เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขา
เขาพักอยู่ในห้องเป็นเวลาสามวันสองคืนจนรัตติกาลมาเยือนอีกครั้ง เจ้าของร้านและผู้คนที่ห่วงว่าเขาจะอดตายอยู่ภายในนั้น ก็อดจะเข้าไปดูข้างในไม่ได้ และในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็ตัดสินใจออกไปเคลื่อนไหว
หลี่ฉางโซ่วกังวลว่า ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูจะทำลายแผนหลอกล่อศัตรูของเขา จึงเริ่มคิดติดต่อกับลุงจิ่วอู แต่เขาต้องคิดแผนก่อน…
จากนั้น…
เขาก็ถอดเสื้อคลุมเต๋าของท่านอาจารย์ออก แล้วสวมชุดคลุมผ้าหนาหนักปักทอจากเส้นไหมทอง และแต่งกายให้ดูดี
แล้วหลี่ฉางโซ่วก็เดินไปรอบๆ เมืองครึ่งรอบก่อนจะใช้ประโยชน์จากความมืดที่สลัวรางแล้วไปยังถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองยามราตรี
แสงไฟที่นี่สว่างไสวโดยมีแสงสีเจิดจ้าและเสียงพูดคุยโหวกเหวกอื้ออึงอย่างต่อเนื่องไปทั่วทุกที่ มีอาคารไม้ที่สวยงาม และยังมีลานเล็กๆ ที่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข
เดินไปสิบก้าว ก็จะได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงประสานเสียงกันไป
เดินไปร้อยจั้ง แต่ก็ยังมองไม่เห็นสุดถนนสายนี้
ความเจริญรุ่งเรืองของสถานที่แห่งนี้ยังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ในเมืองหลินตงไร้กังวลใดๆ ไม่มีความกังวลในเรื่องอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยังอุดมไปด้วยผลผลิตมากมาย เพราะในท้ายที่สุดก็มีเพียงการสนับสนุนด้วยวัตถุอย่างมากมายเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถไล่แสวงหา…ทางจิตวิญญาณ…ได้
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วปลอมตัวเป็น ‘ฉีหยวน’ และเดินเข้าไปในถนนสายนี้ ก่อนจะพบสำนักโคมเขียวที่ค่อนข้างโอ่อ่าหรูหรา และเดินเข้าไปข้างใน ด้วยท่าทีคล้ายกับคุ้นเคยเส้นทาง
หากเขาต้องการจับอาจารย์ลุงจิ่วอู แน่นอนว่า ต้องเริ่มต้นด้วยอาจารย์ป้าจิ่วซือ
ผงสลายพลังเซียนคุณภาพเยี่ยมระดับสูงสุดครึ่งขวด ผลึกบันทึกเหตุการณ์ เขาจะทำเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมชาติ…
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่แอบตามไปตลอดทาง ในเวลานี้ จิ่วอูก็เห็น ‘ฉีหยวน’ เข้าไปในสำนักโคมเขียวแล้วทันใดนั้น เขาก็ตาโตขึ้นมาด้วยความตกตะลึง!
“ก่อนหน้านี้ที่ศิษย์น้องฉีหยสนดูวิตกกังวลตอนอยู่บนท้องถนน เป็นเพราะเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ!
พวกเขาปล่อยให้โลกมนุษย์วุ่นวายและน่ารังเกียจเช่นนี้ได้อย่างไร สถานที่แห่งนี้ยังแย่ยิ่งกว่า หากเขามีความสัมพันธ์ทางกายกับสตรีโคมเขียวแห่งโลกมนุษย์ ลมปราณบริสุทธิ์ของเขาก็จะต้องถูกปนเปื้อนอย่างแน่นอน…หรือว่าเขาถอดใจเรื่องหลังจากที่ตัวเองกลายเป็นเซียนจั๋ว”
จิ่วอูซ่อนตัวอยู่ที่หัวมุมถนน เขาลูบคางขณะพยายามขบคิดอยู่พักหนึ่งแล้วรู้สึกขัดแย้งกัน เขาแต่งงานแล้วและเข้าไปในนั้นไม่ได้
แต่…จิ่วอูสามารถแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขา กวาดมองเข้าไปในนั้นโดยไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้ แต่มันว่ามันก็ไม่น่าดูสักเท่าไหร่
“การกระทำเช่นนี้นับว่าแปลกใหม่น่าสนใจทีเดียว และข้าไม่มี…
ฟู่! นี่ข้ากำลังพูดเหลวไหลอันใดกัน”
จิ่วอูส่ายศีรษะแล้วหันหลังเดินออกไป แต่ทันใดนั้น เขาก็ฉุกคิดด้วยความไม่สบายใจและพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าไม่อาจเห็นน้องฉีหยวนหลงทางได้ ข้าจะทำให้เขาตกใจกลัว ย่อมดีแน่”
และในขณะนั้น จิ่วอูก็ก้าวไปข้างหน้าและเดินตรงไปยังสถานที่ที่ฉีหยวนเข้าไปก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว
มันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบจั้ง ซึ่งสำหรับจิ่วอูแล้ว มันช่างเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจจริงๆ..ในขณะนั้น ได้ยินเพียงเสียงสตรีที่เชิญชวนแขก…สตรีสาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “โอ คุณชายน้อยรูปงามเป็นผู้ใดกัน เหตุใดท่านจึงแต่งตัวเช่นนี้ ออกมาเล่นกับผู้ใหญ่ของท่านหรือเจ้าคะ” จิ่วอูจึงเงยหน้ามองขึ้นไปที่สตรีสาว
จู่ๆ สตรีสาวก็หน้าซีด ใบหน้าแดงก่ำของนางดูตื่นตระหนก และหายใจติดขัดขึ้นมาทันที
“หึ!”
จิ่วอูสะบัดแขนเสื้อก่อนจะเดินหน้าต่อไป และไม่นานก็ไปถึงที่หมาย
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยมีสีหน้าเย็นชาขณะยืนอยู่หน้าสำนักโคมเขียว และไม่ได้คิดจะเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นเขาก็จงใจแผ่พลังลมปราณของเขาออกไป…
จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงผ่านพลังปราณส่งเสียง
“ศิษย์พี่จิ่วอู โปรดสงบใจก่อนเถิด”
ในขณะนั้น จิ่วอูผงะงันไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มเยาะ
ข้าใช้วิธีการซ่อนตัวที่ย่ำแย่เพื่อให้ศิษย์น้องฉีหยวนของเขาค้นพบได้โดยง่าย
หลี่ฉางโซ่วเลียนแบบเสียงอาจารย์ของเขา ในขณะที่ยังคงส่งเสียงไปยังจิ่วอู
“ศิษย์พี่ โปรดเงียบเสียงก่อนเถิด และโปรดแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ไปทางทิศทางตะวันตกเฉียงใต้อย่างระมัดระวัง ซึ่งห่างออกไปจากสำนักโคมเขียวราวเก้าร้อยจั้ง…ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นอายปีศาจที่ไม่ธรรมดาสองสามตัวอยู่ที่นั่น”
และทันทีที่จิ่วอูสำรวจผ่านไปทางนั้น เขาก็เลิกคิ้ว
จากนั้นจิ่วอูก็ก้าวเข้าไปศาลานี้ และโยนสมบัติคุณภาพต่ำชิ้นหนึ่งให้กับมนุษย์สามัญที่นั่น เป็นเหรียญทองคำซึ่งเขาทำตามคำแนะนำที่ ‘ฉีหยวน’ กล่าวและเข้าไปในห้องส่วนตัวหรูหราบนชั้นสอง
ทันทีที่เข้ามา จิ่วอูก็มองสำรวจไปรอบๆ อย่างระมัดระวังรอบคอบทั่วทุกที่ และในที่สุดก็จ้องมองไปที่ ‘ฉีหยวน’ ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วยังคงพูดต่อไปและอ่านกฎหลักสามสิบหกประการของสำนักตู้เซียน
บัดนี้ จิ่วอูระมัดระวังตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาถอนหายใจและเดินเข้ามาพร้อมกับเอามือไพล่หลังของเขาเอาไว้พลางร่ายเวทเซียนเอาไว้ชั้นหนึ่งก่อนจะกล่าวกระซิบออกมา
“ศิษย์น้อง เจ้ามาทำอะไรในที่เช่นนี้
เจ้ามาไกลขนาดนี้ เกรงว่าคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อกำจัดปีศาจโดยเฉพาะหรอกนะ!”
‘ฉีหยวน’ ยิ้มขื่นและกล่าวว่า ” ศิษย์พี่ โปรดให้ข้ารายงานเรื่องนี้กับท่านในภายหลังเถิด ข้าไม่ได้ทำอะไรน่ารังเกียจหรือต่ำช้าเลยจริงๆ แม้ข้าจะค้นพบความผิดปกติที่นี่แล้วก็ตาม”
“ก็ได้ ตามกฎของยอดเขาหยกน้อยของเจ้า เจ้าจงให้สัตย์สาบานก่อน”
จิ่วอูเชิดคางของเขาขึ้น ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วอดจะกระตุกมุมปากของเขาไม่ได้ขณะที่ยกมือขึ้นและให้สัตย์สาบานโดยกล่าวว่าในขณะนี้เขาไม่ได้โป้ปดจิ่วอูจริงๆ
และแน่นอนว่า การสาบานนี้ย่อมอยู่ในนาม ‘ข้า ฉีหยวน’
และแน่นอนว่า ในขณะนั้นท่ามกลางความมืดมิด หลี่ฉางโซ่วแอบซ่อนผลึกบันทึกเหตุการณ์และผงสลายพลังเซียนคุณภาพเยี่ยมระดับสูงสุดเอาไว้…
ก่อนหน้านี้ เขาต้องการจับจุดอ่อนของอาจารย์ลุงจิ่วอู และใช้ผลึกบันทึกเหตุการณ์บันทึกภาพเหตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมบางอย่าง
แต่หลี่ฉางโซ่วบังเอิญพบว่าปีศาจในสำนักโคมเขียวอยู่ไม่ไกล และภายใต้การตรวจสอบอย่างใกล้ชิด หลี่ฉางโซ่วก็พบว่ากลิ่นอายปีศาจนั้นมีบางอย่างผิดปกติ
ภายใต้กลิ่นอายปีศาจนั้น มีบุญอยู่ด้วย
มีกลิ่นอายที่ชัดเจนซ่อนอยู่ในความชั่วร้ายนั้น
ปฏิกิริยาแรกของหลี่ฉางโซ่วคือ เขาคิดว่ามีสมบัติวิญญาณแห่งบุญซ่อนอยู่ในสถานที่นี้
หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ใช้ชื่อของท่านอาจารย์ของเขาโดยตรงเพื่อเชิญจิ่วอูเข้ามาหารือในห้องและคิดจะแอบบอกใบ้บางอย่างให้อาจารย์ลุงจิ่วอูในภายหลัง
ย่อมนับว่าไม่เลวที่เขาและอาจารย์ลุงจิ่วอูจะทำงานเพื่อรับสมบัติร่วมกัน…
เมื่อ’ฉีหยวน’ ให้สัตย์สาบาน ในที่สุดทั้งสองก็นั่งลงที่ริมหน้าต่างและมองไปที่สถานที่ซึ่งมีกลิ่นอายปีศาจด้วยกัน
เป็นเรื่องตลกเล็กน้อยในสำนักโคมเขียวที่มีกลิ่นอายปีศาจเช่นนี้อยู่
ในขณะนี้ มี ‘คนงาน’ ร่างผอมบางสองสามคนผลักชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าธรรมดาออกไปจากสำนักโคมเขียว
และไม่นานหลังจากนั้น ก็มีร่างสง่างามค่อยๆ เดินออกมาด้วยเท้าดอกบัว[1] ของนางช้าๆ จากบริเวณที่เต็มไปด้วยแสงจากโคมไฟสว่างจ้า
สตรีสาวผู้นี้ดูสดใสสง่างาม นางคีบมวนบุหรี่สีเขียวหยกอยู่ในมือในขณะที่มีละอองควันหอมกรุ่นๆ ค่อยๆ พ่นออกมาระหว่างริมฝีปากสีแดงของนาง ใบหน้าของนางค่อนข้างมีเสน่ห์น่าหลงใหล และมีเครื่องหมายรูปผีเสื้อหลากสีอยู่บนขมับด้านซ้ายของนาง
นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและยืนต่อหน้าชายหนุ่มและกล่าวช้าๆ
“คุณชายเซี่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าอะไรที่เศร้าที่สุดสำหรับบุรุษ คุณชายเซี่ย นั่นคือ คนที่มีชีวิตยืนยาวมากแต่ก็ต่ำต้อยมาก เข้ามาในสำนักโคมเขียวก็ไร้เงิน แล้วเหตุใดท่านจึงคิดเสพสตรีโคมเขียวโดยไม่จ่ายเงินเล่า ข้าไม่ได้ทำการกุศลที่นี่นะ”
หลังจากกล่าวจบ สตรีผู้นั้นก็สูดลมหายใจ ก่อนจะสูบบุหรี่และพ่นควันออกมา จากนั้นจึงเหลือบมองคนสองสามคนที่อยู่ด้านข้าง ดูเหมือนว่านางจะมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว และจิ่วอู
แต่นางก็ไม่มีปฏิกิริยาใด และดูเหมือนจะไม่สนใจหลี่ฉางโซ่ว และจิ่วอู
เมื่อนางหันหลังกลับเข้าไปในสำนักโคมเขียว และเหล่าผู้คนกลุ่มเดิมที่ผลักชายผู้นั้นออกมาก็ตามนางเข้าไป
ในขณะนั้น ภายในห้อง หลี่ฉางโซ่วและจิ่วอูต่างก็มองหน้ากันและกัน
หลี่ฉางโซ่วซึ่งแสร้งปลอมเป็นฉีหยวนก็หยิบถ้วยชาตรงหน้าเขาขึ้นมาแล้วจิบเบาๆ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
อาจารย์ลุงจิ่วอูพึมพำกับตัวเองแล้วตอบว่า “สิ่งที่เจ้าพูด…ก็มีเหตุผล”
“อืม?”
“ตกลง?”
“แค่กๆ” เขากระแอมไอแล้วกล่าวว่า “อ่า เช่นนั้น มาคุยเรื่องธุรกิจกันเถิด ศิษย์น้องฉีหยวน เรามาร่วมมือกันกำจัดปีศาจและปกป้องโลกที่สดใสนี้ด้วยกันเถิด จะดีกว่าหรือไม่”
[1] เท้าดอกบัว เป็นประเพณีการรัดเท้าของผู้หญิงจีนโบราณ ซึ่งเท้าดอกบัวหมายถึงลักษณะของเท้าที่ประเสริฐ ด้วยดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของพระโพธิสัตว์กวนอิม จึงเทียบได้กับความประเสริฐ และเชื่อกันว่า สตรีที่มีเท้างามจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีชายร่ำรวยมาสู่ขอไปเป็นภรรยา