ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ผู้บำเพ็ญสตรีสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขา…
ดวงตาปรือที่ง่วงงุนของจิ่วจิ่วหรี่ลง นางยังคงบิดขี้เกียจเหยียดยืดกายและหาวหวอดๆ ขณะที่อยู่ในเสื้อผ้าที่ดูยับย่นเล็กน้อยของนาง
ที่ด้านข้างของนาง โหย่วฉินเสวียนหย่า กำลังมองตรงไปที่หลี่ฉางโซ่ว ดวงตาของนางแจ่มกระจ่างสดใส ในขณะที่ยังคงพร้อมด้วยทัศนคติที่ถูกต้องของนางนั่นคือ ยินดียอมรับการลงโทษทั้งหมด
ในเวลาเดียวกันนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ก้มศีรษะลงขณะยืนข้างเตียง ในขณะนี้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง…
แน่นอนว่า หลิงเอ๋อร์เสียใจอย่างสุดซึ้ง นางรู้สึกว่าในตอนนั้น นางไม่ควรอวดฝีมือการย่างเนื้อ และพลอยพาดพิงไปถึงท่านอาจารย์อาน้อยและศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินอีกด้วย
นางรู้แน่ชัดว่า จะต้องถูกศิษย์พี่ของนางดุด่านางอย่างแน่นอน หลังจากที่เขาออกมาจากการปิดด่านแล้ว แต่ไม่คิดว่าเขาจะตำหนิพวกนางทั้งหมด…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วหลับตาและสูดลมหายใจเข้าลึก
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว!”
โหย่วฉินเสวียนหย่าประสานมือคารวะพลางก้มศีรษะยอมรับความผิดของนาง เส้นผมยาวของนางถูกมัดเป็นหางม้าที่พลิ้วไหวเบาๆ จากนั้นนางจึงชี้แจงว่า “เสวียนหย่าชอบสัตว์วิญญาณทั้งหมด ดังนั้นจึงจงใจสนับสนุนให้ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์คิดหาข้อแก้ตัวทุกอย่างเพื่อนำสัตว์วิญญาณไปทำอาหาร ข้ายินดีจะรับการลงโทษทั้งหมดของศิษย์พี่เจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวถามอย่างอบอุ่นว่า “รสชาติดีหรือไม่”
“ก็ดี…ดีเจ้าค่ะ” ใบหน้าของโหย่วฉินเสวียนหย่า ซึ่งควรจะฉายความงามที่เยือกเย็น จู่ๆ ก็พลันแดงปลั่งขึ้นมาทันที ในขณะที่จิ่วจิ่วหาวหวอดแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวฉางโซ่ว ข้าเพิ่งกินสัตว์วิญญาณของเจ้า ข้าจะให้ของล้ำค่าและศิลาวิญญาณเป็นการตอบแทนแล้วกัน”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบว่า “ท่านอาจารย์อา ของล้ำค่าและศิลาวิญญาณของท่านล้วนติดตามท่านในรูปแบบอื่นหมดแล้วขอรับ”
“โอ ไม่นะ! ข้าเกือบลืมไปเลยว่าใช้ของสะสมของข้าไปจนหมดแล้ว!” ทันใดนั้นจิ่วจิ่วก็ตัวสั่นและมีสติขึ้นมากะทันหัน บัดนั้นนางก็ยืนเท้าเปล่าบนพื้นแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แม้นางจะ ‘เถื่อน’ บ้างในบางครั้ง แต่ในฐานะอาจารย์อา นางย่อมไม่รังแกศิษย์หลานของนางเอง
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์พลันถอนหายใจและกัดริมฝีปากของนางเบาๆ นางรู้ว่า ยามนี้นางจะต้องรวมตัวกันเพื่อสร้างแนวร่วมกับอาจารย์อาน้อยและศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินของนาง
ดังนั้นหลิงเอ๋อร์จึงกระซิบว่า “ศิษย์พี่ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะข้าเอง…”
“ศิษย์น้องหญิงน้อยอย่ากังวลไปเลย” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าอย่างไร ศิษย์พี่ผู้นี้ก็หาใช่ปีศาจไม่ เหตุใดเจ้าต้องกลัวเช่นนี้”
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์พลันกระตุกมุมปากขึ้นทันทีในขณะที่ถอยหลังออกไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว “ปล่อยหลิงเอ๋อร์น้อยไปนะ! หากมีอันใดก็มาลงที่ข้าสิ!”
จิ่วจิ่วปกป้องหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังของนางอย่างเฉียบขาด นางเบ่งหน้าอกของนางให้ผึ่งผายและเชิดหน้าขึ้น “อย่างมากที่สุด ข้าจะจ่ายหนี้ให้ด้วยร่างกายของข้า! ข้าจะยืนหยัดต่อสู้กับเจ้าจนถึงที่สุด!”
“ท่านอาจารย์อา โปรดอย่าพูดเช่นนั้นเลยขอรับ” หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวต่อว่า “ศิษย์ยังเคารพท่านเสมอ ข้าไม่อาจมีความคิดไม่เหมาะสมกับท่านขอรับ”
“เพ้ย! ข้าหมายถึงจะช่วยเจ้าในการเล่นแร่แปรธาตุและปรับแต่งรากฐานค่ายกลนะ!”
ทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็สูดลมหายใจเบาๆ ขณะที่ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงก่ำอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในตอนนี้นางมิอาจละวาง ‘ความเย่อหยิ่งและศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่’ ของนางในฐานะอาจารย์อาได้ จากนั้นนางก็กล่าวเสริมอย่างดื้อรั้นว่า “เจ้ายังมีความคิดไม่เหมาะสมอีกหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่มีความคิดที่เหมาะสมกับหลิงเอ๋อร์และให้ข้าได้เปิดหูเปิดตากว้างไกลขึ้น!!”
จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็กระตุกมุมปากของเขาขึ้นเล็กน้อย แล้วหลีกเลี่ยงจากหัวข้อนี้ออกไปอย่างสบายๆ
พวกนางยังบอกด้วยว่า สำนักตู้เซียนก็มีสัตว์วิญญาณเช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วไพล่มือไปไว้ทางด้านหลังแล้วถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกท่านกินเข้าไปหมดแล้ว แล้วข้าจะทำให้คายออกมาได้หรือ แต่ยอดเขาหยกน้อยไม่อาจประสบกับความสูญเสียเช่นนี้โดยไร้เหตุผลได้ ข้าได้คำนวณมูลค่าของสัตว์วิญญาณเหล่านั้นอย่างละเอียดแล้ว ตอนนี้ ข้าจะให้พวกท่านทั้งสามคนชดใช้มาในอีกรูปแบบหนึ่ง โปรดมองดู”
ขณะกล่าว เขาก็หยิบม้วนหนังแกะสองม้วนออกมาจากแขนเสื้อแล้วค่อยๆ คลี่ออกช้าๆ ความจริงแล้ว มันมีภาพร่างการออกแบบที่ซับซ้อนอยู่
“หากคิดว่าไม่มีปัญหาใด เช่นนั้นก็ประทับตราด้วยฝ่ามือแต่ละข้างของพวกท่านและให้สัตย์สาบาน จากนั้นก็เลือกวันและเริ่มทำงาน”
“นี่มันอันใดกัน”
ชั่วเวลานั้น จิ่วจิ่วเป็นคนแรกที่เข้ามาก่อนในขณะที่พวกนางทั้งสามคนยังงุนงงเล็กน้อย…
ดังนั้น ในอีกครึ่งวันต่อมาที่บริเวณรอบนอกของกรงสัตว์วิญญาณ สตรีโฉมงามทั้งสามคนที่พับแขนเสื้อและพับกระโปรงต่างก็ค่อยๆ บินข้ามไป แล้วใช้พลังเซียนและพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกนางลากกองไม้แล้วทำการแปรรูป…
และไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงอันไพเราะดังก้องขึ้นบนยอดเขาหยกน้อย
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งอยู่ในหอโอสถได้ขยับนิ้วของเขาเล็กน้อยเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลแยกตัวรอบๆ ยอดเขาหยกน้อย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำผิด แต่หากศิษย์คนอื่นบังเอิญได้มาเห็นหัวหน้าศิษย์ที่สูงส่งเย็นชาปานภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งในเวลานี้เป็นที่ยกย่องชื่นชมในสำนักอย่างยิ่ง ขณะนี้กำลังทำงานเป็นช่างไม้อยู่บนยอดเขาหยกน้อยของเขาแล้ว…บรรดาสหายศิษย์ร่วมสำนักที่มีจินตนาการภาพอันงดงามเกี่ยวกับหัวหน้าศิษย์ก็อาจบังเกิดจิตมารบางอย่างขึ้นภายในได้
หลี่ฉางโซ่วพลันแอบส่ายศีรษะอย่างลับๆ ในขณะที่เปิดเตาหลอมเพื่อหลอมโอสถต่อไป
ในขณะนี้ มีปริมาณโอสถปรารถนาสำรองเอาไว้ในคลังเพียงพอที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดี ดังนั้นจึงควรผลิตและขายโอสถวิญญาณระดับต่ำเพิ่มอีกสองสามอย่างเพื่อซื้อตัวอ่อนสัตว์วิญญาณกลับมา
หาไม่แล้ว เขาจะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหายไปในกรงสัตว์วิญญาณที่ว่างเปล่า และทำให้ยอดเขาหยกน้อยดูไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน คราวนี้ข้าจะซื้อของถูกและของดีสักหน่อย ทุกวันนี้ เลือดสัตว์วิญญาณที่จำเป็นใช้สำหรับการหลอมโอสถจะต้องมีอายุอย่างน้อยสองสามพันปีขึ้นไป แต่ในขณะนี้ ยอดเขาหยกน้อย ไม่มีสิ่งเหล่านั้น และบางครั้งเขาก็ต้องไปขอความช่วยเหลือที่ยอดเขาตันติ่ง
เขาใช้เวลาครึ่งเดือนในการหลอมโอสถและด้วยเหตุนี้ บริเวณใกล้เคียงกับกรงสัตว์วิญญาณก็พลุกพล่านไปทั่วอยู่เป็นเวลาครึ่งเดือน
หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ทำให้พวกนางทั้งสามคนอับอายมากนัก เพราะในท้ายที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือศิษย์น้องหญิงของเขา ในขณะที่อีกคนคืออาจารย์อาน้อยที่ใกล้ชิดกับเขา และอีกคนก็คือเป็นศิษย์น้องหญิงพิษซึ่งจริงจังกับทุกสิ่งมากเกินไป
หลี่ฉางโซ่วเพียงต้องการให้พวกนางสร้างศาลาใกล้กับกรงสัตว์วิญญาณ ซึ่งมีทิวทัศน์ท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำงดงาม เขาต้องการให้ศาลานั้นเป็นที่สำหรับพวกนางไปเล่นสนุกสนานกันในอนาคต
มันไม่เหมาะสมที่พวกนางจะไปพักผ่อนที่บริเวณริมทะเลสาบ ซึ่งเป็นที่พักผ่อนสำหรับเขาและท่านอาจารย์
นอกเหนือจากศาลาแล้ว ภายในโครงการโดยรวมนี้ ยังมีแผนการเล็กๆ ในการปรับเปลี่ยนกรงสัตว์วิญญาณอีกด้วย
ตามประสิทธิภาพการทำงานในเวลานี้ของพวกนาง คาดว่ามันน่าจะแล้วเสร็จภายในสามสิบปีอย่างแน่นอน ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเข้าร่วมการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าของโหย่วฉินเสวียนหย่า
ทว่าพวกนางยังเล่นกันระหว่างทำงาน ทำให้การก่อสร้างศาลาที่ควรจะสร้างได้ภายในครึ่งวันต้องล่าช้า และลากเวลาต่อไปอีกครึ่งเดือน…
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหมดหนทาง เขาไม่มีอำนาจควบคุมอะไรในเรื่องนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะรักษาระยะห่างจากพวกนางทั้งสามคนในอนาคตเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับผลกระทบจากพวกนาง
และในอีกไม่กี่เดือนต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็ไปเยี่ยมผู้อาวุโสว่านหลินหยุนที่ยอดเขาตันติ่งเป็นครั้งคราวตามกิจวัตรปกติ