ตอนที่ 228 ผู้สมัครเครื่องมือเวทมนุษย์ (2)
ในช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา แม้จะมีสิ่งมีชีวิตมากมาย แต่ก็ยังพบผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่บรรลุไปถึงเซียนจินได้ยากมาก หลี่ฉางโซ่วเคยอ่านตำราโบราณและเห็นคำกล่าวว่า เมื่อจำนวนเซียนจินมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เต๋าอันยิ่งใหญ่ก็จะส่งทัณฑ์สวรรค์อันไร้ที่สิ้นสุดลงมาเพื่อรักษาเสถียรภาพทั่วหล้า
มีคำอธิบายที่คล้ายกันมากมายในโลกบรรพกาลซึ่งไม่อาจจะเข้าใจได้ และหลี่ฉางโซ่วก็ได้สรุปปัญหาที่เขาต้องแก้ไขในยามนี้
ประการแรก ระดับพลังปราณของเขารุดหน้าและเพิ่มพูนขึ้นเร็วมากเกินไปจนไม่มีเวลาเหลือให้ระงับฐานพลังเพื่อยืดเยื้อต่อไปได้อีกมากนัก
ประการที่สอง เขาไม่คุ้นเคยกับทัณฑ์สวรรค์เซียนจินเท่าใดเลย
ประการที่สาม ในขณะนี้ เขายังขาดการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับทัณฑ์สวรรค์เซียนจินมาก และเนื่องจากข้อจำกัดของประเด็นก่อนหน้านี้ หลี่ฉางโซ่วก็ยังไม่รู้ทิศทางเฉพาะที่แน่นอนว่า เขาควรจะทุ่มเททำสิ่งใดจริงๆ…
ย่อมดีที่สุดหากมีเป้าหมายที่ข้าสามารถมองเห็นและอ้างอิงได้
ผู้ใดในสำนักที่มีความหวังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เซียนจินได้?
ทันใดนั้น ก็มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นในใจของหลี่ฉางโซ่วทันที…
นั่นคือ ราชาพิษหน้าเย็นชา ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน ซึ่งถือไม้เท้าทองสัมฤทธิ์
และอีกร่างคือ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง ผู้ที่มีเส้นผมสีขาวเงินสองเส้นบนขมับ เขาอ้างว่าได้ลืมเลือนเรื่องความรักไปแล้ว แต่ก็มีเรื่องราวกับท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยที่โหดเหี้ยมร้ายกาจของหลี่ฉางโซ่ว
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนอยู่ห่างจากทัณฑ์สวรรค์เซียนจินเพียงก้าวเดียว เขาเป็นผู้อาวุโสที่หลี่ฉางโซ่วนับถือมากที่สุดในสำนักตู้เซียน และดูแลหลี่ฉางโซ่วเป็นอย่างดี
ในด้านความรักและเหตุผลแล้วหากหลี่ฉางโซ่วมีวิธีที่จะช่วยผู้อาวุโสคนนี้คงชีพอยู่ได้ตลอดไป เขาจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยอย่างแน่นอน
ทว่าหลี่ฉางโซ่วต้องยอมรับว่า เขามีความคิดเห็นแก่ตัวบางอย่างในเรื่องนั้นและอยากดูว่าเขาจะได้รับเต๋าพิษที่อาจเป็นอันตรายต่อเซียนจินหรือไม่ หลังจากที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนฝ่าทะลวงด่านพลัง…
หากเป็นเช่นนี้ คลังไพ่ไม้ตายของเขาย่อมจะสามารถเติมเต็มได้ดีกว่า ต่อให้เขาจะเผชิญกับการถูกเซียนจินปิดล้อม เขาก็ยังยิ้มให้พวกเขาและตะโกนว่า “อย่าให้ข้าต้องชักกระบี่นะ!”
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะบรรลุเซียนจินได้ ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนตีบตันอยู่นานเกินไป จึงยากที่จะมีโอกาสไปถึงได้
เมื่อเขาครุ่นคิดในใจเสร็จแล้ว เขาก็มาถึงตรงหน้ากระท่อมมุงจากของท่านอาจารย์ของเขาพอดี
หลี่ฉางโซ่วสงบอารมณ์ของเขาก่อนจะไปเยี่ยมอาจารย์แล้วจึงค่อยกลับไปคิดหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นต่อไป
กระท่อมมุงจากเงียบเชียบ
เมื่อคืนนี้ เขาทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่ จึงยากที่ท่านอาจารย์ของเขาจะ “ฝึกบำเพ็ญ” ได้อย่างสงบสุขได้ คนที่ทำได้เช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วผ่านค่ายกลที่ไร้ประโยชน์นอกกระท่อมมุงจาก และมองดูตำแหน่งการนอนของอาจารย์ในระหว่างการฝึกบำเพ็ญของเขาก่อนจะกลับไปที่หอโอสถ
ข้าเพียงหวังว่าท่านอาจารย์จะสามารถหาพบการกลับชาติมาเกิดใหม่ของอาจารย์ ป้าว่านเจียงอวี่ และทำให้ท่านอาจารย์มีความหวังบ้าง…
ท่านอาจารย์กำลังจะกลายเป็นเทพเจ้าแห่งการหลับใหลไปแล้ว!
อันที่จริงก็เข้าใจได้ไม่ยาก หากคนผู้หนึ่งสูญเสียแรงจูงใจ เขาจะสิ้นแรงกำลัง ไร้ชีวิตชีวาไปได้ง่ายๆ
หลี่ฉางโซ่วทำได้เพียงนำสิ่งนั้นมาพิจารณาใช้เป็นสิ่งเตือนใจและตั้งเป้าหมายเล็กๆ เพื่อกระตุ้นตัวเขาเอง
อืม.. ข้าจะดูแลเขาและทำให้โอกาสในการกลายเป็นเซียนจินมั่นคงเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
‘ท่านเจ้าสำนักชอบอะไร?’
ในวังมังกรทะเลบูรพา ขณะนี้ อ๋าวอี่กำลังนั่งอยู่ริมสระน้ำและลูบหน้าผากเบา ๆ ในห้องใหม่ที่ดูเหมือนจะแกะสลักจากผลึกแก้วเจ็ดสี
ในสระน้ำนั้น นางเงือกแสนสวยกำลังแหวกว่ายอย่างนุ่มนวล ใบหน้าบอบบางและน่ารักของนางเผยรอยยิ้มหวานออกมาในขณะที่ บางครั้ง นางก็จะว่ายน้ำไปที่ริมสระและนำผลไม้เซียนและสุราชั้นดียื่นให้อ๋าวอี่
หลังจากที่อ๋าวอี่เปลี่ยนแปลงไป เขาก็ยังคงรักษารูปร่างของบุรุษหนุ่มน้อยเอาไว้ แต่เขาหยุดเติบโตไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
องค์หญิงแห่งเผ่าเงือกค่อนข้างเอาใจใส่ ละเอียดอ่อนและรอบคอบเช่นกัน นางได้คืนร่างมนุษย์ของนางให้กลับมาเป็นเด็กสาวอีกครั้ง
ในตำนานของเรื่องราวความรักเผ่าเงือก มีกฎแห่งความรักอยู่
ระหว่างคู่ครอง คนที่ดูแก่กว่าจะเสียเปรียบและจะต้องดูแลผู้อ่อนวัยกว่าโดยมิได้ตั้งใจ!
ล้อเล่นน่า…
ความจริงแล้ว องค์หญิงเงือกเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอ๋าวอี่เป็นอย่างดี แม้องค์ชายรองจะอ่อนโยนและให้เกียรตินางมาก แต่เผ่าพันธุ์ของนางก็เป็นเพียงข้ารับใช้ของเผ่าพันธุ์มังกรเท่านั้น
นางต้องควบคุมจิตใจ ระงับความเอาแต่ใจตัวเองของนางเป็นครั้งคราวเพื่อจะได้มุ่งเน้นที่ครอบครัว อยู่ร่วมกับสามีและลูกๆ ได้อย่างสบายใจ นับจากนี้ไปในภายหน้า…
เมื่อเห็นอ๋าวอี่ขมวดคิ้วอย่างสับสน องค์หญิงเงือกน้อยก็ว่ายน้ำไปหา
มีเสียงน้ำเบาๆ และหางปลาของนางก็กลายเป็นเท้าหยก หน้าผากของส่องแสงวาบออกมา จากนั้น กระโปรงสั้นสีอ่อนก็ปกคลุมลงมาก่อนที่นางจะค่อยๆ ลูบหน้าผากของอ๋าวอี่ขณะที่อยู่ข้างๆ เขา
พวกเงือกร้องเพลงเก่งจึงมีเสียงน่าฟัง เมื่อองค์หญิงเงือกน้อยกล่าว เสียงของนางก็นุ่มนวลอ่อนหวาน ฟังไพเราะเสนาะโสตยิ่งนัก
“พี่อี่ อย่ากังวลไปเลย ความวุ่นวายในทั้งสี่คาบมหาสมุทรจะสงบลงอย่างแน่นอน”
อ๋าวอี่ก็ถูกสัมผัสโดยไม่ทันตั้งตัว ทว่าเขาก็ได้ติดตามท่านเจ้าสำนักไปแล้ว และใช้โอกาสนี้กล่าวว่า “ใช่ แล้ว กังวลเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ที่นี่”
ใบหน้ามังกรดูเคร่งขรึมขึ้น
“ทว่าซือซือ ตามธรรมเนียมของเผ่าเงือก เจ้าจะให้ของขวัญอะไรกับผู้ที่เจ้าให้ความสำคัญและห่วงใย”
องค์หญิงเงือกหน้าแดงเล็กน้อยและกระซิบ “ข้าได้มอบไข่มุกเงือกของข้าให้ท่านแล้วนะ เจ้ามังกรโง่งม”
อ๋าวอี่รู้ทันทีว่า นางเข้าใจผิด จึงยิ้มและกล่าวว่า “นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้อื่นอีกคนที่ข้าให้ความสำคัญมากที่สุด ข้าอยากมอบของขวัญให้เขาสักชิ้นหนึ่งหรือสองสามชิ้น”
องค์หญิงเงือกลูบหน้าผากของอ๋าวอี่สองครั้งทันทีแล้วกล่าวกระฟัดกระเฟียดว่า “ท่านพยายามจะเรียนรู้เรื่องเหล่านี้จากข้าเพื่อจะไปเอาใจสตรีอื่นหรือ!?!”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?” อ๋าวอี่ฝืนยิ้มแหยแล้วกล่าวว่า “เขาเป็นพี่ชายคนหนึ่งของข้า ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเป็นคนที่ข้าพูดถึงหลายครั้งกับเจ้ามาก่อนหน้านี้”
“พี่ฉางโซ่วหรือ?” องค์หญิงเงือกถอนหายใจเบา ๆ แม้นางจะไม่เคยเห็นพี่ชายคนนั้น แต่เขาก็ถูกกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลาจริงๆ และยังคงปรากฏตัวในช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ก่อนแต่งงานของพวกเขา …
อ๋าวอี่ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ช่วยข้าออกความคิดสักหน่อยสิ เราจะออกเดินทางในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”
“เช่นนั้น ข้าจะเตรียมของขวัญให้ท่าน หากท่านพอใจก็ให้พี่ชายคนนั้นเลย ท่านเห็นว่าอย่างไรเล่า?”
ดวงตาของอ๋าวอี่เปล่งประกายพลางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนองค์หญิงเงือกน้อยต้องปิดปากหัวเราะคิกคัก
เพื่อเห็นแก่สามีที่น่ารักและอ่อนโยนของนางเช่นนี้ นางจะไม่เดินไปตามทางที่ไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกในอนาคต
คราวนี้ นางจะต้องมอบของขวัญให้พี่ชายคนนั้นอย่างใจกว้างและช่วยเขาให้ได้แต่งงาน…
ในที่เคหาสน์ถ้ำที่ซ่อนอยู่ใกล้กับภูเขาวิญญาณในดินแดนเทวะประจิม ในขณะนั้น มีเสียงยุงเล็ก ๆ ดังขึ้น จากนั้นแสงสีแดงโลหิตก็รวมตัวกันและกลายเป็นร่างในชุดสีแดงโลหิตอย่างรวดเร็ว
ไม่มีผู้ใดอยู่ในเคหาสน์ถ้ำที่ว่างเปล่า ในเวลานั้น ค่ายกลใหญ่ภายนอกเคหาสน์ถ้ำได้ก่อตัวขึ้นและแยกตัวออกจากพื้นที่ภายนอกในทันที!
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและสูดลมหายใจทันที แล้วจู่ ๆ หินก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ก็กลายเป็นฝุ่นผงไปเงียบ ๆ
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว
ครึ่งวันก่อน นางถูกรองเจ้าสำนักบำเพ็ญประจิมเรียกไปหารือเกี่ยวกับแผนการต่อไปสำหรับเผ่าพันธุ์มังกร แต่ก็ถูกหลายคนกล่าวโทษและโยนความผิดให้นางว่าล้มเหลวในการปฏิบัติการตามแผนการก่อนหน้านี้
“เห็นได้ชัดว่าพวกเขามันไร้ประโยชน์! ไอ้พวกสวะ!”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกัดฟันก่นด่า ทว่า ดูเหมือนนางจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และแสยะปากเยาะเย้ยออกมา
คนกลุ่มนี้ต้องการจะสร้างความบาดหมางระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและเผ่าพันธุ์มังกรจริงๆ
พวกเขาบ้าหรือไม่? พวกเขาต้องการยั่วยุเจ้าสำนักเทพทะเลใช่หรือไม่? อ้อ เกือบลืมไปว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักเทพแห่งท้องทะเลผู้นี้เลย…
น่าสนใจ น่าสนใจยิ่ง “จะมีการแสดงดีๆ ให้ดู” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงหัวเราะคิกคักขณะที่รู้สึกสบายใจขึ้นมากเมื่อนึกถึงสีหน้าราวกับตับหมูเหี่ยวๆ ของรองเจ้าสำนัก
ทว่าผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องพิจารณา …
แต่ยามนี้ แม้ราชินีเช่นข้าผู้นี้ จะไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นเนื่องจากเทพแห่งท้องทะเลจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน แต่ข้าก็ได้แอบไปเข้าร่วมสวามิภักดิ์กับสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและศาลสวรรค์อย่างลับๆ แล้ว หากข้าไม่ทำสิ่งใดเลย ก็ยากจะอธิบายได้…
ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางนอนลงบนเตียงแล้วค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
อย่างไรก็ตาม นางก็แอบเริ่มควบคุมหุ่นเชิดที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาและป่าลึกต่างๆ อย่างลับๆ …
……………………………………………………………………….