ข้า…จะจัดการมันอย่างไรดี
ระหว่างทางไปพบกับอาจารย์จิ่วอู หลี่ฉางโซ่วได้ปล่อยให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์รักษาความเร็วของการใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายของอาจารย์เอาไว้ขณะที่รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขาใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อไปที่นั่นในนามของอาจารย์เพราะต้องการจับ ‘หางจิ้งจอก’ ของอีกฝ่ายซึ่งจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ใช้เพลิงสมาธิแท้ของเขาเผาผลาญ ‘หางจิ้งจอก’ จนเหลือเพียงเศษเล็กน้อยซึ่งเขากระจายมันออกไปเมื่อครู่นี้เอง…
แม้จะยังมีวิญญาณเหลืออยู่บ้างบางส่วนในไข่มุกสะกดวิญญาณ แต่ในไม่ช้ามันก็จะสลายไปจนหมดสิ้น…
หลี่ฉางโซ่ววิเคราะห์และสรุปความเป็นไปได้นี้ว่า สารทั้งสองฉบับนั้น อาจเป็นส่วนหนึ่งของการหลอกลวง ศัตรูเพียงคนเดียวที่อาจารย์ของเขามี ต้องการหลอกลวงอาจารย์ของเขาให้ไปที่นั่นแล้วลอบสังหารเขาอย่างลับๆ
แต่สิ่งที่หลี่ฉางโซ่วไม่คาดคิดก็คือ ศัตรูของอาจารย์ได้แอบว่าจ้างกลุ่มปีศาจเซียนเสิ่นเพื่อทำการสังหารอาจารย์ของเขา
เห็นได้ว่า มีชายสวมหน้ากากซึ่งอยู่ในชุดคลุมเวทปรากฏตัวต่อหน้าเสี้ยววิญญาณที่เหลือของปีศาจตะขาบ…
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องใช้กลลวงอย่างแน่นอน และเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อมูลเพียงเล็กน้อยย่อมไร้ความหมาย
ทว่า ตะขาบตัวนี้ก็ไร้โชคเช่นกัน
มันเดินทางมาที่นี่จากดินแดนเทวะอุดร ที่ห่างไกลหลายพันลี้ไปที่ ‘บ้าน’ ของเผ่าปีศาจที่คุ้นเคยที่นี่ และปีศาจตะขาบก็เลือกเมืองหลินตงแห่งนี้
พวกปีศาจตะขาบคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ง่ายและทำกำไรได้อย่างมั่นคงแน่นอน พวกมันจึงแอบซุ่มซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเป็นเวลานานหลายเดือนและกำลังรอพบเป้าหมายในระหว่างการ ‘นัดพบยามดึกดื่น’ จากนั้นพวกมันก็จะลงมือสังหารเซียนจั๋วจอมยุ่งผู้นี้ให้ตายด้วยขาของพวกมัน…
แต่เขาไม่เคยคิดว่าปีศาจตะขาบตัวนี้จะหายไปนานกว่าหนึ่งเดือนก่อนวันที่ตกลงกันไว้ หลี่ฉางโซ่วจึงเก็บไข่มุกสะกดวิญญาณออกไป ถอนหายใจเบาๆ ในใจ จากนั้นก็ไม่ได้กังวลในเรื่องนี้ให้มากเกินไป
บางที อาจเป็นเพราะนี่คือชะตากรรม
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็จงใจเผยกลิ่นอายของเขา และจิ่วอูก็ตรวจจับฉีหยวนซึ่งรีบไปที่ใต้ดินได้อย่างรวดเร็ว
นักพรตเต๋าร่างเตี้ย กระแอมไอพลางไพล่มือไว้ข้างหลัง ซึ่งบ่งบอกว่า ในเวลานี้ เขายังไม่ได้ลงมือทำอะไรมากเกินไป
บัดนี้ เจ้าของสำนักโคมเขียวสตรีผู้มีท่าทางสง่างามถูกมัดด้วยเชือกเซียนแล้วโยนลงไปอยู่ใต้ต้นไม้ “ศิษย์พี่ ท่านยังไม่ได้สอบถามหรือ”
‘ฉีหยวน’ ค่อยๆ แหวกหญ้าแล้วคลานออกมาในขณะที่จิ่วอูซึ่งขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ พลันส่ายศีรษะ
จิ่วอู “ศิษย์น้อง ข้าเพิ่งคำนวณหยั่งรู้ให้ศิษย์น้องมาสักพักแล้ว แต่วิธีการคำนวณนั้นไม่แม่นยำ เวลานี้ข้ารู้แค่ว่าบุญของปีศาจตนนี้ไม่มีน้อยเลย”
หลี่ฉางโซ่วจงใจถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าคราวนี้จะมีสมบัติล้ำค่าอยู่บ้าง…”
“ศิษย์น้อง อย่าได้คิดเช่นนั้น” จิ่วอูกล่าวจริงจัง “พวกเราทั้งคู่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญมนุษย์ และการปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ย่อมเป็นส่วนหนึ่งในเป็นหน้าที่ของพวกเรานับตั้งแต่ที่เข้ามาฝึกฝนในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน”
จากนั้นเขาจึงกล่าวต่อไปว่า “หากเราปล่อยให้ปีศาจกลุ่มนี้สร้างปัญหาอยู่ในสำนักโคมเขียวนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีมนุษย์มากมายเท่าใดที่ตระกูลของพวกเขาต้องถูกทำลายล้าง และจะมีมนุษย์มากมายเท่าใดที่ถูกปีศาจดูดพลังหยางของพวกเขาออกไปจนทำให้อายุขัยของพวกเขาต้องสั้นลง”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันยิ้มและส่ายศีรษะขณะคิดว่า ท่านลุงมีการตระหนักรู้ที่ดีทีเดียว
“ปีศาจตัวนี้ก็ชั่วร้ายเช่นกัน” จิ่วอูกล่าว “ถึงมันจะมีบุญปกป้องคุ้มครองอยู่ แต่เราก็มิอาจมองข้ามไปได้เช่นกัน เมื่อมันตื่นขึ้น เราจะต้องสอบสวนกันสักหน่อย แล้วค่อยคิดจัดการ…”
ขณะกล่าว จิ่วอูก็ทำท่าทางปาดคอของเขา แล้วฉีหยวนก็ยกนิ้วโป้งให้เขาพลางแย้มยิ้มให้ และกล่าวคำว่า ‘ดี’ ออกมา ซึ่งแท้จริงแล้ว นี่เป็นการแสดงการยืนยันว่า ‘ได้’ และ ‘แน่นอน’ ซึ่งผู้บำเพ็ญอาวุโสส่วนใหญ่มักใช้กัน
ลองนึกภาพถึงเซียนชราผมขาวซึ่งมีใบหน้าดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กมาถึงขณะอยู่บนก้อนเมฆแล้วพูดกับศิษย์ของเขาสองสามคำก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ตกลง!” “ได้!” “แน่นอน!” “ดีแล้ว!” ทำเลย!”
จะดูแปลกเกินไปหรือไม่
หากเซียนชราผู้นั้นเหวี่ยงแส้หางม้าของเขาและกล่าวคำว่า ‘ดี’ อย่างสงบ นั่นย่อมจะทำให้คนอื่นคาดเดาเขาได้ยาก และอุปนิสัยของเขาก็จะยิ่งดูลึกลับมากขึ้นไปอีก
แต่หลี่ฉางโซ่วไม่ชอบกล่าวคำว่า ‘ดี’ เมื่อเขาได้รับผลเต๋าอายุยืน และมีอายุยืนยาว ครั้นเมื่อชราลง เขาก็อาจจะพูดคุยอะไรบางอย่างเช่น ‘มั่นคง’ กับคนอ่อนวัยกว่าเขา
“มั่นคง”
จากนั้นเขาก็จะพูดคุยเรื่องจริงจัง
ในขณะนั้น จิ่วอูและหลี่ฉางโซ่วที่ปลอมตัวเป็นฉีหยวนได้พาเจ้าของสำนักโคมเขียวซึ่งอาจเป็นจิ้งจอกหกหางที่ยังไม่อาจตื่นขึ้นมาเพื่อนำไปซ่อนตัวอยู่ที่ชายทะเลบูรพา
พวกเขายังกังวลว่า จะมีปรมาจารย์ปีศาจจากเผ่าปีศาจมาแก้แค้น ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนที่หลบซ่อนอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่า การสังหารสิ่งมีชีวิตที่มีบุญอยู่ในร่างย่อมก่อให้เกิดกรรมร้ายเสมอ
แต่ปีศาจสาวตนนี้ได้ทำความชั่วร้ายในโลกมนุษย์ ดังนั้น หากพวกเขาไม่สังหารมัน ย่อมจะขัดกับหลักการของสำนักตู้เซียน
ในเวลานั้น จิ่วอูและฉีหยวนก็กำลังหารือกันอยู่เช่นกัน หากไม่อาจทำได้ พวกเขาก็จะนำปีศาจจิ้งจอกสาวตัวนี้กลับไปกักขังที่สำนักตู้เซียน แล้วค่อยกำจัดให้สิ้นซากหลังจากที่พลังบุญของมันหมดลง
แต่ก่อนหน้านั้น พวกเขาต้องสอบสวนเพื่อให้รู้ว่าปีศาจตนนี้ได้ทำความดีอะไรไว้…
ครึ่งเดือนต่อมาหลังจากนั้น…
“ศิษย์พี่จิ่วอู ท่านวางยาสลบมันไปมากเพียงใดกัน”
“ไม่มากนักหรอก ก็แค่ทั้งหมดที่ผู้อาวุโสว่านมอบให้…”
หลี่ฉางโซ่วตะลึงงัน…
โอ…เจ้าของสำนักโคมเขียวนี้เป็นเพียงเซียนเสิ่นระดับกลาง มันย่อมไม่อาจต้านทานฤทธิ์ยาที่รุนแรงเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
เรื่องที่เมืองหลินตงยุติลงโดยได้รับการแก้ไขล่วงหน้า เมื่อหลี่ฉางโซ่วไม่ต้องการรออยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงแอบใช้ ‘ยาแก้พิษ’ บางอย่าง
จากนั้น ในอีกสามวันต่อมา ปีศาจสาวทรงเสน่ห์ก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด
ปีศาจสาวตื่นขึ้นมาในยามพลบค่ำในขณะที่ถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกเซียนที่ชายทะเลของเกาะร้างแห่งหนึ่ง และในขณะนั้น มันก็ไม่อาจใช้พลังปีศาจของมันได้…ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันสัมผัสได้ทันทีว่าปีศาจได้ตื่นขึ้นและอยากเตือนจิ่วอูให้รู้ตัว ทว่าเขาไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้เมื่อใช้ตัวตนของท่านอาจารย์ของเขา
เจ้าของสำนักโคมเขียวนี้ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน หลังจากตื่นขึ้นมา มันก็ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ให้ผิดปกติ และหลับตาลงเพื่อแสร้งทำเป็นหลับขณะแอบใช้พลังสัมผัสเซียนรับรู้เพื่อสังเกตนักพรตเต๋าทั้งสอง
ครึ่งชั่วยามต่อมา รอยประทับผีเสื้อสีรุ้งบนหน้าผากของมันก็ฉายประกายนุ่มนวล และจู่ๆ กลิ่นหอมชั่วร้ายก็แผ่กระจายไปทั่วร่างของมันเงียบๆ แล้วฟุ้งกระจายออกไปทั่ว
ไม่นานหลังจากนั้น มันก็ส่งเสียงออกมาขณะที่กระพือขนตายาวเมื่อลืมตาขึ้นมา…
ทันใดนั้น ทั้งจิ่วอูและฉีหยวนซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ตรงหน้าทะเลพลันลืมตาขึ้นพร้อมๆ กัน
“หึ ในที่สุดก็ตื่นแล้ว!”
จิ่วอูลุกขึ้นกะทันหัน แล้วปัดแขนเสื้อของเขาพร้อมกับถือกระบี่เซียนในขณะที่มันยังคาอยู่ในฝัก และหันกลับมาสอบสวนปีศาจทันที
ทว่า…เมื่อจิ่วอูหันกลับมา เขาก็เห็นแสงสลัวๆ อยู่ใต้ต้นไม้ ขณะนี้ปีศาจที่ถูกมัดอยู่กับเชือกเซียนนั้นดู…อ่อนช้อยงดงาม ร้อนแรง และเปี่ยมเสน่ห์
ใบหน้านั้นดูคล้ายกับศิษย์พี่หญิงสุดที่รักของเขาและร่างนั้นช่างดูมีเสน่ห์ล้นเหลือจริงๆ…
ชั่วพริบตานั้น จิ่วอูก็ลดกระบี่ในมือของเขาลงแล้วหยุดชะงักกลางคันขณะจ้องตรงไปข้างหน้าและเริ่มหายใจเร็วขึ้น
และ ‘ฉีหยวน’ ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็มีปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหายใจถี่ระรัวและแรงยิ่งกว่าจิ่วอูด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว เป็นหลี่ฉางโซ่วที่จงใจทำให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เผยพฤติกรรมเยี่ยงนั้น
ช่างเป็นพลังและทักษะเวทที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้!