ตอนที่ 250 ในอดีต มีอารมณ์และความเกลียดชังมากมาย ความเกลียดชังนี้…(2)
“มนุษย์ล้วนมีเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นมนุษย์ เต๋ามีความหมายที่แท้จริงนับพัน แต่ท้ายที่สุด มันก็คือหลักการแห่งสวรรค์และปฐพีที่อยู่นอกเหนืออารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกของมนุษย์ ท่านอาจารย์ โปรดอย่าจริงจังนักเลยขอรับ การได้ฝึกฝนเต๋านับว่าเพลิดเพลินยิ่ง และนี่คือสิ่งที่ท่านสั่งสอนศิษย์ของท่านมาขอรับ ”
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ หากเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งยังคงมีท่านอยู่ลึกๆ ในใจนะขอรับ”
“ข้าไม่รู้ ผู้ใดสนกันว่าเขาจะมีหรือไม่เล่า!?!”
เจียงหลินเอ๋อร์กลอกตาและกล่าวต่อว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าไม่ต้องการน้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อน ในครั้งนี้ข้าแค่จะกลับมาหาพวกเจ้าเท่านั้น!”
หลิงเอ๋อร์รู้สึกสับสนในทันใด นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ท่านปรมาจารย์ใหญ่ชมชอบปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง
หลี่ฉางโซ่วกล่าวกับหลิงเอ๋อร์ผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “จงวางน้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อนเอาไว้บนเบาะนั่งสมาธิแล้วแสร้งทำเป็นบังเอิญทำพวกมันตกเอาไว้”
แม้หลิงเอ๋อร์จะสับสนเล็กน้อย แต่ก็ทำตามคำชี้แนะของเขาอย่างว่าง่าย
ด้วยเหตุนี้ หลี่ฉางโซ่วจึงกวาดสายตาออกไปทั่วห้องแล้วเก็บกวาดถ้วยจานบนโต๊ะ ก่อนจะยืนขึ้นและกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ ใกล้ถึงเวลาแล้วที่เราจะไปแล้ว ท่านควรพักผ่อนก่อนขอรับ”
ฉีหยวนลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ศิษย์จะมารับคำสั่งสอนของท่านอาจารย์อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ท่านอาจารย์ ท่านเมาเล็กน้อยอยู่นะขอรับ”
“เหอะ ไม่เป็นไรน่า!”
เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวอย่างเฉยเมยและถอนหายใจในใจ นางอดจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้
ฉีหยวน หลี่ฉางโซ่วและ หลิงเอ๋อร์ อำลาแล้วจากไปพร้อมกัน จากนั้นเจียงหลินเอ๋อร์ก็พักผ่อนอยู่ในกระท่อมมุงจากของหลิงเอ๋อร์
เมื่อออกจากบ้านแล้ว ฉีหยวนก็สั่งทั้งสองคนไม่ให้สร้างปัญหาใด ๆ ต่อหน้าปรมาจารย์ใหญ่ก่อนจะเดินกลับไปที่กระท่อมมุงจากซึ่งมีรอยแยกรูปทรงมนุษย์เพิ่มมาสองรอย แต่หลี่ฉางโซ่วก็ได้ซ่อมแซมค่ายกลเวทแล้ว
หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ต่างมองหน้ากันและกัน
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาในขณะหลี่ฉางโซ่วยิ้มโดยไม่เอ่ยวาจาใด ส่วนสงหลิงลี่ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเนื้อย่างที่นางกินไปแล้วครึ่งหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
“ศิษย์พี่ แล้วพวกเราควรทำอย่างไรเจ้าคะ”
หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามเสียงเบา
บัดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “จากนี้ไป เจ้าและหลิงลี่ไปอยู่ในห้องเดินหมากเล่นไพ่สักสองสามวัน ไม่ต้องมาบ่อยๆ ภายในสามวัน พวกเราก็จะได้รู้กัน”
หลิงเอ๋อร์สับสนเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรมากอีก
สงหลิงลี่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก เพียงทำทุกอย่างที่เทพแห่งท้องทะเล ญาติผู้พี่ของนางกล่าว
พวกเขาออกจากริมทะเลที่ครึกครื้นอยู่ก่อนหน้านี้ จากนั้นไม่นานทั่วทั้งบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบสงบในกระท่อมมุงจาก ขณะนี้ เจียงหลินเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วยกมือขึ้นตบหน้าผากอย่างหงุดหงิด
นางอดจะรู้สึกเสียใจไม่ได้ในขณะที่พึมพำเบา ๆ ออกมาว่า “อา ข้าพลาดอีกแล้ว… เจียงหลินเอ๋อร์ เจ้าจะเสแสร้งไปไย? ยอมรับเสียก็จบแล้วไม่ใช่หรือ? เอ๋?”
เจียงหลินเอ๋อร์พลิกตัวนอนคว่ำหน้า แล้วทันใดนั้น นางก็เห็นกล่องผ้าเล็กๆ อยู่ที่ตรงมุมห้อง จึงเปิดกล่องผ้าออกดู…
มีไข่มุกที่ดูเหมือนหยดน้ำตาและข้อความเล็กๆ
“คำแนะนำในการใช้น้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อน”
“เหอะ! คิดว่าข้าจะใช้มันเช่นนั้นหรือ?”
เจียงหลินเอ๋อร์แค่นเสียงและผลักกล่องผ้าออกไป แล้วนั่งกอดอกอยู่ตรงนั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววดื้อรั้น
ครู่ต่อมาหลังจากนั้น…
“ข้าเพียงจะดูคำชี้แนะเท่านั้น ไม่ได้ใช้มัน ใช่แล้ว ข้าแค่อยากรู้ว่ามันคืออะไร!”
เวลานี้ หลี่ฉางโซ่วนั่งลงหน้าเตาหลอมโอสถสีดำขนาดใหญ่ในหอโอสถ
ก่อนที่เขาจะเริ่มใช้กฎห้ามของเตาหลอมโอสถ เขาก็สัมผัสได้ถึงอักขระเต๋าที่คุ้นเคยซึ่งส่องประกายอยู่ริมทะเลสาบและหายไปในค่ายกลเวทพิทักษ์ขุนเขา ว้าว แม้เขาจะรู้ว่าท่านปรมาจารย์ใหญ่เป็นเด็กสาวที่หยิ่งยโส แต่นางก็เกลี่ยมกล่อมตัวเองได้อย่างรวดเร็วจริงๆ…
“น่าทึ่งจริงๆ”
เวลาเดียวกันนั้น ในหอเทียนหยาในเมืองทางตะวันออกของทะเลบูรพา สถานที่ตรัสรู้เต๋าที่มีชื่อเสียงซึ่งลอยอยู่บนยอดหอเทียนหยามาก่อน ในขณะนี้ได้รับการบูรณะอย่างสมบูรณ์แล้ว
ในห้องส่วนตัวบนชั้นสูงสุด มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งดื่มอยู่หลังโต๊ะเตี้ย
ที่ด้านนอกหน้าต่างดารดาษไปด้วยดวงดาวสว่างไสวและมีเสียงดีดพิณบรรเลงเพลงไพเราะดังไปทั่ว
เขายังคงดื่มอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาและถอนหายใจเป็นระยะๆ
“เล่อเล่อ… เฮ้อ เล่อเล่อ เมื่อข้าได้เห็นเจ้าครั้งแรก ข้าก็นึกถึงใบหน้าของลูกๆ ในอนาคตของเราแล้ว ว่าแต่เจ้าไปอยู่ที่ใด และข้าจะไปหาเจ้าได้ที่ใดกัน?”
ในขณะนั้น ก็มีชายชราคนหนึ่งเข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ประมุขหอน้อย ผู้น้อยไปที่วังมังกรทะเลบูรพาเพื่อสอบถามแล้ว เข่อเล่อเอ๋อร์เป็นสหายสนิทขององค์หญิงเจียงซื่อเอ๋อร์แห่งเผ่าเงือกจริงๆ ขอรับ”
“อะไรนะ?”
ผู้ฝึกบำเพ็ญหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นทันทีทำให้โต๊ะเตี้ยถูกเข่าของเขากระแทกจนกระเด็นออกไป “จริงๆ หรือ? เยี่ยมมาก!”
“ประมุขหอน้อย โปรดอย่าตื่นเต้นเกินไปขอรับ ผู้น้อยพบว่า ดูเหมือนสหายสนิทผู้นี้ของเจียงซื่อเอ๋อร์จะถูกเหล่าผู้อาวุโสของนางเรียกกลับเพราะสร้างปัญหาที่นี่ ผู้น้อยไร้สามารถ ไม่อาจหาข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกขอรับ แม้ชื่อเสียงของหอเทียนหยาของเราจะแผ่กระจายไปทั่วทั้งมหาตรีสหัสโลกธาตุ แต่มันก็กว้างใหญ่เกินไป และมีสถานที่มากมายที่เราไม่อาจไปถึงได้ขอรับ”
บุรุษหนุ่มอดจะถอยกลับไปสองก้าวไม่ได้ราวกับวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว “นาง นางเพิ่งจากไปเช่นนั้นหรือ?”
ชายชรายิ้มขื่นและกล่าวว่า “ประมุขหอน้อย ท่านย่อมจะทำให้สตรีธรรมดาใดๆ ตกใจกลัวได้อย่างง่ายดาย”
“เฒ่าเหลียง เจ้าเคยเห็นข้าตกหลุมรักสตรีใดมาก่อนหรือ?”
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “ข้า เปียนจ้วง ฝึกบำเพ็ญมากว่าสองพันปี ท่านแม่ของข้าก็จัดสาวใช้ที่งดงามและประพฤติดีมาให้ข้ามากมายอย่างต่อเนื่อง[1] เมื่อมองดูพวกนางแล้ว ข้าก็รู้สึกราวกับกำลังเผชิญกับกระดาษเปล่า หัวใจของข้าหาได้หวั่นไหวไม่ ทว่าเล่อเล่อแตกต่างออกไป นาง…พิเศษนัก ทุกถ้อยคำและการกระทำของนางล้วนไม่เหมือนผู้ใด…”
เปียนจ้วง ถอนหายใจเบา ๆ และค่อยๆ นั่งลงในขณะที่พิงฉากกั้น เขางอขาซ้ายขึ้นแล้ววางมือซ้ายไว้บนเข่า ก่อนจะเคาะนิ้วเป็นจังหวะเบา ๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกายขณะที่ยังคงส่งเสียงร้องแผ่วเบา…
“สุด…หล้า…ฟ้า…เขียว[2]…”
ชายชราอดจะเงยหน้าขึ้นและปาดเหงื่อไม่ได้ เขารู้ว่า ประมุขหอน้อยของเขามีใจหวั่นไหวจริงๆ
เขาไม่เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน แต่เมื่อเขาตกหลุมรัก ก็น่าตกใจยิ่ง และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการรนหาที่ตายของเขาแล้ว
และสุดท้าย ชายชราก็สบายใจขึ้นได้!
ประมุขหอน้อยจะเป็นประมุขหอในอนาคตของหอเทียนหยา เขาอายุสองพันปีแล้ว แต่ยังคงโสดและครองหยางบริสุทธิ์ นั่นจึง… ทำให้เขากลายเป็นตัวตลกต่อหน้าคนรอบข้าง…
“ประมุขหอน้อย พิธีอภิเษกของอ๋าวอี่จะจัดขึ้นในเวลาอีกสิบสองปีข้างหน้า หอเทียนหยาของเราก็ได้รับเทียบเชิญด้วยเช่นกันขอรับ ก่อนหน้านี้ ท่านบอกว่าไม่ต้องการเข้าร่วมพิธี แล้วไฉนเราไม่ลองเสี่ยงโชคดูบ้างเล่าขอรับ? สหายเต๋าผู้นั้นอาจปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง”
“หือ?”
เปียนจ้วง ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีแล้วกล่าวอย่างเบิกบานว่า “เร็วเข้า! ให้ท่านแม่ของข้าหาคนส่งเสื้อคลุมที่ดีที่สุดมาให้ข้า!”
“ประมุขหอน้อย โปรดอย่ากังวล ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบสิบสองปีขอรับ”
“ไม่ ข้าจะไปรอใกล้วังมังกรทะเลบูรพาเดี๋ยวนี้!”
ดวงตาของเปียนจ้วงเปล่งประกายราวแสงดาวขึ้นมาทันทีขณะกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่เสื้อคลุม แต่ยังต้องแข็งแกร่งอีกด้วย! ใช่แล้ว ในฐานะบุรุษ ความแข็งแกร่งของข้ายังด้อยเกินไป แล้วข้าจะปกป้องเล่อเล่อได้อย่างไรในเมื่อข้ายังอ่อนแอยิ่ง? ให้ท่านแม่ของข้านำสมบัติวิญญาณทั้งหมดที่ข้าทิ้งไว้ที่บ้านมาให้ข้าด้วย! โอ้ ใช่แล้ว ต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่อีกชิ้นให้กับวังมังกรด้วย! แล้วเจ้ายังมัวรออะไรอีก? เร็วเข้า รีบๆ ไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ ผู้น้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
จากนั้น ชายชราก็ปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากแล้วโค้งคำนับก่อนจะรีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
ในตำหนักเทพจันทราแห่งศาลสวรรค์
……………………………………………………………
[1] เปียนจ้วง แม่ทัพเทียนเผิง ผู้เป็นเซียนแห่งสำนักเสิ่นเซียวในราชวงศ์ซ่ง ลือกันว่า เขาคือโจวเซิงเหรินซึ่งมีบทตลกเป็นหลัก จึงไม่ต้องลงลึกในเรื่องนี้
[2] มาจากเทียนหยาไห่เจียว แปลตรงตัวคือ วันที่โลกสิ้นสุด หรือจุดสิ้นสุดของโลก ซึ่งเทียบได้กับสุดหล้าฟ้าเขียว ในที่นี้ใช้สุดหล้าฟ้าเขียวในความหมายทำนองว่าเปียนจ้วงจะไล่ตามเข่อเล่อเอ๋อร์ไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว