ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว – ตอนที่ 89 เร็วเข้า ไปเชิญมา

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ที่ด้านหน้าหอไป่ฝาน ยอดเขาพิชิตสวรรค์

ในขณะนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่าในชุดสีฟ้าเย็นยะเยือก กำลังวิ่งไปรอบๆ พร้อมด้วยกระบี่ใหญ่ที่สะพายบนหลังของนาง

ไม่มีใครขอให้โหย่วฉินเสวียนหย่าดำเนินการเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าก็รู้สึกว่านางควรแบกรับความรับผิดชอบนั้นอย่างมีสติ เพราะนางได้รับเกียรติให้เป็นหัวหน้าศิษย์

อย่างไรก็ตาม หากตัดสินจากขอบเขตพลังเพียงอย่างเดียว หัวหน้าศิษย์ก็ควรเป็น…ชายนิรนามคนหนึ่งที่มีแซ่หลี่…

หัวหน้าศิษย์ที่แท้จริงในเวลานี้ เขาเป็นเซียนเสิ่น ที่ใช้เคล็ดวิชาแปลงร่างกับร่างหลักของเขา เขาซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัยมาก แม้เขาจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ภายนอก แต่เขาก็พยายามอย่างมากในการวางแผน จัดเตรียม และทำให้สถานการณ์ในสำนักเซียนมีความเสถียรภาพมั่นคง…

“เสวียนหย่า!”

ผู้อาวุโสในหอไป่ฝาน เรียกโหย่วฉินเสวียนหย่ามา

ผู้อาวุโสเซียนเสิ่นสองสามคนที่มีหน้าที่จัดการกับกิจการภายนอก ได้มอบยันต์หยกที่ใช้เปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายชีพจรปฐพีให้กับโหย่วฉินเสวียนหย่า เพราะพวกเขาต้องรีบไปที่ภูเขาด้านนอกเพื่อต่อสู้!

“ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ!”

โหย่วฉินเสวียนหย่ารับยันต์หยกเอาไว้ในมือพร้อมกับดวงตาของนางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ผู้อาวุโสพยักหน้าและยิ้ม แม้ว่า…ลึกลงไปแล้ว คำพูดของโหย่วฉินเสวียนหย่าจะทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

หลังจากนั้น ผู้อาวุโสเซียนเสิ่นก็ขับเคลื่อนเมฆไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ทันที

ยังมีเซียนหยวนเหลืออยู่มากกว่าร้อยคนในสถานที่นี้ พวกเขาอยู่ในค่ายกลเพื่อปกป้องศิษย์ของยอดเขาต่างๆ ในกรณีที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บมาจากการสู้รบ

เหล่าศิษย์ที่ได้รับการคุ้มครองและพร้อมที่จะล่าถอยไปเมื่อใดก็ได้ ล้วนเป็นผู้ที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากในขณะนั้น พวกเขาทำได้เพียงมองขึ้นไปบนท้องฟ้านอกค่ายกล…

เวลานี้แม้พลังปราณสัมผัสรับรู้ของพวกเขาไม่สามารถขยายออกไปได้ไกลเกินไป แต่พวกเขาก็ยังอดตกใจจนสั่นสะท้านไม่ได้

โดยปกติผู้ที่ศึกษามาก มักจะแสดงความคิดเห็นและอธิบายสถานการณ์ได้อย่างต่อเนื่องและสละสลวย

ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะพูดว่า “ดูทักษะเหล่านั้นสิ พวกมัน…น่าประทับใจ น่าเกรงขาม เหลือเชื่อ และดุร้ายราวกับพายุฝนฟ้าคะนอง!”

“อยู่ๆ แผ่นดินและภูเขาก็สั่นสะเทือน พร้อมกับมีลำแสงสาดส่องออกมาจากสมบัติที่กระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง!”

“พลังของเซียนจิน ช่างน่าตื่นตกใจยิ่งนัก”

ผู้คนไม่กี่คนที่อยู่ข้างๆ เขาต่างพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวทันทีว่า “ไม่เลว ไม่เลว” พวกเขาต้องการฝึกฝนให้เหมือนกับผู้ที่เรียนรู้จากโลกบรรพกาล

นอกจากนี้ยังมีผู้ที่มุ่งความสนใจไปที่การฝึกบำเพ็ญเต๋าอีกด้วย นอกจากคนที่อ่านหนังสือเรื่องอื่นๆ ที่มีข้อมูลไม่เกี่ยวข้องแล้ว ส่วนใหญ่ก็จดจ่อกับการดูการต่อสู้และให้กำลังใจ…

“น่าประทับใจจริงๆ!”

“ใช่ น่าประทับใจมาก”

“เมื่อใดพวกเราจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้!!”

มีศิษย์มนุษย์ที่ภักดีด้วยเช่นกัน พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะเป็นตายไปพร้อมกับสำนักตู้เซียน

ข่าวเกี่ยวกับค่ายกลเคลื่อนย้ายชีพจรปฐพีแพร่กระจายออกไปในหมู่ฝูงชนอย่างรวดเร็ว ศิษย์หลายคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ทุกคนต่างก็มีความคิดและเหตุผลของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์รอบๆ ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในเวลานี้ มีเงาดำนับร้อยในแต่ละด้าน กำลังพุ่งโจมตีกำแพงแสงของค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาอย่างบ้าคลั่ง

ในขณะที่บรรดาเซียนเสิ่นและเซียนเทียนในสำนักกำลังเตรียมระเบิดการโจมตี!

หลังจากที่ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาเปิดใช้งานเต็มที่ มันก็เหมือนกับกระดองเต่าที่ผ่านเข้าไปไม่ได้ คนนอกไม่อาจโจมตีได้ชั่วขณะหนึ่ง และผู้คนภายในก็ไม่สามารถใช้พลังเวทหรือโยนอาวุธเวทใดๆ ออกไปภายนอกได้

เมื่อมองดูการโจมตีจากเงาสีดำที่อยู่ด้านนอก พวกเขาก็รู้สึกว่าค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาน่าจะทนได้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

เงาสีดำเหล่านี้ล้วนเป็นหุ่นเชิดที่ถูกยุงเลือดควบคุมทั้งหมด แม้ในระหว่างนี้ ความคิดของพวกเขาจะไม่เฉียบแหลม แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดและปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมาล่วงหน้าเท่านั้น

แต่เมื่อพวกเขาต่อสู้กับคนที่บำเพ็ญเซียนเหมือนกัน พวกเขาก็เข้าขากันได้มากกว่าสำนักตู้เซียน

โชคดีที่ค่ายกลพิษที่หลี่ฉางโซ่วได้จัดเตรียมไว้ใช้พลังการต่อสู้ทั้งหมดของหุ่นยุงเหล่านี้ไปแล้วประมาณสองในสิบส่วน

เวลานี้ ด้วยค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา เขาสามารถใช้พลังของเส้นชีพจรวิญญาณปฐพีและศิลาวิญญาณเพื่อกินพลังเซียน รวมถึงพลังปีศาจและพลังวิญญาณของหุ่นเชิดเหล่านี้ได้

ในการต่อสู้ครั้งต่อไป แม้เจ้าสำนักตู้เซียนจะยังคงเสียเปรียบอยู่ แต่ก็ไม่ได้มากจนเกินไป

โหย่วฉินเสวียนหย่า ผู้ซึ่งยุ่งอยู่ที่ด้านหน้าของหอไป่ฝานมาระยะหนึ่ง ได้ยืนอยู่บนหลังคาหอเพื่อพักผ่อนในขณะที่สายตาของนางกวาดออกไปทั่วบริเวณโดยรอบด้านล่าง

เหตุใดศิษย์พี่ฉางโซ่ว จึงไม่อยู่ที่นี่

ทันใดนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าพลันตกใจและค้นหาอย่างระมัดระวังอีกครั้ง

ในเวลานี้ นางยืนยันได้อย่างรวดเร็วว่า หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ไม่ได้อยู่นอกหอไป่ฝาน

โหย่วฉินเสวียนหย่ามองไปในทิศทางของยอดเขาหยกน้อยทันที และขมวดคิ้วเล็กน้อย นางต้องการรีบไปที่ยอดเขาหยกน้อยเพื่อพาหลี่ฉางโซ่ว และหลิงเอ๋อร์มาที่นี่

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางเพื่อเตรียมบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นก็มีเสียงเข้ามาในหูของนาง…

“ศิษย์น้องโหยวฉิน หลิงเอ๋อร์กับข้าไม่สะดวกที่จะปรากฏตัวในเวลานี้”

“หากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาถูกทำลายในภายหลัง เราจะไปพบกันที่ค่ายกลใต้ดิน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดหลี่ฉางโซ่ว และหลิงเอ๋อร์จึงซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนักเนื่องจากศิษย์พี่ฉางโซ่วได้กล่าวเช่นนั้น…

ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในมุมแคบและมืด

โชคดีที่เขาได้เตรียมตัวเองเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับการป้องกันตัวอันตราย!

หลังจาก ‘แก้ไข’ อันตรายที่ซ่อนอยู่นี้ หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงเฝ้าสังเกตต่อไป หากจิ่วจิ่วและจิ่วอูต้องการมาเยี่ยม ‘ดู’ ในภายหลัง เขาก็ยังคงต้องส่งข้อความเสียงเตือนต่อไป

นั่นก็เป็นข้อเสียของการมีสหายมากเกินไป

ห่างจากทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปสามพันลี้ บัดนี้ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสองที่ควบคุมค่ายกลพิษได้เสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมดและกลับเข้าไปในกล่องเล็กๆ ของพวกมันอย่างราบรื่น

หลี่ฉางโซ่วสามารถพักผ่อนได้ชั่วคราว

สถานการณ์ในเวลานี้ง่ายกว่าที่หลี่ฉางโซ่วสันนิษฐานและเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้มาก

อีกฝ่ายมีปรมาจารย์เซียนจินเพียงสามคนและไม่มีเซียนต้าหลัวจิน

ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาเซียนจากสำนักตู้เซียนล้วนมีจิตใจแข็งแกร่ง

เมื่อดูรูปแบบการต่อสู้ของสำนักตู้เซียน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจะต่อสู้เพื่อถอยในภายหลัง

ริมฝีปากของเหล่าผู้อาวุโสใหญ่ยังคงเคลื่อนไหว พวกเขาอาจจะส่งเสียงไปยังที่ต่างๆ เพื่อบอกวิธีจัดการรับมือเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูในภายหลัง

และนั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกโล่งใจ

ตุ๊กตากระดาษสวรรค์ที่คงร่างของฉีหยวน กำลังนั่งบนเก้าอี้โยกหน้าหอโอสถ

หลี่ฉางโซ่วใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวนี้เพื่อชมวิธีการต่อสู้ของเซียนจิน และสังเกตความโกลาหลในค่ายกล

ในหัวของเขา เขาพยายามคำนวณอย่างรอบคอบถึงสถานที่ที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์จะดำเนินการต่อไป เขารอโอกาสที่จะเริ่มการต่อสู้อย่างเต็มกำลังเมื่อค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาถูกทำลาย…

ท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่ว และอาจารย์ลุงจิ่วอูได้รับการคุ้มครองจากท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิง ดังนั้นข้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก

หลี่ฉางโซ่วกวาดสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และพบร่องรอยของท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วของเขาได้อย่างรวดเร็ว

เซียนจิ่วทั้งเก้าต่างยืนเรียงแถวกัน แต่ละคนล้วนถืออาวุธเวทและโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่ยืนอยู่ข้างหลังท่านอาจารย์ของพวกเขา ท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิง

ในบรรดาทั้งเก้าคน ศิษย์พี่หญิงคนโตผู้สง่างามนาม จิ่วอี้อี้นั้น เป็นคนที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด

ใบหน้าของเทพธิดาผู้นี้เย็นชาราวกับน้ำแข็ง โดยที่ขณะนี้มีสมบัติสามหรือสี่ชิ้นลอยอยู่รอบๆ ตัวนาง นางครองพลังอยู่ในขอบเขตเซียนเสิ่นระดับต้น

ผู้อาวุโสใหญ่สองคนกำลังยืนอยู่ข้างๆ ท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิง พวกเขากำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าของค่ายกลทางทิศตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับผู้อาวุโสเซียนเทียนสิบสองคน

เมื่อสำนักถูกโจมตี ผู้ที่มีขอบเขตพลังในระดับสูงกว่าจะรีบก้าวไปอยู่ข้างหน้าก่อน นี่คือกฎของสำนักตู้เซียน

ทันใดนั้น ดูเหมือนว่า ท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิงจะคิดอะไรบางอย่างได้ เขาจึงหันไปมองศิษย์น้อยของเขาและเรียกนาง “เสี่ยวจิ่ว?”

จิ่วจิ่วกำลังกอดน้ำเต้าใหญ่ด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก บางครั้งนางก็จะมองไปที่ยอดเขาหยกน้อย และคอตกลงอย่างรวดเร็ว

“ท่านอาจารย์ เสี่ยวจิ่ว มาแล้ว!”

“อืม” ท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิงกระตุกมุมปาก

ขอบเขตพลังของเสี่ยวจิ่วนั้นไม่เลว

“หากมีการต่อสู้ที่วุ่นวายในภายหลัง เจ้าอย่าลืมช่วยเหลือซึ่งกันและกันและดูแลจิ่วอู เขายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บเก่าๆ ของเขา”

จิ่วอูดูละอายใจในขณะที่เซียนพี่น้องอีกแปดคนต่างก็โค้งคำนับลงและขานรับอย่างเห็นด้วย

แต่แล้ว จิ่วอูก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเขาไปเยี่ยมผู้อาวุโสว่านหลินหยุน เขาถูกผู้อาวุโสว่านหลินหยุนข่มขู่ …

แค่กๆ เขาได้รับคำชี้แนะซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากผู้อาวุโสว่านหลินหยุน

“หากศัตรูที่ทรงพลังทำลายค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เจ้าจงหนีมาที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ทันที อย่าต่อสู้กับใครแล้วเปิดถุงผ้านี้!”

ถุงผ้านี้อยู่ในแขนเสื้อของจิ่วอู ซึ่งเขาไม่กล้าเอาออกมา

ย้อนกลับไปในเวลานั้น เมื่อผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวคำเหล่านั้น เขาและจิ่วซือก็ตกใจมาก กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ก็ใช้เวลาสองสามวัน

จิ่วอูคิดอยู่ครู่หนึ่งและก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และยืนอยู่ข้างหลังท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิงจากนั้นจึงรายงานเรื่องที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเคยบอกเขามาก่อนหน้านี้

ปรมาจารย์หว่างฉิงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม และสั่งให้จิ่วอูทำตามผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าว

จิ่วอูถอยกลับไปที่ตำแหน่งของเขาและมองออกไปนอกค่ายกล แล้วจ้องไปยังร่างที่โจมตีค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาและจับกระบี่ของเขาเอาไว้แน่น

เขาเปิดใช้โอสถหมื่นพิษไปสองสามขวดในทันที

จิ่วอูคิดในใจว่า ในเวลานี้ ศิษย์หลานฉางโซ่วน่าจะไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์แล้ว

จากนั้น จิ่วอูก็กวาดสัมผัสเซียนรับรู้ผ่านหอไป่ฝานแห่งยอดเขาพิชิตสวรรค์ แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว

หลังจากค้นหาอย่างระมัดระวัง นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็ตกตะลึง

หลี่ฉางโซ่วและหลันหลิงเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในหอไป่ฝาน และไม่มีร่องรอยของพวกเขาแม้แต่บนยอดเขาพิชิตสวรรค์!

ทันใดนั้นจิ่วอูก็คิดอะไรบางอย่างแล้วรู้สึกกังวลใจ…

หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนัก เขาก็อดกังวลเรื่องความปลอดภัยของหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ไม่ได้

จิ่วอูจึงกล่าวกับอาจารย์ของเขาอีกครั้งว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากไปที่ยอดเขาหยกน้อยก่อนแล้วพาศิษย์หลานฉางโซ่ว และหลิงเอ๋อร์ไปที่หอไป่ฝานขอรับ”

“ศิษย์หลานฉางโซ่วเป็นคนเลือดร้อน ข้ากังวลว่าเขาจะใช้ค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นทำร้ายศัตรูและช่วยพวกเราต่อสู้ขอรับ!”

ปรมาจารย์หว่างฉิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ ไปเถิด”

ในขณะนั้นจิ่วจิ่วที่ยืนอยู่ข้างๆ อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเล นางเม้มปากและยังคงอยู่ที่นั่นต่อไป ต่อสู้เคียงข้างพี่น้องของนาง

แค่พาหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ไปที่หอไป่ฝาน ศิษย์พี่ห้าเพียงคนเดียวก็จัดการได้

จิ่วอูมองดูค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และรีบพุ่งไปที่ยอดเขาหยกน้อย

จริงๆ เลย…

ในความมืดมิด หลี่ฉางโซ่วผู้จับภาพฉากนั้นได้ พลันถอนหายใจ เขากำลังจะพูดกับจิ่วอู

ณ เวลานี้!

แสงสีทองส่องประกายบนท้องฟ้า และกระบี่ยาวที่มีพลังบุญเล็กน้อยก็พุ่งทะลุเส้นทางเมฆ ลากลำแสงกระบี่ยาวนับพันจั้งออกมา มันกำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง!และฟาดฟันไปที่ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา ด้วยพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้!

ทันใดนั้น เซียนจินก็โจมตีค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา!

กำแพงแสงของค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่เจ้าสำนักตู้เซียนร้องตะโกนและสกัดกั้นเซียนจินทั้งสองอีกครั้ง…

ในขณะที่ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาสั่นคลอน ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปะทุขึ้นพร้อมๆ กันด้านนอกค่ายกลทางตะวันตกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงเหนือ!

และบัดนี้ หุ่นเชิดยุงได้เปิดเผยตัวออกมาอย่างเต็มที่แล้ว!

การสั่นไหวของกำแพงแสงขนาดใหญ่หยุดลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะระเบิดออกในทันใด แล้วคลื่นแห่งพลังต้นกำเนิดก็สาดซัดออกไปทั่วทุกทิศทางราวกับคลื่นยักษ์!

ฉับพลันนั้น ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักตู้เซียนก็ยกเจดีย์ที่ส่องแสงระยิบระยับขึ้นสูงแล้วตะโกนว่า “โจมตี!”

จู่ๆ ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปะทุขึ้นจากด้านตะวันตกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พลังเวทและอาวุธเวทของพวกมันก็ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันอย่างทรงพลัง!

ในขณะนั้น ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มือพิษมหึมาที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าก็ฟาดลงมา ทั้งแขนเสื้อและเสื้อคลุมของผู้อาวุโสว่านหลินหยุนปลิวสะบัดขณะที่เคราและเส้นผมของเขาพลิ้วไสว เขาดูสง่างามน่าเกรงขามยิ่ง

แต่ปีศาจเซียนเทียนเจ็ดหรือแปดตัวได้เตรียมไว้แล้ว พวกมันต่างใช้สมบัติและอาวุธเวทเข้าร่วมมือกันเพื่อกำจัดเซียนพิษผู้นี้!

ในขณะนั้น เซียนอื่นๆ ที่เหลือของทั้งสองฝ่ายทำได้เพียงโจมตีด้วยพลังและอาวุธเวทจากระยะไกลเท่านั้น พวกเขาไม่กล้าก้าวเข้าไปในหมอกพิษสีเขียวน่ากลัวที่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

เวลานี้ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เหล่าเซียนเทียนหลายสิบต่างพุ่งไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้ระยะประชิด ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยลำแสงสาดกระจายอย่างต่อเนื่อง และมีผู้คนตกลงมาจากก้อนเมฆแล้ว…

เมื่อเห็นเช่นนั้น จิ่วอูก็หันไปช่วยทันที

แต่ทันทีที่เขาหันหลังกลับ เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูของเขา

“เปิดถุงผ้า อย่ายุ่งกับสิ่งอื่น ท่านไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ด้วยการต่อสู้ของท่านเพียงลำพัง!”

ผู้อาวุโสว่าน!

จิ่วอูชะงักงัน แล้วทันใดนั้นเขาก็หยิบถุงผ้าออกมาจากแขนเสื้อและมองดู จากนั้นจู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เอ่อ…

เหตุใดข้าถึงไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนนะ

เมื่อมองดูการต่อสู้ที่ดุเดือด นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็กัดฟันและกระทืบเท้าเร่า จากนั้นจึงหันกลับและรีบไปที่ยอดเขาทำพิชิตสวรรค์ทันที!

เห็นได้ชัดว่าหลี่ฉางโซ่วผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืด เป็นคนที่ส่งเสียงของเขาไปยังจิ่วอูก่อนหน้านี้ เขาเพียงเลียนแบบเสียงและน้ำเสียงของผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเท่านั้น

ในเวลานี้ ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสำนัก แล้วเขาจะมาสนใจด้านของจิ่วอูได้อย่างไรกัน

หลังจากนี้…

ข้าจะดูว่าท่านจะร้องไห้อย่างไรนะ ท่านอาจารย์ลุง

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เปลี่ยนความคิดและเริ่มทำหลายอย่างพร้อมกันอีกครั้ง

ในขณะนั้น ในป่าทึบสองแห่งทางใต้และทางเหนือที่อยู่ห่างจากสำนักตู้เซียนออกไปหลายร้อยลี้ ตุ๊กตากระดาษก็เปิดกล่องไม้สี่กล่องออกมาพร้อมกัน

ตุ๊กตากระดาษที่คลุมด้วยถุงผ้าและมีความหนาอย่างน่าอัศจรรย์พลันกระโดดออกจากกล่อง ร่างของพวกมันแกว่งไปมาและขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นชายสองคน หญิงสองคน และผู้บำเพ็ญเต๋าสี่คน

ปิดประตูแล้วปล่อยสุนัขออกไป!

เอ่อ ไม่เป็นไร ข้าด่าตัวเองได้ แต่ควรตีสุนัข!

แล้วร่างสองร่างจากทางเหนือและใต้ก็ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายและมุ่งหน้าไปยังสองพื้นที่ด้านนอกสำนักตู้เซียนที่กำลังรบพุ่งอย่างดุเดือด…

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

Status: Ongoing
เพื่อให้มีอายุยืนยาวในยุคบรรพกาลอันโหดร้าย จงหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการ เก็บงำความสามารถ ขยันฝึกวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!หลี่ฉางโซ่วที่ไปเกิดใหม่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวน้อยๆ ในโลกบรรพกาลอันน่าสะพรึงกลัวเขาถูกอาจารย์ผู้นำยอดเขาสุดแสนอัตคัดในสำนักเซียนมนุษย์เล็กๆ พาตัวมาดูแล เพื่อฝึกฝนให้บรรลุวิถีเซียนตั้งแต่ยังเยาว์เป้าหมายของเขาคือ ‘อายุยืนยาว’ ในยุคบรรพกาลอันโหดร้ายนี้จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการเก็บงำความสามารถ ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเคล็ดวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!เดิมทีในแผนการของหลี่ฉางโซ่ว เขาตั้งใจว่าจะซ่อนตัวอยู่ในเขาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตจนกระทั่งปีหนึ่ง อาจารย์ของเขาคงมีชีวิตที่สงบเงียบเกินไปจนเบื่อขึ้นมา ถึงได้รับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งมาให้เขา…เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องนำผลกรรมมาแปดเปื้อนตน เขาจะต้องสอนหลักการการใช้ชีวิตให้ศิษย์น้องดีๆ เสียหน่อยแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท