งเข้าไปในพื้นดินที่ดูเหมือนจะมีคลื่นน้ำกระเพื่อมขึ้นทันที!
หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย!
เนื่องจากหลี่ฉางโซ่วเคยใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อช่วยโหย่วฉินเสวียนหย่าสองครั้งในระหว่างการเดินทางไปยังดินแดนเทวะอุดรครั้งก่อน ทางสำนักจึงรู้มานานแล้วว่า หลี่ฉางโซ่วมีทักษะดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงใช้มันอย่างเปิดเผยได้ในขณะนี้
และชั่วขณะนั้น หมัดของอ๋าวอี่ก็พลาดเป้ากะทันหัน ร่างของเขาตกลงบนพื้นและพุ่งไถลออกไปข้างหน้าสิบกว่าก้าว…
องค์ชายรองวังมังกร อ๋าวอี่พลันหันศีรษะของเขาและเห็นว่ายันต์สีเหลืองที่อยู่ข้างหลังเขาได้ก่อตัวเป็นค่ายกลเปลวเพลิงที่ปะทุและลุกลามขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
แม้มันจะเป็นเพียงคาถาไฟธรรมดา แต่ก็ยังสามารถปลดปล่อยพลังได้เล็กน้อยด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นเจ็ดของหลี่ฉางโซ่ว
อ๋าวอี่เอาแขนของเขาปิดหน้า พลางหลบซ้ายไปขวา แต่ก็ยังถูกเปลวไฟลุกลามทำร้ายอย่างต่อเนื่อง…