เงาฝ่ามือ ขวานยักษ์ ลำแขนหนาใหญ่…
นี่มัน?
หลี่ฉางโซ่วรู้อยู่ตลอดเวลาว่า โลกบรรพกาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากมีผู้คนเหนือสามัญที่พิเศษมากมาย ในขณะที่เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดาๆ เท่านั้น
แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะคิดผิดไปทั้งหมด!
ชั่วขณะนั้น ที่ด้านข้างรูปปั้นมีชายร่างกำยำคนหนึ่งอ้าปากใหญ่ของเขาและพ่นแสงสีเหลืองออกมา
ลำแสงนี้ควบแน่นเข้าไปในลำแขนใหญ่ที่ถือขวานยักษ์ ผ่าแยกกระจายเงาฝ่ามือที่หลี่ฉางโซ่วฟาดออกไปได้อย่างง่ายดาย!
ในพริบตานั้น…
ความรู้ความเข้าใจของหลี่ฉางโซ่วที่มีต่อหมู่บ้านสงนั้นพังทลายลงโดยสมบูรณ์
ในคราแรก แม้เขาจะรู้ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติในหมู่บ้านสง แต่ด้วยเขากำลังยุ่งอยู่กับการเสถียรระดับพลังการฝึกฝนให้คงที่หลังจากที่ขึ้นสู่เซียนแล้ว หลังจากสังเกตการณ์อยู่ระยะหนึ่งเขาก็จากไปเงียบๆ
เวลาต่อมา ชาวหมู่บ้านสงก็เริ่มดำเนินการแผนสร้างความมั่งคั่งโดยส่งเสริมสำนักเทพทะเลและพัฒนาจนมีขนาดมาถึงยามนี้
และในระหว่างกระบวนการนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ให้ความสนใจมองดูผู้คนในหมู่บ้านสงเป็นครั้งคราว
ทว่าตั้งแต่แวบแรกที่เห็น หลี่ฉางโซ่วก็เพียงมองว่าคนเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะพัฒนาร่างกาย แขน ขาได้เป็นอย่างดี และไม่เห็นข้อบกพร่องใดๆ ในตัวของพวกเขา นอกจากคิดแค่ว่าพวกเขาละโมบเพียงเล็กน้อย
บางครั้งหลี่ฉางโซ่วก็มองว่าพวกเขาล้วนซื่อสัตย์จริงใจและไร้เดียงสา กระทั่งรู้สึกว่าพวกเขาบางคนใช้ชีวิตธรรมดาและยังเป็นคนมีจิตใจดี…
เขาจึงไม่คาดคิด…
เขาคาดไม่ถึงจริงๆ!
เขาถูกผู้คนที่ดูไร้เดียงสาเหล่านี้หลอกมาตลอดเป็นเวลาหลายปี!
หลี่ฉางโซ่วยอมรับว่าบางครั้งเขาก็ซ่อนความสามารถของเขาเอาไว้ลึกมากเกินไปสักหน่อย
แต่เมื่อเทียบกับกลุ่มคนในหมู่บ้านสงแล้ว เขายังอ่อนด้อยกว่ามาก พวกเขาเอาชนะเขาในเรื่องนี้ได้อย่างขาดลอยจริงๆ!
สำนักเทพทะเลทักษิณอาจต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘สำนักที่คาดเดาไม่ได้’ ด้วยเช่นกัน !
บุรุษ สตรี และเด็กๆ เหล่านี้ของหมู่บ้านสง สามารถร่วมงานกัน ทำการแสดงครั้งใหญ่ได้ ปลาแปลกๆ ที่พาข้ากลับไปเวลานั้นก็อาจถูกพวกมันจงใจจับมา…
ในขณะนั้น หัวใจของหลี่ฉางโซ่วเต็มไปด้วยตัวอักษรสามคำว่า ‘มันเป็นแผน’
แต่หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ตื่นตระหนก แม้เขาจะตื่นตกใจ แต่ก็ไม่กระทบต่อการตัดสินใจของเขาในสถานการณ์นี้
หลี่ฉางโซ่วควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ให้ถอยกลับทันทีด้วยความรวดเร็วสูงสุด แต่ลำแขนขนาดใหญ่ก็ฟาดลงมาจนเงาฝ่ามือแยกออกก่อนที่จะคว้าขวานยักษ์แล้วพุ่งเข้าหาหลี่ฉางโซ่ว
ภาพเหตุการณ์นี้แปลกอย่างไม่อาจอธิบายได้…
ชายร่างกำยำอ้าปากแล้วพ่นแสงสีเหลืองขุ่นออกมา ภายในแสงนั้น เขาได้ควบแน่นเป็นขวานยักษ์และแขนขึ้นราวกับสิ่งมีชีวิต มันไล่ตามหลี่ฉางโซ่วและฟันเขา
การโจมตีดูเหมือนจะช้ามาก แต่หลี่ฉางโซ่วก็สามารถสัมผัสอักขระเต๋าที่เลือนรางและลึกลับได้
มันดูเหมือนจะช้า แต่จริงๆ แล้วเร็ว และเหมือนจะเบา แต่จริงๆ แล้วหนัก!
มันแตกต่างจากเคล็ดวิชาเต๋ารวมถึงพลังและทักษะเวทที่หลี่ฉางโซ่วรู้อย่างสิ้นเชิง!
แม้หลี่ฉางโซ่วจะไม่รู้สึกถึงพลังที่มีอยู่ในนั้น แต่ก็ไม่กล้าประเมินพลังของขวานนี้ต่ำเกินไป
ในขณะนั้น เขาพลันเคลื่อนตัวในแนวนอนอย่างรวดเร็วผ่านอากาศโดยแทบไม่ต้องหลบขวานยักษ์นี้
ทว่าจู่ๆ ก็มีรอยแยกยาวสองสามร้อยจั้งปรากฏขึ้นบนเนินเขาที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ…
ทันใดนั้นพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาก็จับมันได้ และอีกมีลำแสงหนึ่งเปล่งประกายออกมาอยู่ด้านข้างเขา!
ในชั่วพริบตา ร่างของหลี่ฉางโซ่วก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที และฉับพลันนั้น ก็มีลูกศรพุ่งผ่านเท้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว พลังของมันเพียงพอที่จะเจาะผ่านตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ได้รับพลังเซียนของเขาสนับสนุนอยู่!
เมื่อก้มศีรษะลง เขาก็เห็นว่าชายร่างกำยำอีกคนมีบางอย่างผิดปกติ
คนผู้นั้นไม่ได้เปลี่ยนแขนกลายเป็นขวานอย่างกะทันหัน แต่แขนของเขาซึ่งแต่เดิมเป็นแขนที่หนามาก ทว่าบัดนี้มันมีความหนาเหมือนแขนของคนธรรมดาทั่วไป…
และแขนทั้งสองข้างนี้ก็เปล่งประกายราวกับแก้ว
หลังจากนั้น แสงบนแขนของเขาก็ควบแน่นเป็นคันธนูกับลูกธนู และมือของชายคนนั้นก็ทำการดึงสายคันธนูแล้วยิงลูกศรออกไปด้วยมือทั้งสองข้างนั้น
ในพริบตานั้น หลี่ฉางโซ่วก็พุ่งเข้าไปในก้อนเมฆและย้ายร่างไปทางซ้ายสลับขวาเพื่อหลบหลีกในทันที แต่เขาแทบจะไม่สามารถหลบลูกศรอีกดอกจากคู่ต่อสู้ได้…
ลูกศรนี้ยิงเจาะทะลุเมฆขาวด้านบนและระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า
หลี่ฉางโซ่วยังคงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาไปถึงความสูงที่ลูกศรระเบิด ภัยคุกคามที่อยู่ด้านล่างก็หายไปในทันใด
เมื่อเขามองลงมา…กลุ่มชายฉกรรจ์ร่างหอคอยเหล็กในชุดดำก็โบกอาวุธในมือและอวดความสามารถของพวกเขาต่อหน้าตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่ว พวกเขาส่งเสียง “โว้ โว้” ราวกับกำลังเยาะเย้ยหลี่ฉางโซ่ว
ตลอดระยะเวลาหลายปีของการพัฒนาสำนักเทพทะเล เหล่าบุรุษสตรีในหมู่บ้านสงล้วนได้เดินทางไปทั่วโลก และนับได้ว่าพวกเขาต่างก็มีประสบการณ์และความรู้
พวกเขาไม่ใช่แค่หอคอยเหล็กแห่งหมู่บ้านสงที่เรียบง่ายอีกต่อไป
ย้อนกลับไป เมื่อพวกเขาเห็นผู้บำเพ็ญที่สามารถบินได้ พวกเขาจะคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นเทพเจ้าและเป็นเซียน จะคุกเข่าลงเพื่ออธิษฐานขอพร
วันนี้พวกเขาได้ส่งร่างจำแลงของเทพแห่งท้องทะเลสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าและทำให้เขาไม่กล้าที่จะลงมา พวกเขายังหัวเราะและสาปแช่งอยู่ทางด้านล่าง
“ลงมา! ไอ้ขี้ขลาด!”
“เจ้ากำลังเล่นตลกแล้ว! หากเจ้ามีความสามารถก็ลงมาสู้กับข้า!”
ในเวลานี้ ไม่เพียงหลี่ฉางโซ่วคนเดียวที่ตกตะลึง แต่กลุ่มสานุศิษย์มนุษย์ที่อยู่ด้านล่างต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน…
หัวหน้าหมู่บ้านสงที่แต่งตัวเป็นหมีดำตอบโต้กลับอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าหมู่บ้านกลอกตาและตะโกนออกมาทันทีว่า “เทพแห่งท้องทะเลปรากฏตัว! มันเป็นการปรากฏตัวของเทพแห่งท้องทะเลที่มอบพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้กับทูตเทวะ! ขอบคุณท่านเทพแห่งท้องทะเลที่ให้พร! ย่อมไม่มีผู้ใดจะละเมิดพลังของเทพแห่งท้องทะเลได้!”
ทันใดนั้น ผู้ศรัทธาที่อยู่รอบข้างต่างก็ตะโกนเสียงดัง และเสียงของพวกเขาก็เหมือนเสียงคลื่นยักษ์สาดซัด
สานุศิษย์กลุ่มนี้ก้มกราบไหว้รูปเคารพอีกครั้ง พวกเขาหลายคนล้วนมีแววตาร้อนรน และภาพเหตุการณ์นั้นงดงามมาก…มันได้ผลหรือ
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาได้ใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ให้ไปที่หมู่บ้านนั้นเพื่อบอกสานุศิษย์เหล่านั้นว่าไม่มีเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
แต่วันนี้ เขาได้วางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องผู้ศรัทธาในที่ชุมนุมนั้น และได้ฆ่าปีศาจที่ทรงพลังสองตัวที่โจมตีเขา…
ในที่สุดเขาก็ถูกทูตเทวะของสำนักของเขาไล่ตามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง! นี่มันเรื่องตลกอันใดกัน
มันเป็นเรื่องตลกใหญ่ที่สุดในโลก!
บางทีเขาน่าจะเป็น ‘เทพเจ้าแห่งเครื่องสักการะ’ ที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์…
ในขั้นต้น หลี่ฉางโซ่วคิดว่า สำนักเทพทะเลจะกลายเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้นสำหรับเขาในอนาคต และจะก่อให้เกิดกรรมร้ายในอนาคต ดังนั้นเขาจึงต้องแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
ณ จุดนี้ ดูจากรูปการณ์แล้ว ดูเหมือนว่าบางทีเขาอาจจะถูกผู้คนจากหมู่บ้านสงหลอกใช้
เจ้าสานุศิษย์หอคอยเหล่านั้นล้วนมีจิตใจสกปรกจริงๆ!
บนท้องฟ้า ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วฉายแววดุร้ายเหี้ยมโหด และทันใดนั้น เขาก็หยิบขวดกระเบื้องสองขวดออกมา…
แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่า หากเขาทำเช่นนั้นจริงๆ เขาก็จะสร้างกรรมให้ตัวเขาเองโดยไม่มีเหตุผล
ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏอยู่เบื้องหลังผู้คนจากหมู่บ้านสงเหล่านี้
เขาต้องค้นหาภูมิหลังของพวกคนเหล่านั้นก่อน
หลี่ฉางโซ่วจับภาพรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างรวดเร็ว ชายร่างกำยำที่มีแขนกับขวานขนาดใหญ่และพ่นแสงออกมาจากปากของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ในเวลานี้ เขากำลังนั่งอยู่ด้านข้างของรูปปั้นเทพเจ้าในสภาพไร้ชีวิตชีวา
และในตอนนี้ชายร่างกำยำที่แขนมีความหนามหาศาลก็ลดลงเท่าคนธรรมดา และไม่สามารถยกแขนขึ้นมาได้…
อาจจะเป็นพลังสายโลหิต?
เผ่าพันธุ์มนุษย์มีพลังสายโลหิตเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ทันใดนั้น หัวใจของหลี่ฉางโซ่วเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงมาอย่างกะทันหัน เขามองดูกลุ่มคนหอคอยเหล็กด้านล่างที่แสดงความสามารถยอดเยี่ยมของพวกเขาออกมา และระลึกถึงเรื่องที่กล่าวพาดพิงในบันทึกตำราโบราณสองสามเล่ม
หลังจากที่เทพผานกู่แยกสวรรค์และปฐพี ปราณวิญญาณของเขาก็กลายเป็นสามบรรพเทพาจารย์สูงสุดแห่งเต๋า และศพของเขาก็ได้สร้างเผ่าพันธุ์อื่น – เผ่าเวท
เผ่าเวทค่อย ๆ พัฒนาเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ ในยุคโบราณ พวกเขาได้รับการคุ้มครองด้วยบุญและพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนเล็กน้อยที่เทพผานกู่ผู้ยิ่งใหญ่ทิ้งเอาไว้ บรรพบุรุษเผ่าเวททั้งสิบสองเรียกลมและฝนได้ รวมถึงมีพลังอำนาจในการควบคุมกฎโบราณ ทั้งยังมีมหาจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ และจอมเวทนักรบมากมายนับไม่ถ้วนในเผ่า