จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ลังเลใจใดๆ แล้วเลือก—ทางเลือกที่สาม!
ข้าควรไปและปล่อยให้เขาทำความคุ้นเคยกับข้าโดยไม่เปิดเผยตัวตนของเขาและปล่อยให้เขามีความประทับใจที่ดีต่อสำนักเทพทะเล
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วได้วิเคราะห์สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้หากเขาลงมือสร้างกรรมบางอย่าง
เขาไม่คุ้นเคยกับบุรุษในชุดขาวผู้นี้เลย ไม่รู้จักอุปนิสัยและอารมณ์ของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ฉางโซ่วยังต้องคำนึงถึงด้วยว่าเขามีภูมิหลังเป็นศิษย์จากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอยู่ ซึ่งหากเขาคิดกระทำการใดๆ มากเกินไป เหล่าปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอาจไม่พอใจได้…
ขณะที่ความคิดปรากฏเข้ามาในหัวของเขาอย่างกะทันหัน ทันใดนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ เปลี่ยนร่างกลายเป็นชายชราเคราขาว ผมขาวที่ดูมีท่าทางใจดี
เมื่อถูกส่งไปตรวจสอบที่สำนักเทพทะเล ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้ใช้รูปลักษณ์ของชายชราถือแส้หางม้าและเดินออกมาจากป่า เขาจงใจซ่อนที่อยู่ของเขา แต่เปิดเผยความผันผวนแห่งพลังต้นกำเนิดบรรพกาล
บัดนี้ ครึ่งหนึ่งของกลุ่มคนของอีกฝ่ายก็ค้นพบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วทันที ในขณะที่มันอยู่หน้าวิหารเทพทะเลและกำลังจะเดินเตร่ในเมือง
จากนั้น ชายชราในชุดคลุมสีเทาก็ก้าวออกไปข้างหน้าและกระซิบถ้อยคำสองสามคำขณะที่อยู่ข้างหลังบุรุษหนุ่มในชุดขาว ผู้ซึ่งแย้มยิ้มและนำกลุ่มคนของเขาตรงไปที่เมืองโดยแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นชายชราที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
หลี่ฉางโซ่วเข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้ทันที เขาถือแส้หางม้าแล้วขับเคลื่อนเมฆไปข้างหน้าพลางคิดในใจว่าเขาจะ ‘สร้างสัมพันธ์’ อย่างไรดี
เขาไม่อาจกล่าวได้ว่า “สหายเต๋า โปรดรอก่อน” เขาไม่อาจหยิบก้อนอิฐขึ้นมาได้และกล่าวว่า “สหาย สหายเต๋า ท่านทำอิฐก้อนนี้ตกหรือไม่” หากเป็นเช่นนั้น คาดว่าเขาอาจจะถูกผู้พิทักษ์ทั้งแปดคนฉีกเป็นชิ้นๆ หลี่ฉางโซ่วคิดถึงเรื่องนี้อยู่ในใจไม่หยุดขณะเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กน้อย
ในบรรดาสิบคนเหล่านี้ ผู้พิทักษ์ทั้งแปดและชายชรากำลังใช้พลังเซียนของพวกเขาเพื่อห่อหุ้มรองเท้าของพวกเขาจนดูเหมือนว่า กำลังเดินอยู่ แต่จริงๆ แล้ว พวกเขากำลังลอยอยู่โดยที่เท้าไม่แตะพื้นสกปรกเลย
และมีเพียงบุรุษหนุ่มในชุดขาวคนเดียวเท่านั้นที่รองเท้าสีขาวของเขาเปื้อนโคลน
ขณะนี้การแข่งขันในรอบที่สิบสองของรอบการทดสอบเบื้องต้นยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งหลี่ฉางโซ่วได้ต่อสู้ผ่านการแข่งขันมาแล้ว ด้วยผลงานชนะสิบครั้ง แพ้สองครั้ง ทำให้เขาติดอันดับสามร้อยหกสิบอันดับแรกอย่างแน่นอน…
ในขณะที่หลิงเอ๋อร์คว้าชัยชนะได้แปดครั้งและแพ้สามครั้ง ซึ่งไม่ว่าผลการแข่งขันครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร นางก็ยังสามารถเข้าสู่รอบต่อไปได้อย่างแน่นอน
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วทำงานหลายอย่างพร้อมกัน และแน่นอนว่า เขาย่อมทุ่มเทความสนใจส่วนใหญ่ไปที่ร่างจำแลงนั้น
เรื่องนี้สำคัญต่อเขาอย่างยิ่งยวดจริงๆ
ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วได้วางแผนจะหลีกเลี่ยงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพมาเป็นเวลานานแล้ว แผนการที่น่าเชื่อถือที่สุดของเขาก่อนหน้านั้นคือการจัดเตรียมตัวเอง ท่านอาจารย์และศิษย์น้องหญิงของเขาให้ไปเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ ในศาลสวรรค์
อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว มันก็ยังไม่ปลอดภัยโดยสมบูรณ์
หากเขาไม่อาจได้รับตำแหน่งเทพเจ้าที่แท้จริงก่อนจะเกิดมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ ซึ่งกล่าวตามหลักการแล้ว เขาอาจจะหลีกเลี่ยงมันไม่ได้
จากการสังเกตของหลี่ฉางโซ่วเกี่ยวกับแนวโน้มทั่วไปของสวรรค์ เขาพอคาดเดาได้ว่ามหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพสามารถถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนหลักนั้นจะเกี่ยวข้องกับบรรดาเซียนของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าแน่นอน พวกเขาจะไปที่ดินแดนเทวะทักษิณและใช้ประโยชน์จากสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าอู่หวังโจมตีพระเจ้าโจ้วเพื่อเลือก ‘เทพเจ้าที่ชอบธรรม’ สำหรับศาลสวรรค์
ส่วนที่สองคือการกวาดล้างกลุ่มที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ของสำนักบำเพ็ญเต๋าในดินแดนเทวะมัชฌิมาและก่อให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ในการส่งเหล่าปรมาจารย์ส่วนใหญ่ของสำนักบำเพ็ญเซียนไปยังศาลสวรรค์เพื่อเป็นแม่ทัพสวรรค์
แม้ในตอนนี้ ขอบเขตพลังของหลี่ฉางโซ่วจะไม่สูงเกินไป แต่เขาได้เตรียมแผนการสำหรับเรื่องนี้เอาไว้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นเซียน
เมื่อเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ เหล่าเซียนจินทั้งสิบสองคนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานได้สูญเสียปรมาจารย์ระดับสูงไปสามคนและทำให้เต๋าของพวกเขาอ่อนแอลง และมีคนของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยมากมายต้องบาดเจ็บล้มตายไปเช่นกัน…
เขาต้องใช้ความคิดวางแผนเพื่อหลีกหนีจากการเผชิญกับมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ!
หลี่ฉางโซ่วไม่เคยคิดว่าสำนักเทพทะเลจะนำโอกาสเช่นนี้มาได้ ยิ่งกว่านั้น จากการฟังบทสนทนาระหว่างคนสำคัญทั้งสอง ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะ ‘ตรวจสอบ’ เทพเจ้านอกรีตของสถานที่ต่างๆ และพวกเขายังจะคัดเลือกหนึ่งหรือสองคนเพื่อขยายกองกำลังของพวกเขาเอง
ความคิดเช่นนี้…
มันไม่มีอะไรผิดปกติ และเป็นไปตามเงื่อนไขสถานการณ์ในเวลานี้ของศาลสวรรค์อย่างแท้จริง
แต่เขาต้องพิจารณาทุกด้านให้รอบคอบ นับจากเรื่องสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน สำนักบำเพ็ญเต๋า ศาลสวรรค์ ตลอดไปจนถึงเผ่ามังกร เวลานี้เขาจะพยายามติดต่อกับพวกเขาก่อน ย่อมจะดีที่สุดหากเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาได้ เขาจะไม่วางแผนร้ายต่อต้านพวกเขา
แต่พร้อมกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็แอบตื่นตระหนกในใจ
แม้โอกาสจะดี แต่ก็บังคับมันไม่ได้ ข้าไม่อาจยอมก้มหัวให้ผู้ใดได้และจะเป็นความอัปยศของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
“สหายเต๋า?”
ในขณะนั้น ก็มีชายชราที่ดูใจดีมีเมตตาขับเคลื่อนเมฆลงมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเมือง เขาถือตำราคำสอนของสำนักเทพทะเลเอาไว้ในมือและร้องตะโกนเรียกบุรุษหนุ่มในชุดขาวที่อยู่ข้างหน้าเขา
“เจ้าทำตำราเล่มนี้ตกไว้หรือไม่ สหายเต๋า”
หลังจากคิดดูเรื่องนี้แล้ว หลี่ฉางโซ่วยังคงตัดสินใจใช้วิธีนี้ในการสนทนาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเขา
“ตำรา?”
ทันใดนั้น บุรุษหนุ่มในชุดขาวที่อยู่ข้างหน้า พลันหันกลับมามองหลี่ฉางโซ่ว และหลี่ฉางโซ่วจึงได้ ‘เห็น’ รูปลักษณ์ของเขาด้วยตาตัวเอง
เขาหล่อ…ดูธรรมดาเล็กน้อยและมีกลิ่นอายลมปราณที่ไม่อาจอธิบายได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาทั้งคู่ของเขา ดูราวกับว่าพวกมันได้ผ่านประสบการณ์และความผันผวนของชีวิต และได้รับการขัดเกลาจากโลกมนุษย์จนดูเหมือนว่า เขาจะสามารถมองผ่านและเห็นความสับสนวุ่นวายทั้งหมดในโลกได้
ฉับพลันนั้น เหล่าผู้พิทักษ์เคลื่อนไปข้างหน้าในทันที แต่หลี่ฉางโซ่วได้หยุดนิ่งและอยู่ห่างออกไปสิบจั้งแล้ว จากนั้น เขาก็ถือแส้หางม้าและโค้งคารวะให้
และในอีกด้านหนึ่งนั้น ชายชราในชุดสีเทาก็โค้งคารวะตอบกลับให้แทนบุรุษหนุ่มในชุดขาวผู้นั้น
ในขณะนั้น บุรุษหนุ่มในชุดขาวพลันแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเห็นตำราเล่มนี้มาก่อน แล้วจะทำมันตกลงไปได้อย่างไรกัน”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้? ในชีวิตชาติที่แล้วของเขา เขาได้รับการศึกษาภาคบังคับเก้าปี ส่วนในชีวิตนี้ เขาได้เรียนรู้และอ่านพระสูตรหลายเล่มของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และเขาถูกมองว่าเป็นกึ่งปรมาจารย์ผู้หนึ่ง
จากนั้น ชายชราซึ่งเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ปลอมตัวมาก็เผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้น หากท่านไม่ดูตำราเล่มนี้ แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าทำตกหรือไม่”
ชั่วขณะนั้น บุรุษหนุ่มในชุดขาวจึงยิ้มและมองดูใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง เหล่าถ้อยคำที่ลึกซึ้งและดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับโชคชะตา
“ก็ได้” จากนั้นบุรุษหนุ่มในชุดขาวก็ยื่นมือออกมา
เวลานั้น หลี่ฉางโซ่วก็ใช้พลังเซียนห่อตำราเอาไว้ก่อนจะยื่นไปให้โดยผ่านไปในอากาศ ซึ่งช่วยให้เหล่าผู้พิทักษ์ไม่ต้องก้าวออกไปข้างหน้าอีกด้วย
ในขณะนี้ มีผู้คนสัญจรไปมามากมายอยู่ด้านนอกประตูเมือง ซึ่งพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดา
และดูเหมือนว่า บุรุษหนุ่มในชุดขาวและผู้ติดตามของเขาจะใช้พลังและทักษะเวทบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนจะทำให้มนุษย์ที่อยู่รอบๆ ไม่สังเกตเห็นพวกเขา ในขณะที่ บางครั้งก็มีบางคนมองมาทางพวกเขา แต่ก็คิดว่าสถานที่นั้นปกติและไม่นานก็มองไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
ว่ากันตามจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็อยากมีพลังและทักษะเวทเช่นนี้เหมือนกัน…
บุรุษหนุ่มในชุดขาวหยิบตำราชื่อ ‘หลักคำสอนของสำนักเทพทะเล ฉบับปกแข็ง’ แล้วอ่านอย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ และแย้มยิ้มออกมา
จากนั้น เขาก็กล่าวว่า “ตำราเล่มนี้มีชะตาเกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ สหายเต๋า ท่านจดจำข้าได้หรือ จึงมาส่งตำราเล่มนี้”
หลี่ฉางโซ่วคิดในใจว่า เขาไม่คิดว่าอีกฝ่าย…จะเอ่ยวาจาอ้อมค้อมและแสร้งทำเป็นไม่รู้เช่นนี้
แต่หลี่ฉางโซ่วก็ตัดสินใจเล่นตามน้ำไปแล้วทำในสิ่งที่อีกฝ่ายชอบ ดังนั้น จึงกล่าวต่อว่า “จิตรู้ หาใช่ดวงตาไม่ สหายเต๋า ท่านน่าจะอยู่ในวังสวรรค์เก้าชั้น แต่ท่านก็มาปรากฏตัวที่นี่ ข้าจึงคิดว่า ท่านคงมาเพื่อสำนักของข้า”