ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์กังวลมากจนแทบจะร้องไห้ ไฉนเรื่องโชคร้ายเช่นนี้ถึงเกิดขึ้นกับข้า!! “ศิษย์น้องหญิง! เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงได้ทะลวงผ่านขอบเขตพลังขึ้นไปในคราวเดียวได้มากมายถึงเพียงนี้!!”
หลี่ฉางโซ่วร้องอุทานด้วยความตกใจ แล้วบรรดาศิษย์พี่ทั้งชายและหญิงที่อยู่รายรอบต่างก็พากันตะลึงงัน ปากอ้าตาค้าง
“เจ้าทะลวงขอบเขตพลังขึ้นไปถึงหกขั้นพร้อมกันในคราวเดียว?”
“นี่เป็นพรสวรรค์อมตะเยี่ยงใดกัน เรามีอัจฉริยะฝึกฝนเต๋าอีกคนแล้วใช่หรือไม่”
“สมควรตายนัก มันน่าเลิกฝึกเต๋าจริงๆ”
ชั่วขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็อดจะเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้ขณะที่ผู้บริหารสองคนที่ด้านล่างไม่ได้เร่งนางอีกต่อไป ในขณะนี้ พวกเขามองดูนางด้วยความชื่นชมเช่นกัน
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันกล่าวกับนางผ่านพลังปราณส่งเสียงของเขาว่า “ห้ามร้องไห้ให้ขายหน้าเด็ดขาด ตอนนี้เจ้าควรทำสีหน้าท่าทางให้ดูสงบนิ่งและปลื้มปริ่มอิ่มเอมใจอยู่ภายใน แต่ไม่ประสงค์จะให้ผู้ใดได้เห็นว่าเจ้ามีความสุข ไม่ต้องห่วง ศิษย์พี่ของเจ้าใจกว้างมากนัก หลังจากกลับไป เจ้าแค่คัดลอกพระสูตรมั่นคงสามพันหกร้อยจบเท่านั้น”
หลิงเอ๋อร์พลันมุมปากกระตุกสองสามครั้ง แต่ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นในทันใดเมื่อก้อนหินหนักหน่วงได้ถูกยกออกไปจากอกของนางแล้ว
โชคดีแล้วที่ศิษย์พี่ไม่เฉยเมยกับข้า…และทันใดนั้น นางก็ปรับสีหน้าท่าทางของนางทันทีพร้อมกับถือแผ่นหยกเอาไว้ในมือ จากนั้น ภายใต้การสายตาจ้องมองของผู้คนโดยรอบ นางก็ขับเคลื่อนเมฆออกไปข้างหน้าในขณะที่ลมปราณของนางยังไม่เสถียรเล็กน้อย
นี่ไม่ใช่การหลอกลวงนะ ลมปราณของนางยังไม่เสถียรจริงๆ
หากจะกล่าวถึงเรื่องนี้ ผู้ที่โชคร้ายที่สุดก็น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงเอ๋อร์ในศึกครั้งนี้ ซึ่งเป็นศิษย์ชายที่ครองขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสาม…
นั่นเป็นเพราะหลิงเอ๋อร์เป็นกังวลที่อยากจะรีบกลับไปอธิบายให้ศิษย์พี่ของนางฟังว่านางไม่ได้ตั้งใจ จึงปลดปล่อยพลังทั้งหมดในสมบัติอมตะของนางออกมา และส่งศิษย์ชายปลิวกระเด็นออกไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
แล้วในชั่วพริบตานั้น นางก็รีบโค้งคำนับและจากไปอย่างสง่างาม
บัดนั้น สายตาของผู้คนในที่นั้นล้วนเต็มไปด้วยความตกใจและความชื่นชมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่หลิงเอ๋อร์หันหลังกลับ นางก็ตระหนักว่า บัดนี้เบาะนั่งสมาธิของนาง…อยู่ห่างออกไปจากศิษย์พี่ของนางมากกว่าสิบจั้งแล้ว
แล้วหลี่ฉางโซ่วก็ส่งข้อความเสียงเข้าไปในหูของนางในทันใด
“จงจำสามกฎสาบานเอาไว้ และทำตัวดีๆ ไม่เช่นนั้น อีกไม่นาน บนยอดเขาจะแทบไม่มีแผ่นหินเพียงพอให้เจ้าขูดขีดคัดลอกพระสูตรต่อไปได้อีก”
“ตกลง” หลิงเอ๋อร์มองไปที่หลี่ฉางโซ่วด้วยท่าทีสำนึกเสียใจ แล้วนั่งลงบนเบาะนั่งสมาธิพร้อมด้วยความรู้สึกว้าวุ่นกังวลใจ
แผนการปีนขึ้นเตียงศิษย์พี่ที่อุตส่าห์ฟูมฟักมานานนับร้อยปีของนาง บัดนี้ถูกการทะลวงขอบเขตของนางทำลายลงจนหมดสิ้นแล้ว!
แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงได้บรรลุเฉิงเต๋า
หลังจากเหตุการณ์ของ ‘ศิษย์พี่เยี่ยนเอ๋อร์และศิษย์น้องฉีฉีของนาง’ ครั้นแล้ว ในที่สุด นางก็ได้เข้าใกล้ศิษย์พี่ของนางมากขึ้นด้วยความยากเข็ญยิ่งยวด ทว่าทุกอย่างกลับถูกทำลายลงในการแข่งขันครั้งนี้!
ความยุติธรรมของสวรรค์ไปอยู่ที่ใดกัน!
ไฉนจึงอยุติธรรมเยี่ยงนี้!
ในขณะนั้น จิ่วจิ่วก็รีบพุ่งไปหานางพร้อมกับคทาหนามที่มีเลือดกำลังไหลหยดลงมา
นางร้องอุทานว่า “หลิงเอ๋อร์น้อย! เหตุใดเจ้าถึงทะลวงด่านไปได้พร้อมกันมากมายขนาดนี้!”
และหลี่ฉางโซ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างก็แอบประหลาดใจเช่นกัน…
ท่านอาจารย์อาน้อยผู้นี้ใช้เวลาอยู่กับหลิงเอ๋อร์ทั้งวัน แต่นางกลับไม่ได้ตรวจสอบดูเลยจริงๆ ว่า หลิงเอ๋อร์ซ่อนฐานพลังการฝึกฝนของนางเอาไว้หรือไม่…
“ท่านอาจารย์อา อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ข้า…ยามนี้ ข้ารู้สึกถูกกดดันมาก”
“เจ้าก้าวหน้าขึ้นเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี”
“ข-ข้า…”
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกเศร้าใจ และพบว่ายากจะพูดออกไปได้ จากนั้นจึงหันกลับมาแล้วนอนในอ้อมแขนของอาจารย์อาของนาง และแล้วความอัดอั้นตันใจทั้งหมดของนางก็กลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญหวนไห้ในทันที
“ข้าเกรงว่า…ข้าอาจจะมีจิตมารพัฒนาขึ้นมา…”
“ทำใจดีๆ อย่ากลัวไปเลย อย่ากลัวนะ ยิ่งเจ้ากลัวมากเท่าใด จิตมารในตัวเจ้าก็จะยิ่งมีโอกาสปรากฏออกมามากขึ้นเท่านั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องดีที่เจ้าทะลวงด่านไปได้รวดเร็วเกินไป แต่ก็ถือได้ว่านี่เป็นพรจากสวรรค์ ไม่เป็นไรนะ”
จู่ๆ จิ่วจิ่วก็หันศีรษะไปมองหาครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็พบหลี่ฉางโซ่วซึ่ง ‘อยู่ไกล’ ออกไปและจ้องมองไปที่หลี่ฉางโซ่วทันที
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วหลับตาและจดจ่อสมาธิอยู่จึงไม่ได้สังเกตอะไรและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
เวลาเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้ยินข่าวบางอย่างที่ไม่ดีต่อยอดเขาหยกน้อย ผ่านเวทวายุวัจน์
ผู้อาวุโสใหญ่ผู้หนึ่งคิดที่จะรับศิษย์ และประสงค์จะรับหลิงเอ๋อร์ไปเป็นศิษย์ของเขา
เมื่อมองไปที่หลิงเอ๋อร์แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รู้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่จะให้นางติดตามผู้อาวุโสใหญ่ไปฝึกฝนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขา ทว่าเขาเป็นคนที่เลี้ยงดูหลิงเอ๋อร์ด้วยตัวเอง และไม่อาจทนพรากจากนางไปได้ จึงรู้สึกไม่พอใจ
นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่สามารถสั่งสอนนางได้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาทำได้เช่นกัน
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์และบรรลุเซียน หลี่ฉางโซ่วย่อมจะพิจารณาชั่งน้ำหนักตัวเลือกของเขาอย่างแน่นอนและจะไม่คัดค้านให้เป็นเช่นนั้น
ทว่าบัดนี้…
ศิษย์น้องหญิงน้อยรู้เรื่องของข้ามากเกินไป จึงปลอดภัยกว่าที่จะให้นางอยู่เคียงข้างข้าเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วจึงรีบตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เว้นแต่ว่าเป็นหลิงเอ๋อร์เองที่เต็มใจจะไป ไม่เช่นนั้น ต่อให้เป็นท่านเจ้าสำนักไปหาพวกเขา ก็ยังไร้ประโยชน์ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป
ครั้นแล้ว ในวันที่สิบสี่ของการแข่งขันภายในสำนักครั้งใหญ่ บัดนี้ ก็สิ้นสุดการแข่งขันรอบที่สี่แล้ว ในเวลานั้น เซียนเสิ่นสตรีสองนางก็มาพร้อมกับสตรีชราผู้หนึ่ง แล้วสร้างม่านพลังกั้นขึ้นข้างๆ หลิงเอ๋อร์ จากนั้นพวกนางก็กล่าวบางอย่างออกมาอย่างอบอุ่น ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบเบาะนั่งสมาธิแล้วเดินกลับมาจากที่ไกลๆ และมานั่งลงตรงที่เดิมซึ่งห่างจากศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาไปครึ่งจั้ง
หือ…
หลิงเอ๋อร์หันไปมองศิษย์พี่ของนางพลางกะพริบตาก่อนจะเม้มปากแล้วเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ไม่นานหลังจากนั้น สตรีชราเซียนเทียนก็มอบสมบัติอมตะให้กับหลิงเอ๋อร์ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของผ้าเช็ดหน้า
อย่างไรก็ตาม ทว่าหลิงเอ๋อร์ส่ายศีรษะปฏิเสธ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้สตรีชราผู้นั้น
ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วได้ยินสิ่งที่พวกนางพูดคุยกันจริงๆ แต่เขาไม่ได้ฟังมากนัก ในเวลานี้ เขาทำเพียงแค่หลับตาและทำจิตใจให้สงบเท่านั้น
จากนั้นก็บังเอิญถึงคราวที่เขาต้องเข้าสู่สังเวียนศึกสู้แล้ว หลี่ฉางโซ่วพลันปรากฏกายขึ้นบนลานประลองด้วยสีหน้าท่าทางคงเดิม เขาเข้าทำการต่อสู้และคว้าชัยมาได้อย่างง่ายดาย
ครั้นเมื่อกลับมา เขาก็ไม่เห็นสตรีชราเซียนเทียนและอีกสองสตรีเซียนเสิ่นแล้ว มีเพียงแต่หลิงเอ๋อร์ซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่นและมองเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
“ศิษย์พี่…”
หลี่ฉางโซ่วไม่ได้เอ่ยวาจาใดและนั่งลงบนเบาะนั่งสมาธิของเขา
หลิงเอ๋อร์จึงทำตาม แต่ยังคงอึกอักและค่อยๆ ขยับไปอย่างช้าๆ…
นางมองไปข้างหน้าและกล่าวเสียงเบาราวเสียงยุงบินว่า “ศิษย์พี่ เมื่อครู่นี้ ท่านกังวลใจหรือไม่เจ้าคะ”
ทว่าหลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงออกมาว่า “จงจำกฎสามข้อเอาไว้”
“ข้าจะเพิ่มให้ตัวเองสี่ร้อยจบ จะได้ปัดเศษขึ้นเป็นสี่พันจบเจ้าค่ะ…ศิษย์พี่ โปรดตอบคำถามของข้าก่อนสิเมื่อครู่นี้ ท่านกังวลใจหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วพลันสะบัดแขนเสื้อก่อนจะประกบมือพลางทำสมาธิแล้วตอบกลับว่า “สี่พันห้าสิบจบ เจ้ายังเป็นหนี้อยู่ห้าสิบจบจากครั้งก่อนด้วย”
หลิงเอ๋อร์อดจะกลอกตาไม่ได้ แต่นางก็เม้มปากและยิ้มแย้มออกมาอย่างเบิกบานใจในขณะที่ร้องเพลงเบาๆ อย่างร่าเริงอยู่ข้างๆ
ไม่นานหลังจากนั้น จิ่วจิ่วก็พุ่งปรี่เข้าไปถามหลิงเอ๋อร์ว่า นางปฏิเสธท่านผู้อาวุโสสูงสุดได้อย่างไร
“ฮิฮิ ข้าหลอกพวกเขาเจ้าค่ะ…”
ครั้นแล้วนางก็กระซิบบอกดังนั้นและดังนี้ไปเรื่อยๆ
“แค่กๆ!” หลี่ฉางโซ่วที่อยู่ข้างๆ พลันรู้สึกหายใจติดขัดอย่างกะทันหันและเกือบจะยกมือขึ้นเพื่อกำจัดอาจารย์อาน้อยของเขาเสียเลย
ในขณะนั้น จิ่วจิ่วพลันถามด้วยความตื่นตกใจ “จริงหรือ”
“ข้าบอกไปแล้วว่ามันเป็นเรื่องลวงเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์จับมือจิ่วจิ่ว และหัวเราะเบาๆ
หลิงเอ๋อร์แย้มยิ้มและกล่าวว่า “บนยอดเขาหยกน้อย มีคนน้อยยิ่งนัก และที่นั่นก็สบายกว่ามาก แล้วยังมีที่ให้ข้าได้เล่นกับท่านอาจารย์อาทุกวัน ข้าจึงไม่อยากไปยอดเขาอื่นเจ้าค่ะ”
จิ่วจิ่วพลันยิ้มแล้วหรี่ตาขณะนั่งลงระหว่างหลิงเอ๋อร์และหลี่ฉางโซ่วพลางจับมือของหลิงเอ๋อร์เอาไว้
และสถานการณ์จริงๆ ก็คือ…
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมานี้ ในม่านพลังกั้นนั้น หลานหลิงเอ๋อร์ได้โค้งคำนับและกล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์ไม่ประสงค์จะคงชีพยืนยาว ข้าหาได้หลงในความหยิ่งทะนงที่ผิวเผิน ข้าเพียงปรารถนาจะอยู่เคียงข้างกับเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ หากสำนักไม่อาจยอมรับ ข้าย่อมได้แต่ยอมลดระดับลงสู่โลกมนุษย์ แต่ข้าจะไม่เสียใจเจ้าค่ะ”
นอกจากนี้ยังต้องขอบคุณกับความจริงที่ว่า สำนักตู้เซียน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เหล่าผู้อาวุโสใหญ่เซียนเทียนและเซียนเสิ่นทั้งสองล้วนรู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขาเข้าใจสภาพของนางได้ดียิ่ง จึงไม่ทำให้นางลำบากใจอีก