ปฏิกิริยาของประมุขชิงกับประมุขพุทธะดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนหน้านี้ได้ฟังเทียนเจี้ยน พระปีศาจเพิ่งกลายเป็นหินอีกครั้งเมื่อวานนี้ ตามหลักแล้ว ทุกครั้งที่พระปีศาจกลายเป็นหิน ถ้าจะกระเทาะเปลือกออกมาอีกครั้งก็ต้องรอสามวัน ไม่ว่าจะเป็นเทียนเจี้ยนที่พิสูจน์ด้วยตัวเองในช่วงเวลานี้ หรือจะเป็นข้อมูลจากปากปีศาจจิ้งจอกสามหาง ก็ล้วนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ต่างก็บอกว่าต้องรอสามวันถึงจะกระเทาะเปลือกกลับสภาพเดินอีกครั้ง
ทำไมครั้งนี้ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันก็กระเทาะเปลือกแล้ว? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาแบบนี้
อีกทั้งก้อนหินที่ตกลงมาไม่หยุดก็กระแทกจนเกิดเสียงระฆังดังภายในวัด แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้รอยแยกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กลายเป็นหินได้
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะคิดมาก อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะค่ายกลถูกทำลายแล้ว? แต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจก็ไม่ได้มีพลังอิทธิฤทธิ์ อย่าบอกนะว่าพระปีศาจเล่นละครมาตลอด? ถ้ากำลังเล่นละครจริงๆ แล้วจะไมต้องเล่นละครด้วยล่ะ? อย่าบอกนะว่าเล่นละครตบตาสำรองแผนการไว้มาตลอดหลายปี? หรือว่าพระปีศาจมีจุดประสงค์อะไร?
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องข้างในโดยไม่ละสายตา อยากจะพุ่งเข้าไปลงมือเสียตรงนี้เลย แต่พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวทั้งสองถูกควบคุมไว้ ยังคงคลายออกอย่างช้าๆ ยังไม่ได้คลายออกเต็มที่
ประมุขชิงเตะหินก้อนหนึ่งที่กลิ้งมาตรงเท้า เตะปลิวไปกระแทกสุญญากาศตรงประตู คลื่นแสงสายหนึ่งสะท้อนกลับ หินที่กระแทกโดนสะเทือนแตกกลายเป็นผุยผง แต่อานุภาพไม่ได้รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้
แบบนี้หมายความว่าอานุภาพของผนึกกำลังลดลงมากเช่นกัน แต่ผนึกยังคงอยู่ พลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองยังไม่ฟื้นฟูกลับมา ยังไม่สามารถพุ่งเข้าไปได้
ทั้งสองจ้องข้างในโดยไม่ละสายตา เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปได้ทุกเมื่อ
หินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังแตกระแหงอยู่ภายในวัด จู่ๆ ก็มีสองขาโผล่นอนอยู่บนพื้น ขาที่มีแสงทองกะพริบออกมา
วูบ! หินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พลันยืนตรงขึ้นมา หินพระปีศาจหนานโปกำลังหันหน้าเข้าหาทั้งสองที่อยู่นอกประตู รอยแยกบนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แสงทองสว่างมากขึ้น เปลือกหินร้าวเริ่มหลุดร่วงโดยเริ่มจากส่วนศีรษะ ตกลงพื้นกลายเป็นควัน ไม่เห็นฝุ่นผง ลอยสลายไปราวกับควัน หายไปท่ามกลางความลึกลับ
โฉมหน้าที่แท้จริงเผยออกมาจากเปลือกพร้อมแสงทองวูบวาบ ดวงตาเพลิงในเบ้าตาที่ไร้ลูกตากำลังกะพริบแสง สายตาน่าตกใจ แต่ยังคมคายมากกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วนด้วย
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า แววตาเพลิงเหมือนมองพวกเขาราวกับเป็นมดตัวหนึ่ง
มีเลือกบางส่วนหลุดออกไปแล้ว ร่างทองของพระปีศาจหนานโปปรากฏอีกครั้ง เปล่งเสียงดังหึ่งๆ “สงสัยพวกเจ้าคงทำลายค่ายกลแล้วจริงๆ ทั้งยังใช้คนไม่น้อยด้วย”
ประมุขชิงไม่แม้แต่จะมอง โบกมือปัดก้อนหินที่ตกลงมาจะกระแทกตัวเองออก แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “วันนี้คือวันตายของเจ้า!”
“วันตายของข้าเหรอ?” พระปีศาจหนานโปถามกลับ แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน หัวเราะจนประมุขชิงกับประมุขพุทธะขาดความมั่นใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหยุดหัวเราะได้ จากนั้นส่ายหน้าเบาๆ ถอนหายใจ “ข้าบอกแล้วว่าพวกเจ้ามันไร้ประโยชน์เหมือนกระเป๋าฟาง แต่พวกเจ้าดันไม่เชื่อ อาศัยกระเป๋าฟางอย่างพวกเจ้าสองคนเนี่ยนะจะสังหารข้าได้”
จากนั้นก็ประนมมือสองข้าง แล้วเริ่มเปล่งเสียงสวดมนต์ “มีมานีโอม…”
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นลูกไม้อะไร แต่กำลังระวังตัวอย่างสูงแล้ว พวกเขามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นคนอื่นมีปฏิกิริยาผิดปกติอะไร
ก้อนหินบนหน้าผาตกลงมาน้อยลง แผ่นดินที่สั่นสะเทือนก็นิ่งแล้วเช่นกัน แทบจะในชั่วพริบตานั้น ทั้งสองรู้สึกเหมือนในร่างกายมีเสียงระเบิด ในที่สุดพลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกระงับไว้ก็คลายออกเต็มที่แล้ว
ประมุขชิงโบกมือเรียกหินก้อนใหญ่บนพื้น แล้วทดลองกระแทกไปที่ประตูวัด
ปั้ง! แต่กลับมีเงาคนคนหนึ่งสังหารออกมาในแนวเฉียง ใช้กระบี่ฟันหินระเบิด เศษหินปลิวว่อน บางส่วนพุ่งเข้าไปในวัดโดยตรง ไม่มีอะไรสกัดขวาง
ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด ผนึกค่ายกลใหญ่พังแล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านอยู่ในวัด ไม่มีท่าทีหลบหนีใดๆ
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ยิ่งตกใจมาก เห็นเพียงเทียนเจี้ยนถือกระบี่ใหญ่ไว้ในมือ ดวงตาสองข้างเป็นสีแดงก่ำ ขวางอยู่หน้าประตูวัด
ไม่ใช่แค่เทียนเจี้ยนเท่านั้น กลุ่มแม่ทัพใหญ่เหาะมาทางซ้ายและขวา ขวางอยู่ตรงประตูวัด แต่ละคนดวงตาแดงก่ำ กำลังจ้องทั้งสองอย่างดุร้าย
ยิ่งไปกว่านั้น กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่อยู่โดยรอบล้อมเข้ามาแล้ว ดูเหมือนต้องการจะล้อมทั้งสองไว้
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ตะหนักได้ทันทีว่าคนพวกนี้ถูกพระปีศาจควบคุมแล้ว ความตกตะลึงในใจยากจะบรรยายออกมาได้ ไม่ใช่ว่าปิดประสาทสัมผัสการได้ยินแล้วหรอกเหรอ? ทำไมยังถูกควบคุมได้อีก?
แม้คนพวกนี้จะถูกควบคุมแล้ว แต่ประมุขชิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะคอกถาม “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? คิดจะก่อกบฏเหรอ?”
ไม่มีคำตอบ พวกเขาได้แต่จ้องทั้งสองอย่างดุร้าย
พระปีศาจหนานโปที่อยู่ในวัดประนมมือหันมาข้างนอกอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นหันตัวช้าๆ เดินเนิบนาบเข้าไปยังจุดลึกในวัด ย่างก้าวหนักแน่นมั่นคง ไม่ลนลานหวาดกลัว
มาถึงขั้นนี้แล้ว ประมุขชิงกับประมุขพุทธะยังจะยอมให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหนีรอดไปได้อย่างไร ไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นคนของตัวเองหรือไม่ ทั้งสองพลันพุ่งตัวออกมา ทำศึกเดือดกับกลุ่มแม่ทัพใหญ่ที่ขวางอยู่หน้าประตูวัด
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น สะเทือนจนก้อนหินบนหน้าตาไหลกลิ้งลงมาอีกแล้ว หน้าผาฝั่งซ้ายและขวาเริ่มแยกออกจากกัน
พวกที่อยู่หน้าประตูไม่มีใครต้านประมุขชิงกับประมุขพุทธะไหวเลย
ปั้ง! เทียนเจี้ยนกับประมุขชิงประฝ่ามือกัน ไอสีเขียวครามที่โหมซัดสาดออกมากรอกเข้าไปในร่างของเทียนเจี้ยนราวกับคมดาบ เทียนเจี้ยนกระเด็กออกมา ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยว ราวกับได้สติกลับมาในชั่วพริบตาเดียว ทว่าร่างกายกลับกลายเป็นเหมือนกระดาษ ตัวยังไม่ทันกระแทกไปโดนผนังด้านหลัง ก็ถูกไอสีเขียวครามที่ลอยออกจากร่างกายฉีกร่างแยกเป็นชิ้นๆ อยู่กลางอากาศแล้ว
ชั่วพริบตาที่ทั้งสองสังหารเข้าไปในวัด หน้าต่างชั้นสองของวัดก้ผลักออก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปกลายเป็นลำแสงพุ่งออกมา พุ่งเข้าไปกลางทัพใหญ่ด้านนอก ชนเข้าไปบนตัวของทหารคนหนึ่ง ลำแสงสีทองหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของทหารคนนั้นแล้ว แล้วทหารคนนั้นก็ถอยเข้าไปอยู่ในจุดลึกของกลุ่ม
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะที่ถล่มหน้าต่างถลันตัวออกมาทอดสายตามองออกไป แต่มีหรือที่ยังจะเห็นเงาของพระปีศาจหนานโปอีก
“พระปีศาจ ถ้าเก่งนักก็โผล่หัวออกมา!” ประมุขชิงกำหมัดแน่นพลางส่งเสียงคำราม เสียงดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
ประมุขพุทธะพุ่งตัวออกมาราวกับเงาผี อาศัยความเร็วอันน่าทึ่งโจมตีกลุ่มคนเป็นวงกว้างจนกระเด็นออกไป
ประมุขชิงออกมาตามๆ กัน เปิดฉากสังหารใหญ่ เงาร่างล้อมไว้เร็วมาก คอยสร้างพื้นที่ว่างขนาดใหญ่อยู่ข้างกายประมุขพุทธะ
ประมุขพุทธะลอยเงียบอยู่กลางอากาศ ประนมมือสวดมนต์ รอบกายปรากฏเงาดำที่มีรอยแยก ราวกับมีเงาพระพุทธรูปครอบเขาเอาไว้ จู่ๆ ก็อ้าปากเปล่งเสียงดังราวกับเสียงระฆังทองเหลือง เสียงดังก้องฟ้าดิน “อา…มิต…ตา…พุทธ…!”
เสียงที่เปล่งออกมาราวกับค้อนใจทุบหัวใจคน เสียงแห่งพุทธะกำลังดังก้องอยู่ในหัว
ทุกคนที่กำลังล้อมโจมตีตัวสั่นเทิ้มทันที แววตากลับมามีแววแจ่มชัด แต่ก็ตัวสั่นอีกครั้งอย่างประหลาด สายตากลับมาดุร้ายเหมือนเดิมอีกแล้ว!
บนตัวทหารคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมีแสงทองกะพริบเล็กน้อย ประมุขชิงกับประมุขพุทธะจ้องไปด้วยสายตาคมกริบราวกับเหยี่ยว ทั้งสองพุ่งตัวออกไปพร้อมกันราวกับสายฟ้า
เมื่อทั้งสองร่วมมือกัน กำลังพลมากมายก็ยากจะต้านไหว ราวกับเสือบุกเข้าฝูงแกะ ราวกับผ่าน้ำตัดคลื่น สังหารจนเกิดทางเลือด กำแพงคนราวกัยคลื่นยักษ์ที่ถูกชนกระจาย ไม่มีใครสามารถต้านการโจมตีของทั้งสองได้
ทหารที่มีแสงทองกะพริบบนตัวหายเข้าข้างหลังกลุ่มคนอีกครั้ง กำลังพลข้างหลังกลับทยอยกันเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา แล้วเล็งมาที่ทั้งสองพร้อมกัน
กองทัพองครักษ์ที่ล้อมอยู่ก็ทยอยกันเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เล็งไปที่ทั้งสองเช่นกัน
ทั้งสองตกใจมาก รีบหยุดอย่างกะทันหัน ไอสีเขียวครามที่ลอยวนเวียนอยู่รอบกายประมุขชิงหมุนเร็วขึ้น เงาพระพุทธรูปขนาดใหญ่รอบกายประมุขพุทธะปรากฏอีกครั้ง
ปั้งๆๆ เสียงยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดังขึ้นอย่างฉับพลัน ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงออกมาแล้ว
ลำแสงที่ยิงไปทางประมุขพุทธะไม่มีทางเข้าใกล้ตัวเขาได้ รอบกายเขาเหมือนสร้างสุญญากาศขึ้นมา ลูกธนูที่ยิ่งเข้ามาโดนสุญญากาศที่มีรอยแยกหายไปในทันที
ลูกธนูดาวตกที่ยิงไปทางประมุขชิงก็ไม่มีทางเข้าใกล้ตัวประมุขชิงได้เช่นกัน ทั้งหมดปรากฏร่างเดิม ไอสีเขียวครามที่เหมือนพายุหมุนกำลังหมุนรอบกายเขาเร็วมาก
“ใครขวางข้า ตาย!” ประมุขชิงคำรามเสียงดังราวกับฟ้าผ่า กางแขนสองข้าง ลูกธนูนับไม่ถ้วนที่อยู่ท่ามกลางแรงหมุนมหาศาลถูกสะบักออกมาทันที ยิงโจมตีไปทั่วสารทิศ โจมตีกลุ่มมคนที่ล้อมอยู่
ยิงโดนประมุขพุทธะไปก็ไม่ได้ผล โดนสุญญากาศที่มีรอยแยกรอบกายเขากลืนไปหมด แต่รอบข้างมีเสียงกรีดร้องดังระงม ชั่วพริบตาเดียวกำลังพลจำนวนมากก็ถูกลูกธนูดาวตกสะบัดยิงจนล้มเป็นแถบๆ
ทั้งสองพุ่งไปที่กลุ่มคนอีกครั้ง ทว่ากลุ่มคนกลับเหาะหนีกระจัดกระจายเร็วมาก บ้างก็เหาะขึ้นฟ้าสูง บ้างก็เหาะไปทางสี่ด้านแปดทิศ หลบหนีอุตลุก เงาคนกระจายอยู่ทั่วทุกที่
ประมุขชิงที่ขยุ้มนิ้วดูดคนได้นับร้อยหันมอบไปรอบๆ ด้วยสีหน้าดุร้ายน่ากลัว แล้วจู่ๆ ก็ควงแขนตบฝ่ามือลงพื้น
ปั้งๆๆ ร่างรับร้อยที่ถูกจับค้างไว้ระเบิดเป็นเศษเนื้ออยู่ในเกราะรบ
เกราะรบนับร้อยร่วงลงพื้น ประมุขชิงยกแขนสองข้างขึ้นมาแล้วคำรามขึ้นฟ้า “อา…” เส้นเลือดบนคอปูดโปด เสียงแห่งความโกรธแค้นดังไปทั่วฟ้าดิน
ประมุขพุทธะรีบหันมองไปรอบๆ คนจำนวนหนึ่งล้านกระจายตัวไปสี่ด้านแปดทิศ หาไม่เจอเลยว่าเป้าหมายไปอยู่ที่ไหน จะให้เขาไปตามจับที่ไหนล่ะ? อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่สามารถจับคนได้มากมายขนาดนั้นพร้อมกันได้
“ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้พระปีศาจจะสูญเสียกายเนื้อและพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว แต่การใช้มนต์คร่าชีวิตก็บรรลุระดับใหม่แล้ว ไม่เพียงแค่สามารถลอดผ่านประสาทสัมผัสการได้ยิน ทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากพุทธธรรมควบคุมคนผ่านจิตสำนึก รีบสั่งให้คนข้างนอกรีบปิดประสาทสัมผัสการได้ยินกับจิตสำนึกเร็วเข้า ไม่ว่าใครที่ออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ให้ฆ่าโดยไม่ละเว้น!” ประมุขพุทธะตะโกนบอกประมุขชิง ส่วนมือตัวเองก็หยิบระฆังดาราแจ้งให้กำลังพลแดนพุทธรู้แล้ว
ประมุขชิงได้สติกลับมาทันที ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาระบายอารมณ์โกรธ รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอกเช่นกัน
ทั้งสองเองก็พุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกัน หุบผาชันพังถล่มกลบมิดแล้ว พวกเหยี่ยวมารวานรยักษ์บินวนไปทั่ว
“เร็วเข้า!”
ในดาราจักร อู๋ฉวี่ที่ได้รับคำสั่งจากประมุขชิงรีบตะโกนสั่ง
ทัพใหญ่เพิ่งจะทำลายดาวเคราะห์สิบสองดวงไป ยังไม่ทันได้รวมตัวกัน ประมุขชิงก็สั่งให้พวกเขาทำเรื่องอย่างนี้เสียแล้ว ให้พวกเขาระดมพลดักสังหาร
บนดาวเคราะห์ตรงหน้า กำลังพลนับล้านโผล่ออกมาแล้ว หนีกระจายไปทางสี่ด้านแปดทิศ ทัพใหญ่ส่วนน้อยที่เหลืออยู่ข้างหลังอู๋ฉวี่พุ่งเข้าไปสกัดขวาง แต่ก็เปล่าประโยชน์ จะสกัดคนมากขนาดนั้นที่หนีอุตลุตไหวได้อย่างไร ต่อให้เป็นหมูร้อยตัววิ่งหนีกระจัดกระจาย แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะจับให้หมดได้พร้อมกัน
ทัพใหญ่ที่ล้อมเข้ามาทยอยกันสกัดคนที่หนีกระจัดกระจาย แต่ฝุ่นที่เกิดขึ้นหลังจากดาวเคราะห์สิบสองดวงระเบิดกลับยังไม่หายไป ทำให้คนที่หลบหนีมีที่อำพรางตัว
“อู๋ฉวี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฮ่าวเต๋อฟางมองสภาพวโกลาหลรอบๆ พร้อมถามเสียงต่ำ
ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไร ประมุขชิงติดต่ออู๋ฉวี่โดยตรง เพราะอู๋ฉวี่มีอำนาจในการระดมทัพใหญ่ ผู้การใหญ่วังสวรรค์อย่างเขาไม่สามารถระดมพลได้มากขนาดนั้น ซ่างกวนชิงรู้เพียงว่าอู๋ฉวี่ออกคำสั่งสังหารหมู่!
ไม่น่าเชื่อว่าคนของกองทัพองครักษ์จะสังหารคนของกองทัพองครักษ์ เซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ข้างๆ มองแล้วยิ่งหวาดระแวงกลัว ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครกลัวพระปีศาจหนานโปหนีไปมากกว่าเขาแล้ว อาศัยแค่เรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วทำในปีนั้น ถ้าให้พระปีศาจหนานโปหวนกลับคืนมาอีก ผลที่ตามมาก็น่าสะพรึงมาก!
เซี่ยโห้วลิ่งรู้เพียงว่าเกิดเรื่องแล้ว ต้องเกิดเรื่องแน่นอน สภาพโกลาหลตรงหน้าเกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโปแน่นอน
…………………………