เมื่อกลับมาถึงยอดเขาหยกน้อย เขาก็เข้าไปในหอโอสถ
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ใช้พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขากวาดมองออกไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อชื่นชมค่ายกลป้องกันที่เขาสร้างขึ้นมาสำหรับอาจารย์อาจิ่วจิ่ว
แท้จริงแล้ว หากเขาไม่ทิ้ง ‘ประตูลับ’ เอาไว้ เขาก็จะไม่อาจมองทะลุผ่านชั้นต่างๆ ของกำแพงแสงไปได้…
หลังจากเหตุการณ์นี้ ความปลอดภัยของอาจารย์อาน้อยภายในสำนัก ย่อมได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
แม้เขาใช้สมบัติและวัสดุล้ำค่าไปอย่างมากมาย…
แต่คุณค่าของชีวิตย่อมอยู่ไกลเกินกว่าจะประเมินกับสมบัติเหล่านั้นได้!
เขาเริ่มนับ ‘สหาย’ ที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในยามนี้ เช่น อาจารย์อาจิ่วจิ่วของเขา อาจารย์ลุงจิ่วอู ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน…และศิษย์น้องหญิงกึ่งตัวอันตรายของเขา
ตอนนี้จำนวน ‘สหาย’ ได้เกินความคาดหมายของเขาแล้ว
เขาต้องระมัดระวังมากขึ้นในอนาคต เผื่อว่าจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องแปลกๆ เพราะมีสหายมากเกินไป
หลังจากนั้น เขาก็ตรวจสอบค่ายกลของยอดเขาหยกน้อยและสังเกตการเคลื่อนไหวของยอดเขาต่างๆ ภายในสำนักครู่หนึ่ง
เมื่อสัมผัสอักขระเต๋าที่ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาเปิดเผยออกมาในระหว่างการฝึกฝนของนางอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็แอบมองอาจารย์ของเขาที่กำลังฝึกฝนอย่างหนักในกระท่อมมุงจาก…
พอแน่ใจว่าทุกอย่างเป็นปกติแล้ว หลี่ฉางโซ่วจึงเปิดใช้งานค่ายกลเขาวงกตที่ติดอยู่ด้านนอกหอโอสถโดยทิ้งเสี้ยวจิตสำนึกของเขาเอาไว้ข้างหลังเพื่อปกป้องร่างหลักของเขาและทุ่มเทจิตสำนึกส่วนใหญ่ของเขาให้กับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์
สิ่งที่สำคัญเร่งด่วนสุดที่ต้องทำในตอนนี้คือ การตัดกรรมระหว่างเขากับเทพแห่งท้องทะเลทักษิณ เขาไม่อาจปล่อยให้เทพแห่งท้องทะเลทักษิณเติบโตและขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้…
ขณะนี้ในบริเวณพื้นที่ของสายแร่ใต้ดิน หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เขาตรวจสอบหินสัมผัสบนร่างของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และค่ายกลเรียบง่ายที่อยู่รอบๆ มัน
ดีมาก ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น…หลังจากเสถียรลมปราณของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ใช้วิชาหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายในขณะที่อยู่ใต้ดิน เขาเดินจากความลึกหนึ่งพันจั้งไปถึงความลึกหนึ่งร้อยจั้ง
เขาได้ใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบแล้วก่อนจะตัดสินใจเลือกระดับความลึกใต้ดินหนึ่งร้อยจั้ง ที่ความลึกระดับนี้ วิชาหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายจะไปได้เร็วขึ้นและไม่ทำให้เขาทิ้งกลิ่นอายลมปราณผันผวนไว้บนพื้นดินหรือไปกระทบโดนเส้นแร่สมบัติล้ำค่าในขณะหลบหนี…
แม้เขาจะไปปะทะกับสิ่งใดก็ตาม แต่เขาก็อาจได้พบโชคลาภเพราะเหตุนั้นเช่นกัน…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วอยู่ในพื้นที่เขตชายแดนระหว่างดินแดนเทวะบูรพาและดินแดนเทวะทักษิณ จากนั้นก็ผ่านดินแดนปีศาจบางส่วนแล้วเข้าไปใกล้โลกมนุษย์ในดินแดนเทวะทักษิณอย่างรวดเร็ว
เพื่อเพิ่มความปลอดภัย หลี่ฉางโซ่วจึงเลือกเส้นทางเดียวกับที่เขาเคยเดินทางไปก่อนหน้านี้…
เขากวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจดูบริเวณโดยรอบและสังเกตดูสถานการณ์ต่างๆ ทั้งภูเขาและแม่น้ำที่ทักทายเขาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้น เขาพลันใจสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพที่คุ้นเคยในอดีตปรากฏขึ้นในความคิดอีกครั้ง
ตัวอย่างเช่น การต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญที่มักจะปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง และการต่อสู้ระหว่างปีศาจภูเขาและวิญญาณที่หายากต่างๆ
แล้วในที่สุดการต่อสู้อันน่าตื่นเต้นในเวลานั้นก็หยุดลง แล้วกำแพงเมืองก็ถูกอาบย้อมจนกลายเป็นสีแดงเข้ม
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็บังเอิญเห็นร่องรอยของลุงและป้าสะใภ้ที่เลือกไล่ตามความรักและเสรีภาพที่ชายป่าแห่งหนึ่ง
จากนั้นก็เห็นแค่ลุงของเขายังอยู่รอบๆ แต่ไม่เห็นป้าสะใภ้ของเขาในที่ใดเลย และมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกำลังตัดฟืนและก่อไฟอยู่ใกล้ๆ…
นี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของโลกมนุษย์
หลังจากใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายมาเป็นเวลาสองวัน หลี่ฉางโซ่วก็พบมุมที่ซ่อนอยู่ใต้ดินของเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ ซึ่งเขาได้เปลี่ยนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่กำลังเดินทาง
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ไม่อาจฟื้นฟูพลังเซียนภายในตัวมันได้ด้วยตัวเอง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว มันไม่คุ้มที่จะเสียพลังการต่อสู้ของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์หนึ่งตัวไปในการเดินทางอย่างเปล่าประโยชน์
หลี่ฉางโซ่วใช้เวลาอีกเจ็ดหรือแปดวันในการเข้าใกล้ตัวเขาเองมากขึ้น…
และนั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า!!
เรื่องของเทพแห่งท้องทะเลและสำนักเทพทะเลทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า!
หากสามารถคืนบุญเครื่องสักการะเหล่านี้และแลกเปลี่ยนกับการทำลายล้างของสำนักเทพทะเลทักษิณได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆ หลี่ฉางโซ่วจะยกมือสนับสนุนด้วยอย่างแน่นอน
ในเวลานี้ ขนาดของสำนักเทพทะเลทักษิณไม่ถือว่าใหญ่โตเท่าใดนัก ชาวประมงส่วนใหญ่ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลทักษิณล้วนถวายความเคารพบูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
สถานที่แรกที่หลี่ฉางโซ่วเลือกจะหยุดอยู่คือเมืองธรรมดาที่ตั้งอยู่บนที่ราบตรงเขตแดนของสำนักเทพทะเลทักษิณ
ในขณะนี้ มีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ประมาณห้าหรือหกพันคน และมีพ่อค้าแม่ค้ามากมายมาพักอยู่ที่นั่น ซึ่งนับว่าค่อนข้างมั่งคั่งทีเดียว…
บนถนนสายหลักที่ทอดผ่านเมือง พวกเขาสามารถมองเห็น ‘สัตว์ร้าย’ ที่อ่อนโยน เช่น วัวและม้า พวกมันกำลังลากรถม้าซึ่งมีทั้งผู้โดยสารและสินค้าภายในนั้น
มีวิหารเทพทะเลถูกสร้างขึ้นตามถนนสายหลักทางด้านทิศใต้ของเมือง
ธูปในวิหารกำลังเผาไหม้ลุกโชน คนส่วนใหญ่ที่ออกไปแล้วจะไปถวายเครื่องสักการะและอธิษฐานเพื่อความสงบสุขเมื่อกลับไปบ้าน หลังจากซ่อนตัวและแอบเฝ้าสังเกตอยู่ในมุมลับราวสองสามชั่วยาม ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็พาตัวเองออกมาจากพื้นดินในป่า…
ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้ปรากฏตัวเป็นนักพรตเต๋าชราที่มีผมสีขาวและเคราสีขาว
เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวอมเทา มีสายคาดเต๋าพันรอบศีรษะและถือแส้หางม้า เขาดูเหมือนกำลังลอยอยู่บนพื้นขณะเดิน ซึ่งดูเหมือนปรมาจารย์สูงส่งเหนือผู้คนที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณเซียน…
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วเดินไปรอบๆ เมืองเป็นครั้งแรก ซึ่งมีมนุษย์จำนวนมากต่างก็มองมาที่เขา
สถานที่แห่งนี้ถือเป็นเขตแดนของโลกมนุษย์ ผู้คนที่นั่นใช้ชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีผู้ใดได้เห็นผู้บำเพ็ญเช่นนี้มากนัก ดวงตาของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นอกจากความอยากรู้อยากเห็นแล้ว ชาวบ้านยังเผยความกระตือรือร้นอย่างมากอีกด้วย
เมื่อผ่านร้านซาลาเปา พ่อค้าก็ส่งซาลาเปานึ่งร้อนๆ มาให้
เดินผ่านโรงน้ำชา ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องโถงและนำชาร้อนถ้วยหนึ่งพร้อมด้วยรอยยิ้มมาทักทาย
พอเดินผ่านอาคารไม้อันสง่างามโดยบังเอิญ หน้าต่างด้านบนก็ถูกผลักเปิดออก จากนั้นก็มีแท่งไม้สั้นๆ ที่รองรับค้ำหน้าต่างก็ตกลงมาโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่สาวน้อยที่อยู่ด้านหลังหน้าต่างก็หัวเราะเบาๆ พลางปิดปากของนางเอาไว้…
แล้วหลี่ฉางโซ่วก็หายตัวไป ในขณะนี้เขาเดินช้าๆ เข้าใกล้วิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลทักษิณ
วิหารไม่นับว่าใหญ่โตนัก
อันที่จริงมันเป็นแค่ลานสี่เหลี่ยมที่มีการสร้างรูปปั้นหินสูงสิบฉื่อขึ้นในลานบ้าน
หลังจากเข้าไปในลานบ้านแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็มองขึ้นไปที่รูปปั้นนี้ ซึ่งมีใบหน้า รูปร่าง และรูปลักษณ์คล้ายกับเขามาก แล้วเขาก็ถอนหายใจในใจทันที
นี่เป็นเพราะความสามารถของเขายังไม่ถึงมาตรฐานและเขายังไม่ได้ฝึกฝนพลังและทักษะเวทที่ทำให้ผู้คนจำรูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วได้รับการลงทัณฑ์จากทัณฑ์สวรรค์จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขายังตระหนักรู้ถึงการขึ้นสู่เซียนของเขาและไม่สามารถใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ได้จริงๆ…
และในเวลานี้ เขาทำได้แค่คิดหาวิธีแก้ไขและกอบกู้สถานการณ์เท่านั้น
“โอ้ ท่านมาจากที่ใดหรือ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงทักทายมาจากมุมของลานบ้าน และ ‘ผู้บำเพ็ญ’ ที่มีร่างเตี้ยและผอมบางซึ่งสวมชุดคลุมเต๋าที่สกปรกขาดรุ่งริ่งก็รีบวิ่งมา
ดูเหมือนว่า คนผู้นั้นจะมีฐานพลังอยู่เพียงในขอบเขตหลอมรวมปราณขั้นที่สามเท่านั้น และเขาแทบจะไม่อาจร่ายคาถาที่มีพลังเพียงเล็กน้อยได้
เขาตั้งแผงดูดวงอยู่ที่มุมลาน นอกจากนี้เขายังขาย ‘ธูปยาว’ ที่มีราคาต่างๆ กันด้วย หลี่ฉางโซ่วคิดว่าเขาน่าจะหาเลี้ยงชีพอยู่ที่นั่น
แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่กล้าประมาทใดๆ
เป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนของสำนักบำเพ็ญประจิม และอาจจะเป็นปรมาจารย์ที่หลี่ฉางโซ่วไม่อาจมองทะลุผ่านไปได้…
แม้โอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นจะมีไม่สูงนัก
กล่าวโดยสรุปแล้ว เมื่อเข้าไปในพื้นที่ของสำนักเทพทะเล หลี่ฉางโซ่วจะเตือนตัวเองเสมอว่าเขาจะต้องระมัดระวังทุกๆ สิ่งให้มาก
ผู้อาวุโสกั๋วรีบเดินมาโดยเร็วขณะที่เขาอยู่ห่างออกไปราวสามจั้ง และหลี่ฉางโซ่วก็ได้ทำการคารวะให้แล้ว…
“ยินดีที่ได้พบสหายเต๋า”
“นี่?”
ผู้อาวุโสกั๋วตกใจก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกวาดตาเล็กๆ ของเขาออกไปรอบๆ ก่อนจะรีบโค้งคารวะกลับในทันที
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สหายเต๋ามากพิธีไปแล้ว”
“สหายเต๋า ท่านมาจากที่ใดหรือ เหตุใดถึงมาที่วิหารเล็กๆ ของเรา”
หลี่ฉางโซ่วตอบว่า “ข้าเดินทางมาจากแดนไกลและเห็นว่ามีธูปมากมายอยู่ที่นี่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเทพเจ้าในวิหารแห่งนี้มาก่อน จึงฉงนเล็กน้อยและลองเข้ามาดู”
ผู้อาวุโสกั๋ว ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ท่านไม่เคยได้ยินเรื่องท่านเทพแห่งท้องทะเลมาก่อนเลยหรือ”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก…”
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสกั๋วพลันตะโกนว่า “ท่านผู้อาวุโส! โปรดอย่าพูดอย่างนั้นต่อหน้าท่านเทพแห่งท้องทะเลของเรา!”
จากนั้นเขาก็กล่าวต่อด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “นามของท่านเทพแห่งท้องทะเลของเราเป็นที่รู้จักกันทั่วหล้า! ท่านผู้อาวุโส โปรดระวังคำพูดและการกระทำของท่านเมื่ออยู่ต่อหน้ารูปปั้นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เมื่อไม่นานมานี้ มีเศรษฐีในเมืองพูดบางอย่างผิดพลาดที่นี่จนทำให้ท่านเทพแห่งท้องทะเลขุ่นเคือง ผลก็คือ ในวันรุ่งขึ้น เขาเสียชีวิตหลังจากดื่มสุราไปจอกเดียว และหญิงสาวที่เขาเพิ่งแต่งงานด้วยก็กลายเป็นหม้าย!”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที…
“โอ้? เทพแห่งท้องทะเลนี้ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่ง?”
“ใช่แล้ว” ผู้อาวุโสกั๋วที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมปราณ หัวเราะอย่างพอใจในขณะที่บรรดาผู้แสวงบุญที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตอบว่าเป็นเยี่ยงนั้นจริงเช่นกัน
จากนั้นผู้อาวุโสกั๋วก็ก้าวเดินต่อและเริ่มเล่าถึง…เรื่องราวของเทพแห่งท้องทะเลอย่างไม่รู้จบ
และมนุษย์กว่าสิบคนที่ไปถวายเครื่องสักการะบูชาต่างก็มารวมตัวกันอยู่ใกล้ๆ
เมื่อผู้อาวุโสกั๋วเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง มนุษย์เหล่านี้ก็ยังคงพูดคุยและดื่มสุราและเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนล้วนมีเรื่องราวพิเศษของตัวเองที่จะเล่าราวกับว่าพวกเขาเคยประสบมาด้วยตัวเอง หลี่ฉางโซ่วอดทนฟัง ‘ตำนาน’ ของผู้อาวุโสกั๋วในขณะที่หัวใจของเขากระตุก
ในยามนี้ บริเวณใกล้เคียงกับทะเลทักษิณ มีเรื่องราวสองสามเรื่องเกี่ยวกับเทพแห่งท้องทะเลที่แพร่หลายออกไปมากที่สุด
เรื่องเล่าเหล่านั้นคือ ‘วิญญาณปลาหลีฮื้อแห่งสงครามเทพเจ้าแห่งท้องทะเล’ ‘หกการแสดงของเทพแห่งท้องทะเลและสาวน้อยมังกร’ ‘เทพแห่งท้องทะเลกล่าวว่า ความเจ็บปวดที่เกิดจากพายุนั้นไม่มีอะไรเลย’ ‘เทพแห่งท้องทะเลนำปลามา’ ‘จงเชื่อในเทพแห่งท้องทะเล แล้วจะเข้มแข็งขึ้น’…
ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่หลี่ฉางโซ่วจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีคำเลียนเสียงธรรมชาติอยู่ในนั้นก็ตาม
เพราะแน่นอนว่า ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย!
ข้าไม่เคยพบกับวิญญาณปลาหลีฮื้อหรือสาวน้อยมังกรมาก่อน!
นอกจากนี้ เด็กสาวที่ตั้งครรภ์นอกสมรสกับเทพแห่งท้องทะเลนั้น จะสามารถตรวจสอบสาเหตุและผลที่ตามมาของเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบได้หรือไม่ เขารับภาระการกระทำผิดที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ไม่ได้!
ชายชราปากแห้งเล็กน้อยหลังจากพูดเป็นเวลานาน และเมื่อเห็นว่าหลี่ฉางโซ่วไม่เอ่ยอะไร เขาก็พยักหน้าพลางส่งเสียงเบาๆ
“ท่านเข้าใจที่เราพูดใช่หรือไม่”
“ใช่ ข้าฟังท่าน แต่ไม่ค่อยเข้าใจนัก” หลี่ฉางโซ่วยิ้มเล็กน้อย ในขณะนั้นเขาดูใจดีและเป็นมิตร จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ชี้แจงอย่างจริงจังว่า “การรวบรวมเครื่องสักการะเป็นวิธีการฝึกฝนเช่นกัน เมื่อข้ามองไปรอบๆ สถานที่นี้ แต่ดูเหมือนจะไม่เห็นปาฏิหาริย์ใดๆ สหายเต๋า ท่านไม่รู้สึกว่าพูดเกินจริงไปสักหน่อยหรือ”
ผู้อาวุโสกั๋วเบิกตากว้างและตะโกนว่า “พูดเกินจริงหรือ! เฮ้! ผู้อาวุโส ท่านมาจากที่ใดกัน ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด เรามาจากสำนักเทพทะเล และทูตเทวะแห่งสำนักเทพทะเลล้วนทรงพลังอย่างยิ่ง!”
หลี่ฉางโซ่วเต็มไปด้วยความคิดในใจขณะที่เขากล่าวต่อไปว่า “เพียงท่านได้รับพลังที่แข็งแกร่งพร้อมด้วยการฝึกฝนบางอย่าง ท่านก็ทำได้แล้ว หากท่านเทพแห่งท้องทะเลทักษิณทรงอิทธิฤทธิ์มากจริงๆ ข้าก็จะยืนอยู่ตรงนี้และให้เขาแสดงตนให้ประจักษ์”
ในเวลานั้น เหล่ามนุษย์ที่อยู่รายรอบดูเหมือนกำลังจะตั้งท่าทำร้ายเขา ใบหน้าของผู้อาวุโสกั๋วเองก็เผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดทุกข์ใจเช่นกัน
“ท่าน ท่าน…ท่านไม่เข้าใจท่านเทพแห่งท้องทะเลของเราเลย! ช่างเถิด ท่านไปเสีย รีบไปเสียเถิด! ตอนนี้ท่านเทพแห่งท้องทะเลยังคงเมตตาต่อท่าน ไม่แน่ว่าท่านเทพจะลงโทษท่านหลังจากนี้!”
หลี่ฉางโซ่วยังคงอยากเอ่ยอะไรต่อ แต่ชายชราก็เริ่มไล่เขาออกไปแล้วด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
หนึ่งในพวกเขาก้าวถอยในขณะที่อีกคนก็ก้าวไปข้างหน้า และเหล่ามนุษย์ที่อยู่รายรอบก็ไล่ตามเขาด้วยเช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วพลันฉวยประโยชน์จากความโกลาหล ทิ้งใยแมงมุมไว้ที่มุมประตูลานบ้าน ซึ่งในที่สุด เขาก็ถูกนักพรตเต๋าชราและผู้แสวงบุญคนอื่นๆ ไล่ออกมาหลังจากนั้น…และขณะที่หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่หน้าลานบ้าน เขาก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ
ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งที่เขาถูกผู้ศรัทธาของเขา โยนออกมาจากวิหารที่บูชารูปปั้นของเขาเอง
หลี่ฉางโซ่วจงใจถอนหายใจออกมา จากนั้น เซียนชราซึ่งความจริงแล้วเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ก็โบกแส้หางม้าของเขาสองสามครั้งแล้วเดินไปตามถนนสายหลักมุ่งตรงไปทางทิศใต้…
เดิมทีเขาได้ทิ้งใยแมงมุมสองตาเอาไว้เพื่อจะทำความเข้าใจสำนักเทพทะเลให้มากขึ้น
หากต้องการทำลายสำนักเทพทะเลโดยไม่มีการนองเลือด เขาจะต้องทำความเข้าใจว่า เหตุใดจึงมีคนจำนวนมากศรัทธาในตัวเขาซึ่งเป็นเทพแห่งท้องทะเลที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เขาจะต้องค้นหาจุดสำคัญเหล่านั้นและล้มล้างมันไปทีละจุด
แต่ใยแมงมุมที่หลี่ฉางโซ่ววางไว้ที่นั่นก็ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อมันเงียบในตอนกลางคืน…และในกลางดึก ผู้อาวุโสกั๋วก็ลอบออกมาจากห้องพร้อมกับหยิบกระดาษยันต์ออกมา จากนั้นเขาก็จุดไฟกระดาษยันต์และรอเงียบๆ อยู่ในลานบ้าน
ไม่นานหลังจากนั้น ภายใต้แสงจันทร์ ก็มีอีการ่อนลงมาที่ลานบ้าน มันมองไปรอบๆ และสักพักหนึ่ง มันก็กลายร่างเป็นมนุษย์
ผู้อาวุโสกั๋วก้มศีรษะลงและไม่กล้ามองต่อไปอีก เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและอธิบายเรื่องของเซียนชราที่เขาพบในตอนกลางวันด้วยท่าทีสั่นเทา…