ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ปลอมเป็นอาจารย์ของเขาแต่เดิมเป็นเพียงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่มีพลังส่วนหนึ่งของปราณวิญญาณของเขา
เมื่อปีศาจสาวแอบใช้พลังและทักษะเวทของมันอย่างลับๆ ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็สัมผัสได้ว่าสภาพจิตใจของเขาพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน…
ในชั่วพริบตานั้น เขาก็แอบร่ายเวทชำระใจอย่างเงียบๆ และหัวใจของเขาก็รู้สึกว่างเปล่าแจ่มชัดขึ้นมาในทันใด
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฉางโซ่วได้พบกับพลังและทักษะเวทเช่นนี้ เขาจึงใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อสังเกตและพิจารณาอย่างระมัดระวังรอบคอบ
พลังและทักษะเวทเช่นนี้ เรียกว่าเสน่ห์อาคม เมื่อปีศาจโบราณเจริญรุ่งเรือง ปีศาจบางตัวจะฝึกฝนทักษะนี้เป็นพิเศษเพื่อใช้ดักจับเหล่าปรมาจารย์ปีศาจให้ช่วยสนับสนุนตัวพวกมัน
ในขณะนั้น ปีศาจสาวไม่เพียงร่ายเสน่ห์อาคม ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่มันยังเผยให้เห็นถึงเสน่ห์แห่งจริตสตรีทั้งด้วยท่วงท่า สีหน้า สายตาจ้องมอง และแม้แต่ระดับการเผยอและปิดริมฝีปากซึ่งช่วยเสริมเสน่ห์ทั้งหมดอย่างเห็นได้ชัด
และในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็ตระหนักได้ว่า บัดนี้ อาจารย์ลุงจิ่วอูทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว…
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย…
หากอาจารย์ลุงจิ่วอูถูกเสน่ห์อาคมของอีกฝ่ายควบคุม สิ่งต่างๆ ก็จะยุ่งยากมากขึ้นเล็กน้อย
จากนั้น…
ปึ้ง!
จู่ๆ ก็มีม้วนภาพวาดหลุดออกมาจากแขนเสื้อของ ‘ฉีหยวน’ และพุ่งลงกระแทกชายหาด แล้วจากนั้นมันก็เปิดออกเล็กน้อยด้วยตัวของมันเอง
ทันใดนั้น ‘ฉีหยวน’ พลันก้มศีรษะมองลงมา และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสับสน
และเขาก็พึมพำออกมาว่า “นี่ไม่ใช่…ม้วนภาพวาดที่ฉางโซ่วมอบให้ข้า…ศิษย์พี่จิ่วอู?”
“หือ?” ในขณะนั้น ดวงตาของจิ่วอูยังไม่อาจละสายตาหรือหันกลับไปตอบรับได้เขาเอ่ยถามกลับไปอย่างเป็นกันเองว่า “ศิษย์น้อง เกิดอันใดขึ้น”
‘ฉีหยวน’ หยิบม้วนภาพวาดบนพื้นขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ด้านข้างของจิ่วอูแล้วค่อยๆ คลี่เปิดมันออกอย่างช้าๆ
และทันใดนั้น ดูเหมือนว่า ข้อศอกของเขาจะบังเอิญไปกระทบไหล่ของอาจารย์ลุงจิ่วอูด้วย
ในชั่วพริบตานั้น จิ่วอูก็ก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัวและเห็นม้วนภาพวาดที่ถูกคลี่เปิดออกอย่างช้าๆ…
และในขณะนั้น โลกในดวงตาของจิ่วอูก็ล้วนเต็มไปเป็นสีชมพูทั้งหมด
บัดนั้น ม้วนภาพวาดนั้นเปิดออกได้ครึ่งฉื่อ และทำให้จิ่วอูมองเห็นมุมของชุดกระโปรงได้ ฉับพลันนั้น จิ่วอูก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาในใจเล็กน้อยเช่นกัน และขณะที่อยากแหงนมองขึ้นไปที่โฉมงามใต้ต้นไม้นั้น เขาก็ยังปรารถนาจะมองลงไปดูด้วยว่าคนในภาพนั้นเป็นผู้ใดกัน
ทันทีหลังจากนั้น ม้วนภาพวาดก็ถูกเปิดเผยออกมาอีกหนึ่งชุ่น และเผยให้เห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ในภาพนั้น
ใบหน้าของนางในภาพนั้นเต็มไปด้วยริ้วรอย ชุดกระโปรงของนางดูหลวมๆ และนิ้วของนางดูงอเล็กน้อยเหมือนกล้วยไม้ในขณะที่ปลายนิ้วของนางเป็นสีเหลือง…
และในชั่วพริบตา ก็ดูเหมือนว่าจิ่วอูจะได้ยินเสียงเบาๆ ดัง ‘ตึ้ง’ และทันใดนั้น เสียงเบาๆ ใกล้หูของเขาก็หายไปในทันที
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยถอยหลังไปสามก้าวและกลั้นหายใจ แล้วจู่ๆ ดวงตาของเขาพลันกลับมาชัดเจนในทันที ขณะที่เขาเต็มไปด้วยพลังงานและอดจะตัวสั่นสะท้านไม่ได้
ทันใดนั้น ปีศาจสาวใต้ต้นไม้พลันขมวดคิ้วแต่ยังคงแผ่พลังต่อไป
ทว่า…ในขณะนี้ ดูเหมือนว่า พลังและทักษะเวทของมันจะไร้ผลอย่างสิ้นเชิง
ในขณะนั้น แผ่นหลังของจิ่วอูก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นในขณะที่เขากระซิบถามว่า “อันใดกัน…เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
‘ฉีหยวน’ ซึ่งอยู่ด้านข้าง ยังคงเปิดม้วนภาพวาดช้าๆ “พี่ใหญ่ ดูสิ ฝีมือวาดภาพนี้น่าทึ่งทีเดียว”
“ข้า…”
จิ่วอูก้มศีรษะมองลงไปที่ม้วนภาพวาดซึ่งถูกเปิดออกมาแล้วครึ่งหนึ่ง ‘โฉมงาม’ ที่อยู่ในนั้นก็มีท่วงท่าต่างๆ ทุกรูปแบบ และจากนั้นก็ไม่มีร่องรอยระลอกคลื่นใดๆ ในใจของเขาอีกต่อไป
จิ่วอูพลันขมวดคิ้วและกล่าวถามว่า “ศิษย์น้อง นี่มันอันใดกัน”
“อา นี่คือของขวัญจากฉางโซ่ว” ฉีหยวนยิ้มแหยพลางกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใด มันถึงหลุดออกมาในยามนี้…ฉางโซ่วล้อข้าเล่น เขาบอกว่าข้าแก่แล้ว จึงให้ภาพวาดงดงามแปลกๆ นี้แก่ข้า”
“โชคยังดีที่เรามีมัน!”
จิ่วอูหรี่ตามองไปที่ปีศาจใต้ต้นไม้
ทันใดนั้น จิ่วอูก็ชักกระบี่เซียนของเขาออกมาพร้อมด้วยเสียงดังเคร้ง แล้วกัดฟันพลางก่นด่าออกมาว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงใช้เสน่ห์อาคมมาล่อลวงข้า! ช่างสมควรตายนัก!”
ที่ใต้ต้นไม้นั้น เจ้าของสำนักโคมเขียวพลันขมวดคิ้วและเผยรอยยิ้มนุ่มนวลขณะที่แสดงท่าทางน่าสงสารออกมา ดวงตาหงส์ของมันเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ราวกับกล้วยไม้ที่เบ่งบานเพียงลำพังท่ามกลางสายลมโชย…
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าชราที่อยู่ข้างๆ ก็ถือม้วนภาพวาดแล้วโน้มตัวไปหาจิ่วอู
“ศิษย์พี่ ดูคนผู้นี้สิ ฉางโซ่วช่างวาดได้ดีจริงๆ”
จิ่วอูก้มศีรษะลงชำเลืองมอง ราวกับว่าสตรีชราในภาพวาดนั้นมีชีวิตขึ้นมาและกะพริบตาให้เขาอย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้น นักพรตเต๋าร่างเตี้ยพลันตัวสั่นอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็มองไปที่ปีศาจสาวใต้ต้นไม้ เมื่อครู่นี้ เขายังรู้สึกว่าปีศาจสาวดูเหมือนกล้วยไม้ที่เบ่งบานเพียงลำพังในสายลม แต่บัดนี้ เขาพลันรู้สึกได้ทันทีว่า…ไม่มีอะไรเลยนอกจากหญ้าหางหมาที่มีทุกที่ในสายลมเท่านั้น!
ฉับพลันนั้น จิ่วอูก็ยกมือขึ้นและขว้างกระบี่ไปที่เจ้าของสำนักโคมเขียว กระบี่ฉับพลันพุ่งเฉียดหูของมันและแทงทะลุเข้าไปในต้นไม้
คราวนี้ เจ้าของสำนักโคมเขียวพลันตื่นตกใจถึงขีดสุด
เวลานี้ ปีศาจสาวพลันจ้องไปที่ม้วนภาพวาดในมือของนักพรตเต๋าชรา และแน่นอนว่า มันไม่อาจเห็นเนื้อหาในม้วนภาพวาดได้
แต่มันมั่นใจว่า ต้องเป็นภาพวาดนั้นที่ทำให้ทั้งสองคนนี้ หลุดพ้นจากเสน่ห์อาคมที่มันร่ายออกมาอย่างสุดกำลัง!
อาวุธเวทนั้นคืออะไรกัน
ทันใดนั้น จิ่วอูก็ขว้างยันต์เต๋าหลายสิบแผ่นออกไปทันที แล้วระงับพลังปีศาจและวิญญาณปีศาจที่แต่เดิมนั้นถูกจำกัดเอาไว้ด้วยเชือกเซียนอย่างสมบูรณ์
จิ่วอูยังคงมองฉีหยวน แล้วถามว่า “ศิษย์น้องฉีหยวน มันคืออันใดกัน”
“แค่ภาพวาดเท่านั้น” ฉีหยวนตอบแล้วค่อยๆ เก็บภาพวาดนั้นออกไป
ภาพวาด ‘ราชินีไป่เหมย’ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้บำเพ็ญที่ต้องการฝึกฝนเต๋าของพวกเขา ช่วยทำสมาธิ สงบจิตใจ และต่อต้านเสน่ห์อาคม!
จากนั้นจิ่วอูจึงเอ่ยว่า “ขอข้าดูอีกสักหน่อย”
“เอ่อ…แม้มันจะเป็นสมบัติที่ดี แต่ศิษย์พี่อย่ามองมากเกินไป เพราะท่านมีคู่บำเพ็ญเต๋าแล้ว” ฉีหยวนกล่าว
จิ่วอูจึงยิ้มและกล่าวอย่างสงบว่า
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาหรอก”
“ทักษะวาดภาพของศิษย์หลานฉางโซ่วไม่เลวเลยจริงๆ เวลาจะส่งผลต่อความงามทั้งหมด และเมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดก็จะกลายเป็นโครงกระดูกและเถ้าธุลี ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที…
ได้ผลดีเกินไปหรือไม่
ต่อจากนี้ไป ข้าจะให้สุรามังกรพิษแก่อาจารย์ลุงจิ่วอู เพราะหากเขากลายเป็นนักพรตเต๋าผู้ไร้สมรรถภาพทางเพศ ข้าย่อมติดหนี้กรรมกับท่านอาจารย์ป้าจิ่วซืออย่างแน่นอน
…
ครึ่งวันต่อมา จิ่วอูและตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วก็ขับเคลื่อนเมฆไปทางดินแดนเทวะบูรพา
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้สังหารปีศาจสาวทันที พวกเขาได้สอบถามถึงที่มาของปีศาจแล้ว และหลังจากที่เสน่ห์อาคมของมันใช้ไม่ได้ผล มันก็ไม่ได้ต่อต้านมากนักและชี้แจงถึงที่มาของมันให้พวกเขารู้อย่างตรงไปตรงมา
พูดง่ายๆ ก็คือ ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ไร้ความกลัว เพราะมั่นใจว่าทั้งสองคนจะไม่ฆ่ามันด้วยมีบุญคุ้มครองมันอยู่
เปรียบดั่งมนุษย์ที่มีทั้งดีและชั่วฉันใด ปีศาจก็เฉกเช่นกัน
ปีศาจจิ้งจอกหกหางนี้ฝึกฝนมามากกว่าหกพันปีแล้ว มันเป็นเพียงแค่เจ้าของสำนักโคมเขียวที่หาเงินมาบางส่วน และควบคุมเหล่าปีศาจน้อยให้อยู่ภายใต้การควบคุม และไม่เคยดูดซับพลังหยางของมนุษย์โดยตรงเลย
ทว่ามันก็ไม่ได้ทำสิ่งดีๆ เช่นกัน
ความจริงแล้ว บุญนี้มันได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของมันที่ได้แอบช่วยชีวิตมนุษย์จำนวนมากในช่วงสงครามจอมเวท-ปีศาจ และหลังจากที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญก้าวหน้าขึ้น พวกเขาก็ได้มอบบุญเล็กน้อยให้แก่มัน
ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาสองคนจะจัดการกับปีศาจที่มีบุญอยู่ในร่างกายและมีบรรพบุรุษซึ่งมีส่วนร่วมในการทำบุญให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงนำปีศาจสาวกลับไปจัดการลงโทษที่สำนัก
“ศิษย์น้อง” จิ่วอูกล่าว “เจ้าให้ข้ายืมภาพราชินีไป่เหมยของเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าเกรงว่าเหล่าผู้อาวุโสในสำนักจะถูกมันร่ายเสน่ห์อาคมให้หลงใหลมัน แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็สามารถทำให้พวกเขาต้องอับอายและดูไม่ดีได้”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นภาพนั้นให้ เดิมทีนี่เป็นภาพวาดธรรมดา เป็นเพียงแนวคิดที่ฉลาดแยบยลเล็กน้อยซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
และยิ่งไปกว่านั้น เขา…ยังมีสิ่งของอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกมากมายเช่นกัน