เหมียวอี้เอาข้อศอกชนศีลแปดเบาๆ บุ้ยปากไปทางซินหูที่อยู่บนหลังคา
ศีลแปดทำสีหน้าขื่นขม ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้จะสื่ออะไร บนหลังคาก็คือลูกชายตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะมีลูกชายโตขนาดนั้นแล้ว เขาพูดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไรดี ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้บังคับให้เขามา ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่มา
ปีศาจโลหิตกลับมองอวี้หลัวช่าพลางส่ายหน้ายิ้มเจื่อน พบว่าทุกครั้งที่อวี้หลัวช่ามาเจอลูกชายก็จะร้องไห้ ทำราวกับติดค้างอะไรลูกชายอย่างนั้น นางจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่านี่คือพุทธะหน้าหยกที่ตัวเองได้ยินนามอันยิ่งใหญ่มานานแล้ว ราวกับทำมาจากน้ำ เอะอะก็ร้องไห้
“ซินหู มีแขกมา” ปีศาจโลหิตพลันตะโกนเรียก
ซินหูที่อยู่บนหลังคาลืมตาช้าๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขณะหันหน้ารับแสงอาทิตย์ยามเย็น หันตัวลอยลงมา โค้งตัวประนมมือให้อวี้หลัวช่า เขาเองก็รู้จักเหมียวอี้ แม้จะเคยพบกันครั้งเดียว แต่ที่นี่ก็มีคนมาไม่บ่อย เมื่อได้เจอใครสักคนก็จำได้อย่างลึกซึ้ง เขาประนมมือโค้งตัวให้เหมียวอี้อีก
ส่วนศีลแปด เขาเองก็จำได้รางๆ แต่ก็ยังประนมมือทักทาย “อามิตตาพุทธ”
ทั้งสามประนมมือทักทายกลับ อวี้หลัวช่าถือโอกาสปาดน้ำตา มองซินหูด้วยแววตาสงสารอย่างบรรยายไม่ออก รสชาติยามอยู่ตรงหน้าลูกชายแต่ไม่อาจทำความรู้จักกันได้นั้นทรมานไร้ที่เปรียบ รู้สึกเพียงว่าตัวเองเป็นมารดาที่น่าละอาย ติดค้างลูกชายมากเกินไป
ศีลแปดก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกสับสนของเขาได้
ปีศาจโลหิตคอยแนะนำอยู่ข้างๆ “ซินหู นี่ก็คือศิษย์ของไต้ซือ ศิษย์พี่ของข้าเอง ศีลแปด”
ซินหูยิ้มอ่อนๆ อย่างไม่สะอกสะท้าน โค้งตัวอีกครั้ง
ส่วนเหมียวอี้ก็จ้องประเมินซินหูเงียบๆ แม้ซินหูจะโดนแดดเผาจนผิวดำ แต่ก็ยากจะปิดบังความหล่อเหลานั้นได้ หน้าตาเอนเอียงไปทางอวี้หลัวช่า หน้าตาดี โดยเฉพาะลักษณะสุขุมเยือกเย็นแบบนั้น เป็นสิ่งที่มาจากแก่นแท้ของตัวเอง
พวกเขาเข้ามาในอุโบสถ นั่งขัดสมาธิ ซินหูถือว่าเป็นรุ่นเด็กเมื่ออยู่ที่นี่ จึงเป็นฝ่ายชงชารินชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง ส่งถ้วยน้ำชาถึงมือพวกเขาด้วยตัวเอง
เหมียวอี้กับปีศาจโลหิตไม่อยากรบกวน จึงหาข้อออ้างออกไป ศีลแปดก็อยากออกไปเหมือนกัน แต่ถูกเหมียวอี้กดบ่าให้นั่งลงไป
ทุกครั้งที่มาที่นี่ อวี้หลัวช่าก็จะพูดคุยกับลูกชายไม่หยุด หาข้ออ้างสนทนาพุทธธรรม แต่กลับแสดงความห่วงใยอันเปี่ยมล้นออกมาในคำพูด สายตาอาวรณ์ก็ยิ่งมองบนลูกชายโดยไม่ละไปไหน
ศีลแปดที่นั่งอยู่ข้างๆ ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรสักคำ บางครั้งก็แอบสังเกตสองแม่ลูก
พอมาถึงมุมหนึ่งของวัด ไม่มีคนนอกแล้ว ปีศาจโลหิตก็ถามว่า “โยมหนิวมาเพื่อเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์หรือ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ไต้ซือศีลเจ็ดอยู่ที่สถานที่ผนึกเหรอ?”
“ใช่!” ปีศาจโลหิตพยักหน้า “พุทธะหน้าหยกเกลี้ยกล่อมหลายรอบแล้ว เกรงว่าเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็คงไม่ได้ผล”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “รบกวนเจ้าไปเชิญเขามาสักรอบเถอะ”
ปีศาจโลหิตยิ้มเจื่อน แล้วหันตัวเดินออกไป พอออกจากวัดก็คือวงูมังกรออกไป เตรียมจะไปผลัดเวรกับไต้ซือศีลเจ็ด
เหมียวอี้เองก็ไม่ไปรบกวนครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาของศีลแปด เดินเล่นอยู่ภายในวัดเพียงลำพัง
รอจนกระทั่งงูมังกรกลับมาอีกครั้ง ไต้ซือศีลเจ็ดก็กลับมาจากสถานที่ผนึกแล้ว
เมื่อพบหน้ากัน ไต้ซือศีลเจ็ดก็ประนมมือด้วยรอยยิ้ม “โยมมีสง่าราศีกว่าในปีนั้น”
หลังจากเหมียวอี้ประนมมือทักทายตอบ ก็กลับยิ้มไม่ออก “วิกฤติกำลังจะมาถึงแล้ว เหตุใดไต้ซือจึงไม่ไป?”
“ใช่แล้ว! ท่านอาจารย์ ไปกับพวกเราดีกว่า” เสียงของศีลแปดดังมา คนก็เดินตามออกมาเช่นกัน แต่ไม่เห็นอวี้หลัวช่า
ไต้ซือศีลเจ็ดมองลูกศิษย์คนนี้ด้วยแววตาหลากอารมณ์ วิจารณ์ด้วยจิตใจที่สงบ เขารุ้อย่างลึกซึ้งว่าศิษย์คนนี้เหลวไหลไร้ระเบียบ ไม่เหมือนศิษย์ชาวพุทธเลย แต่ก็ไม่โทษศีลแปดเช่นกัน มีแต่โทษที่ตัวเองสั่งสอนไม่ดี เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว สิ่งที่ควรพูดอาตามาก็พูดกับโยมอวี้ไปชัดเจนแล้ว ถ้าที่นี่ไม่มีคนเฝ้า พระปีศาจนั่นจะต้องก่อหายนะแน่”
“ไต้ซือคิดมากไปแล้ว กำลังพลตำหนักสวรรค์กำลังจะมาถึงแล้ว มีคนของตำหนักสวรรค์เฝ้าอยู่ นั่นก็เหมือนกันนั่นแหละ พระปีศาจหนีไม่พ้นหรอก” เหมียวอี้กล่าว
ไต้ซือศีลเจ็ดบอกว่า “เกรงว่าสิ่งแรกที่ตำหนักสวรรค์จะทำก็คือฆ่าเขา”
“พระปีศาจก่อกรรมทำชั่วมากมาย ตายไปก็ไม่พอให้เสียดายหรอก” เหมียวอี้บอก
ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้า “อาศัยความสามารถของเขาตอนนี้ ถ้าสามารถกล่อมเกลานิสัยได้ ก็จะนำความผาสุขมาสู่มวลมนุษย์แน่นอน”
เหมียวอี้ยังอยากจะอธิบายด้วยเหตุผล แต่ศีลแปดกลับกระทืบเท้าแยกเขี้ยวยิงฟันแล้ว “ตาแก่โล้น ที่ท่านเลอะเลือนไปแล้วมั้ง? กล่อมเกลาเหรอ? ท่านจะเอาอะไรมากล่อมเกลาเขา? เป็นท่านที่กล่อมเกลาเขา หรือเป็นเขาที่กล่อมเกลาท่าน? ท่านลืมเรื่องที่ตัวเองกราบคารวะขอเป็นศิษย์เขาไปแล้วเหรอ ถ้าไม่ใช่ข้าช่วยท่านไว้ ท่านเคยคิดถึงผลลัพธ์บ้างหรือเปล่า? แล้วอีกอย่าง หลังจากคนของตำหนักสวรรค์มาแล้ว ยังถึงคราวที่ท่านจะมากล่อมเกลาอีกเหรอ? เรื่องแรกที่ทำถ้าไม่ฆ่าท่านก็คงจับตัวท่านไป ถ้าท่านตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ จะไม่ทำใหพวกเราพลอยลำบากไปด้วยหรอกเหรอ?”
แม้เหมียวอี้จะไม่ชอบท่าทีที่ศีลแปดมีต่ออาจารย์ แต่สิ่งที่ศีลแปดพูดก็คือสิ่งที่เขาอยากจะพูด เขาจึงไม่ได้ห้าม
ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้า “เรื่องบางเรื่องต้องมีคนทำอยู่แล้ว หากอาตมาไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก”
“ได้!” ศีลแปดโมโหจนหัวเราะประชด หันตัวไปบอกเหมียวอี้ว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากเกลี้ยกล่อมแล้ว ถ้าอยากจะเกลี้ยกล่อมท่านก็ค่อยๆ ทำไปเถอะ” พูดจบก็สะบัดชายจีวรเดินไป
แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เขาเดินเฉียดกับศีลเจ็ด จู่ๆ ก็ลอบจู่โจม ใช้นิ้วจิ้มหลังศีลเจ็ด แล้วก็จิ้มอีกหลายที่บนตัวศีลเจ็ดต่อเนื่องกัน ศีลเจ็ดที่ทำสีหน้างุนงงถูกควบคุมไว้แล้ว ศีลแปดหันตัวมา แล้วบอกกับเหมียวอี้ว่า “พี่ใหญ่ จะคุยกันด้วยเหตุผลก็ต้องแยกแยะด้วยว่าเป็นใคร กับตาแก่คร่ำครึแบบนี้ไม่ต้องคุยด้วยเหตุผลหรอก ข้ารู้จักเขาดีเกินไป พวกท่านเป็นคนดีไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนเลวเอง”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ถ้าไม่ถึงคราวหมดทางเลือก เขาก็ไม่อยากจะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับศีลเจ็ด เพียงแต่ในเมื่อศีลแปดทำอย่างนี้ไปแล้ว เขาเองก็ทำได้เพียงโค้งคำนับกล่าวว่า “ไต้ซือ เรื่องนี้สำคัญมาก ขออภัยที่พวกเราเสียมารยาท”
“พูดมากกับเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ เป็นเรื่องที่ง่ายมากแท้ๆ ทำไมต้องทำให้ซับซ้อนขนาดนั้น” ศีลแปดพึมพำ จากนั้นก็ไม่เปลืองคำพูดอีก เก็บไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้เสียเลย ทำท่าเหมือนพอไม่เห็นคนแล้วก็ไม่รู้สึกผิดอะไร
ตรงนี้จัดการไต้ซือศีลเจ็ดได้แล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ลังเลอีก หันตัวเดินไปหาอวี้หลัวช่า เห็นท่าทางแบบนั้นของอวี้หลัวช่า ถ้าไม่เป็นฝ่ายไปขัดจังหวะเอง ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะคุยกับซินหูไปถึงเมื่อไร
“ไต้ซือตอบตกลงแล้ว?” อวี้หลัวช่าที่เดินตามออกจากอุโบสถประหลาดใจนิดหน่อย นางเกลี้ยกล่อมครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่ได้ผล จัดการได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?
“ศีลแปดจับตัวเขาไว้แล้ว…” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง
อวี้หลัวช่าพูดไม่ออก เพียงแต่เชื่อว่าศีลแปดทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ
เมื่อเจอกับศีลแปด ทั้งสามก็ปรึกษากัน อวี้หลัวช่าตำหนิศีลแปดสองประโยค แต่ศีลแปดก็ไม่ถือสาอะไร
“เรื่องไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้ก่อน ปัญหาตอนนี้ก็คือพระปีศาจหนานโป เขารู้ชื่อข้าแล้ว ถ้าตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์เมื่อไร ข้าก็จะเกิดปัญหา ต้องหาทางกำจัดเขาทิ้ง” เหมียวอี้กล่าว
อวี้หลัวช่าขมวดคิ้ว “ถ้าจะฆ่าเขาก็ต้องทำลายผนึกค่ายกลใหญ่ก่อน”
เหมียวอี้บอกว่า “วิธีทำลายค่ายกล พระปีศาจเคยบอกข้าไว้แล้ว ขอเพียงหาดาวเคราะห์สามดวงจากมุมใดมุมหนึ่งของค่ายกลแล้วทำลายพร้อมกัน ค่ายกลใหญ่ก็ย่อมถูกทำลายแล้ว”
“ทำลายดาวเคราะห์สามดวงพร้อมกันเหรอ?” อวี้หลัวช่ากวาสายตามองบนตัวทั้งสอง “ไต้ซือศีลเจ็ดไมม่ร่วมมือด้วยแน่ ต่อให้นับซินหูกับปาไห่ พวกเราก็มีห้าคนเอง ข้าไม่รู้วรยุทธ์ของพี่ใหญ่ พวกเขาสามคนเกรงว่าร่วมมือกันคงไม่มีทางทำลายดาวเคราะห์ทั้งดวงได้ภายในเวลาสั้นๆ แน่ มิหนำซ้ำยังต้องทำลายดาวเคราะห์สามดวงพร้อมกัน แล้วพวกเราก็ต้องดึงตัวหนึ่งคนไปเผชิญหน้ากับพระปีศาจ ตอนค่ายกลถูกทำลายก็ต้องลงมือกับเขาให้ทันเวลา อย่าให้เขาหนีไปได้ ไม่อย่างนั้นปัญหาจะตามมาไม่รู้จบ พูดจากใจ ข้าไม่มีวิธีทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจ!” นางย่อมคิดว่าตัวเองคือคนที่ต้องลงมือกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจ ข้ามีวิธีการรับมือ เรื่องนี้ส่งให้ข้าจัดการ กำลังคนไม่พอก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ต่อให้อันตรายหน่อยก็ต้องแก้ไขปัญหา ข้าจะระดมยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาให้ความร่วมมือที่นี่ น้องสะใภ้ช่วยไปรับให้ข้าหน่อย” เหมียวอี้กล่าว
อวี้หลัวช่าส่ายหน้า “ถ้าอยากจะทำลายดาวเคราะห์สามดวงพร้อมกัน เกรงว่าต้องใช้กำลังคนไม่น้อย คนเยอะตาเยอะ พี่ใหญ่รับประกันได้เหรอว่าจะไม่มีข่าวหลุด?”
เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าพระปีศาจตกอยู่ในมือพวกเขา เกรงว่าเรื่องของข้าตอนอยู่ที่นี่ก็คงถูกเปิดโปงเหมือนกัน”
อวี้หลัวช่าบอกว่า “ก็ไม่แน่หรอก พระปีศาจรู้จักแค่ชื่อของพี่ใหญ่ ไม่รู้เสียหน่อยว่าพี่ใหญ่มาทำอะไรที่นี่ ถ้าตำหนักสวรรค์หาที่นี่เจอแล้ว พวกประมุขชิงก็ต้องหาทางกำจัดเขาทันทีแน่ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าพระปีศาจใช้มนต์คร่าชีวิตได้ ทั้งสองฝ่ายคงไม่นั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกันหรอก มีความเป็นไปได้น้อยที่จะคุยกันจนสาวมาถึงพี่ใหญ่ ไม่สู้รอให้ตำหนักสวรรค์มาจัดการ”
เหมียวอี้เงียบไป ค่อนข้างลังเล
อวี้หลัวช่าพูดจากอีกมุมหนึ่ง “พี่ใหญ่ ท่านต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งเอาไว้นะ การที่พระปีศาจตายด้วยน้ำมือท่านกับตายด้วยน้ำมือพวกเขานั้นต่างกัน ท่านฆ่าพระปีศาจแล้ว พวกเขาอาจจะไม่เชื่อก็ได้ พวกเขาจะสงสัยว่าทำไมไม่ฆ่าตั้งแต่แรก แต่ดันฆ่าตอนที่พวกเขากำลังจะหาเจอ จะสงสัยว่าพี่ใหญ่ปิดบังอะไรไว้หรือเปล่า? พระปีศาจอันตรายเกินไป พวกเขามิอาจไม่ระวังตัว คาดว่าคงหาทางไปสืบจากท่านให้กระจ่าง จะนำความยุ่งยากมากมายมาสู่ท่าน ถ้าพระปีศาจตายด้วยน้ำมือพวกเขา นั่นก็จะต่างออกไปแล้ว พวกเขาฆ่าด้วยมือตัวเองก็ย่อมวางใจกว่า ต่อให้พระปีศาจพูดถึงท่านแล้วยังไงล่ะ? พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ก็คอยเฝ้าพระปีศาจมาตลอด ไม่ได้ช่วยอะไรพระปีศาจ ส่วนพระปีศาจก็ตายไปแล้ว ในมือพี่ใหญ่มีกำลังพลมาก ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่มั่นใจ ประมุขชิงก็ไม่กล้าแตะต้องพี่ใหญ่สุ่มสี่สุ่มห้าหรอก ข้าจึงแนะนำให้พี่ใหญ่วางมือก่อน ให้ตำหนักสวรรค์จัดการเอง!”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง หลักจากครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้าบอกว่า “น้องสะใภ้พูดมีเหตุผล ทำตามที่เจ้าบอกแล้วกัน” พูดจบก็หันกลับไปมองทางอุโบสถ “จะให้ซินหูไปกับข้า หรือไปกับน้องสะใภ้?”
สำหรับเรื่องนี้ อวี้หลัวช่าตัดสินใจลำบากมาก นางไม่อยากให้ซินหูรู้ถึงชื่อเสียงสำส่อนของตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะทนความรู้สึกได้อย่างไร แต่ก็อยากเก็บลูกชายไว้คอยดูแลอยู่ข้างกายจึงถามอย่างลังเลว่า “พี่ใหญ่มีสถานที่ที่เหมาะสมหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ตอบว่า “สถานที่ปลอดภัยข้าก็มีอยู่แห่งหนึ่ง เหมาะให้ซินหูฝึกตน เพียงแต่ข้าไม่สะดวกจะบอกน้องสะใภ้ว่าที่นั่นคือที่ไหน ในภายหลังถ้าน้องสะใภ้อยากจะเจอซินหูบ่อยๆ ก็คงไม่ง่ายแล้ว”
ศีลแปดกระตุกมุมปาก พอจะเดาออกแล้วว่าเป็นพิภพเล็ก
อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างห่อเหี่ยว “ในเมื่อพี่ใหญ่บอกว่าปลอดภัย ข้าก็ย่อมเชื่ออยู่แล้ว เช่นนั้นก็ให้ซินหูไปกับท่านเถอะ” นางเองก็ไม่มีทางเลือก แม้อยู่ที่แดนสุขาวดีนางจะมีตำแหน่งสูงอำนาจเยอะ แต่นางก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่มีใครจับตาดูนาง วิธีปิดบังที่ดีที่สุดก็คือให้คนเข้าใจผิดว่าซินหูคือแขกที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง แต่การปิดบังแบบนี้นางก็ยากที่จะรับไหว
เมื่อปรึกษากันแล้ว ศีลแปดก็ไปยังสถานที่ผนึกทันที เรียกปาไห่กลับมา จากนั้นพวกเขาก็ทิ้งที่นี่และเหาะจากไปโดยเร็ว
…………………………