ตอนที่ 326 ช่วยชีวิตต้นไม้อาจารย์ป้า! (2)
ตามความเร็วที่พลังชีวิตของต้นไม้เก่าแก่ถูกระบายผ่านออกไปและความเร็วที่อักขระเต๋าสลายไป เขาตรวจสอบและคาดการณ์ย้อนกลับได้ว่า อีกฝ่ายหนึ่งได้ลงมือไปราวหนึ่งเดือนก่อนแล้ว แม้วิญญาณต้นไม้จะไม่ใช่รากวิญญาณที่ล้ำค่า ทว่ายังคงเป็นสมุนไพรเร่งปฏิกิริยาที่หายากเช่นกัน…
เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งนำวิญญาณต้นไม้ออกไป พลังชีวิตของต้นไม้โบราณส่วนใหญ่ก็ถูกนำออกไป แทนที่จะนำมาใช้เสริมคุณภาพของวิญญาณต้นไม้ให้แข็งแกร่ง
หากอีกฝ่ายเลือกที่จะเสริมสร้างวิญญาณต้นไม้ ก็ย่อมแสดงว่าคนผู้นั้นไม่มีความมั่นใจต่อโอสถในเตาหลอมโอสถมากนัก…
เช่นนั้นก็…อาจเป็น…
หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ ในขณะที่อีกสี่คนส่งสายตาจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของเขา
ครู่ต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็หันกลับมา!
“ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ผู้นี้ขออภัยที่บังอาจขอรับ แต่ขอให้ท่านได้โปรดใช้สัมผัสเซียนรับรู้แห่งเซียนจินเพื่อค้นหาพื้นที่ใกล้เคียง ภายในรัศมีห้าพันลี้ห่างจากเรา และดูว่ามีผู้ฝึกบำเพ็ญที่สามารถปรุงโอสถได้หรือไม่ หากไม่พบสิ่งใดภายในระยะห้าพันลี้ ก็โปรดแผ่ขยายออกไปให้ไกลที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ศิษย์ก็รู้สึกว่าเราไม่อาจยอมแพ้เช่นนี้ได้ขอรับ”
“ได้แน่นอน!”
จี้อู๋โหย่วรับคำและแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปอย่างรวดเร็วจนครอบคลุมพื้นที่ใกล้เคียงสองสามพันลี้ และในไม่ช้าดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น
จากนั้น จี้อู๋โหย่วก็กล่าวว่า “มีสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งพันหกร้อยลี้ ! มีหุบเขา ซึ่งมีคนผู้หนึ่งกำลังปรุงโอสถอยู่ในค่ายกล! ”
หลี่ฉางโซ่วรีบถามว่า “เป็นอักขระเต๋าของต้าเต๋าหลีกไฟในเซียนเทียนหรือเซียนเสิ่นขอรับ?”
“อืม…ใช่!”
“เร็วเข้าขอรับ!” หลี่ฉางโซ่วเร่งเร้าแล้วกล่าวว่า “ไปเร็วเข้า! อาจารย์ป้าอาจจะยังรอดขอรับ!”
ทันใดนั้น พวกเขาบางคนก็ถึงกับตื่นตกใจ!
พลังเซียนรอบๆ ร่างของจี้อู๋โหย่วพลันพุ่งสูงขึ้น จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไปอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยเสียงดังหวือ แล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวทันที และในชั่วพริบตานั้น เขาก็ข้ามผ่านไปได้เป็นระยะทางหนึ่งพันหกร้อยลี้!
จากนั้นปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง พาเจียงหลินเอ๋อร์ขึ้นสู่ท้องฟ้าทันทีแล้วตามหลังไป
เมื่อหลี่ฉางโซ่วแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจจับ เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วก็ลงมาจากฟากฟ้าแล้วกระแทกเข้ากับค่ายกลเวทที่เรียบง่าย เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
พวกเขาหวังว่าจะยังคงมีวิญญาณหลงเหลืออยู่บ้าง
จากนั้นเขาก็เรียกโหย่วฉินเสวียนหย่ามา แล้วทั้งสองก็รีบชี่เมฆไล่ตามพวกเขาไป
เมื่อหลี่ฉางโซ่วและโหย่วฉินเสวียนหย่ามาถึงหุบเขา พวกเขาก็เห็นภาพเหตุการณ์เดียวกัน ในส่วนลึกของหุบเขาอันเงียบสงบที่ที่มีน้ำใสและท้องฟ้าสีคราม… นักพรตเต๋าร่างอวบท้วมเล็กน้อย นั่งเอนหลังอยู่บนเบาะของเขา แต่เขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว
ต่อหน้านักพรตเต๋าร่างท้วมผู้นี้ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้มีเส้นผมสีขาวและสวมชุดขาว ยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ฝ่ามือซ้ายของเขามุ่งไปที่หน้าผากของนักพรตเต๋า และมีส่วนโค้งสีฟ้าสว่างวาบอยู่บนฝ่ามือของเขา
หากนักพรตเต๋าร่างท้วมผู้นี้กล้าเคลื่อนไหว เขาก็จะตาย!
โชคดีที่ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งไม่ใช่คนไร้เหตุผล เขารู้ว่าไม่อาจโทษคนผู้นี้ในเรื่องนั้นได้
เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ฝึกบำเพ็ญจะนำสมบัติแห่งสวรรค์และปฐพีมาใช้หลอมโอสถ สมบัติ และอาวุธ…
ดังนั้น ในเวลานี้ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งจึงเพียงพยายามข่มขู่ขัดขวางโดยไม่ได้ลงมือจริงๆ
ในขณะนั้น จี้อู๋โหย่วและเจียงหลินเอ๋อร์กำลังยืนล้อมรอบเตาหลอมโอสถซึ่งไม่มีไฟเผาผลาญอีกต่อไปแล้ว พวกเขาสัมผัสได้ถึงคุณสมบัติทางยาในเตาหลอมโอสถและพบต้นไม้วิญญาณที่เหลืออยู่สองสามต้น จี้อู๋โหย่วจึงทำมุทราหยั่งรู้เพื่อสรุปหาวิธีช่วยชีวิตนาง แล้วขมวดคิ้วมากขึ้น…
เจียงหลินเอ๋อร์รู้สึกทั้งประหลาดใจและดีใจ นางอยากจะทุบเตาหลอมโอสถหลายครั้ง แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมากเกินไป… จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ก้าวออกไปข้างหน้าทันทีโดยที่เจียงหลินเอ๋อร์ไม่ต้องบอก เขาสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ในเตาหลอมโอสถแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
ยังคงมีหวัง
ในขณะนั้น จี้อู๋โหย่วถอนหายใจและกล่าวว่า “นางกลายเป็นเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่แล้ว วิญญาณแท้ของนางเกือบจะถูกหลอมแล้ว เกรงว่า ยากจะช่วยให้ฟื้นคืนได้แล้ว”
หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก หากใช้โอสถเพื่อฟื้นฟูเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือและหล่อเลี้ยงวิญญาณแท้ของนาง แล้วท่านจะช่วยนางได้หรือไม่?”
“บางที ข้าอาจจะลองดูได้ทว่าข้าจะไปหาโอสถวิเศษเช่นนี้ได้ที่ใดกัน?” จี้อู๋โหย่วส่ายศีรษะเบาๆ “โอสถนี้ยากที่จะหลอมขึ้นมาได้ สำนักของเรามีสูตรโอสถ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำได้ง่ายๆ…”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “ศิษย์นำมาด้วยแล้วขอรับ”
“เจ้านำมาด้วยหรือ?”
จี้อู๋โหย่วกล่าวอย่างประหลาดใจ “ฉางโซ่ว ไยเจ้าถึงนำโอสถเหล่านั้นมาใช้เช่นนี้?”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน
เขากล่าวไม่ได้ว่าโอสถเหล่านั้นเป็นเพียงไพ่ใบเดียวในคลังเก็บไพ่ไม้ตายของเขา เมื่อเขารีบไป เพื่อความปลอดภัย เขาจึงนำโอสถมาด้วยเพียงสองเม็ดเท่านั้น ในเมื่อผู้ฝึกบำเพ็ญสามารถเตรียมโอสถที่ใช้รักษาและช่วยชีวิตได้ เขาก็ควรเตรียมโอสถเพิ่มเติมเพื่อช่วยฟื้นฟูเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ได้และ มันเป็นธรรมดาที่เขาต้องจัดการกับสถานการณ์ที่คนผู้หนึ่งถูกสังหาร แต่ยังโชคดีพอที่วิญญาณแท้ของพวกเขารอด… ใช่หรือไม่?
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบโอสถทิพย์เซียนพิภพที่สาดแสงสีสันทั้งสองออกมาแล้วมอบให้จี้อู๋โหย่วอย่างนอบน้อม แม้โอสถทิพย์ทั้งสองจะมีคุณภาพไม่สูงนัก แต่เสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ของสมุนไพรพวกนี้ก็ต้องการเพียงคุณสมบัติทางยาที่อ่อนโยนเท่านั้น ดังนั้น หากเป็นโอสถที่มีคุณภาพต่ำลงมาก็ไม่เป็นไร
จี้อู๋โหย่วเปิดเตาหลอมโอสถทันทีแล้วใช้พลังเซียนห่อหุ้มเสี้ยววิญญาณที่เหลือของวิญญาณต้นไม้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจบอกได้อีกต่อไปว่าในหมู่เสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่เหล่านี้ เสี้ยววิญญาณใดคืออาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่ที่กลับชาติมาเกิดซึ่งพวกเขากำลังค้นหา ดังนั้นพวกเขาจึงเพียงใช้ฤทธิ์โอสถทิพย์เหล่านี้เพื่อให้ความอบอุ่นและบำรุงเลี้ยงมันไปพร้อม ๆ กัน
หลี่ฉางโซ่วหันหลังแล้วเดินกลับไปทางปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งเพื่อถามว่านักหลอมโอสถได้รับวิญญาณต้นไม้มาจากที่ใด
เพื่อให้จัดการเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวว่า สหายเต๋า ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่เมตตาเจ้าแน่”
ทันใดนั้น ลูกกระเดือกของผู้ฝึกบำเพ็ญร่างอ้วนก็สั่นสะท้าน และยิ้มขื่นออกมา
หลี่ฉางโซ่วยังไม่ทันได้เริ่มถามอย่างเป็นทางการ เขาเพียงถามรายละเอียดง่ายๆ สองสามข้อเท่านั้น แล้วอีกฝ่ายก็รีบบอกในสิ่งที่เขาบอกได้และบอกไม่ได้…
คนผู้นี้มีนามว่า ไช่เหว่ย เขาเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่ขยันขันแข็งและมีแรงผลักดันในตัวเอง เมื่อสามพันปีก่อน เขาได้รับผลเต๋าเซียนเทียน เขาทุ่มเทให้กับการฝึกบำเพ็ญอย่างหนักและครองสติอย่างดีเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้และสังหารผู้ฝึกบำเพ็ญอื่น…
หลังจากฝึกบำเพ็ญอย่างหนักมาสามพันปี ในที่สุดเขาก็มาถึงเซียนเทียนขั้นกลาง
หลี่ฉางโซ่วมีความหวังขึ้นอีกเล็กน้อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพียงชีวิตประจำวันในการฝึกบำเพ็ญเพียรตามวิถีเซียนของไช่เหว่ยล้วนๆ เท่านั้น…
แค่กๆ นี่ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเคยไปที่หอเทียนหยาซึ่งมีชื่อเสียงในมหาตรีสหัสโลกธาตุนี้มาเป็นเวลานานแล้ว จึงมีประสบการณ์และไตร่ตรองถึงความรักที่เลวร้ายชั่วครั้งชั่วคราวและปรับปรุงความเข้าใจในเต๋าของเขาให้มากขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ ไช่เหว่ยไม่ค่อยมีเงินมากนัก ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวเพื่อปรุงยาและทำเงินอยู่ที่นี่
แล้วผู้ใดจะคิดว่า ขณะที่ไช่เหว่ยกำลังร้องเพลงเบาๆ และหลอมโอสถไปพลาง จู่ๆ จะมีเซียนจินลงจากฟากฟ้ามาหาเขา แล้วก็คว้าเตาหลอมโอสถ ของเขาเอาไว้พร้อมกับจ้องมองเขาเขม็ง…
“ท่านเซียน ข้าไม่รู้จริงๆ! ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าสหายและคนในครอบครัวของท่านเป็นหนึ่งในสมุนไพรเหล่านั้น!” “สหายเต๋า เจ้าไม่ต้องกลัว” หลี่ฉางโซ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางหยิบโอสถสองขวดออกมาจากหน้าอกของเขา “นี่คือโอสถวิวัฒน์ที่มีคุณภาพและมูลค่าใกล้เคียงกับโอสถที่เจ้าต้องการหลอมขึ้นมา พวกมันล้วนถูกสกัดกลั่นขึ้นมาจากทุกคนในสำนักของเรา จงรับมันไว้ ถือเป็นการตอบแทนและชดเชยความสูญเสียให้สหายเต๋าได้”
ผู้ฝึกบำเพ็ญร่างท้วมกล่าวว่าเขาไม่ต้องการมัน
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ในขณะที่ผู้ฝึกบำเพ็ญร่างท้วมพยักหน้าทันทีแล้วเก็บโอสถสองขวดที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนสร้างขึ้นมา นั้นก็ถือเป็นการตัดกรรมอีกด้วย
ในขณะนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ก็ส่งเสียงร้องมาจากทางด้านหลังของหลี่ฉางโซ่ว…
“เจียงอวี่!”
หลี่ฉางโซ่วและปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งหันไปมองพร้อมๆ กัน แล้วเห็นมวลแสงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นอยู่บนฝ่ามือของเจ้าสำนักจี้อู๋โหย่ว
“ท่านแม่ทัพใหญ่! ท่านแม่ทัพใหญ่!”
เบื้องหน้าของท้องฟ้าหนึ่งเส้น[1]ทางตะวันออกของเมืองเฟิงตู เจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกผู้หนึ่งก็รีบเข้ามา และหอบอย่างหนัก จากนั้น ก็ร้องตะโกนใส่ยมทูตเกี่ยววิญญาณหัววัวที่นอนอยู่บนก้อนหินข้างๆ เขา
“ข้าเพิ่งรู้มาจากคนในเมืองว่า เหล่าเซียนทั้งห้าที่ถือป้ายของท่านได้ออกจากบ่อวิญญาณหวนคืน[2]แล้วขอรับ!”
“พวกเขาไปแล้ว?”
หัววัวเบิกตากว้างพลางลุกขึ้นนั่งทันทีก่อนจะหันไปมองผ้าที่อยู่บนโต๊ะทั้งสองข้าง ซึ่งมีถ้อยคำต้อนรับที่เขียนคดเคี้ยวอยู่บนนั้น
อย่างเช่น ‘ยินดีต้อนรับสู่แดนยมโลก’ ‘แดนยมโลกคือบ้านของท่าน และความมั่นคงขึ้นอยู่กับทุกคน’ ‘วันนี้เป็นพี่น้องกัน ท่านย่อมไม่ต้องผ่านสังสารวัฏวิถี’… พวกมันทั้งหมดค่อนข้างเป็นคำขวัญทั่วไป หัววัวคิดถึงคำว่า ‘กลับบ้านบ่อยๆ’ ทว่าน่าเสียดายจริง ๆ ที่เขาไม่อาจใช้มันได้! มันไม่มีประโยชน์แล้ว! เขาต้องใช้สมองคิดต่อไปอีก!
“ช่างมันเถิด หากพวกเขาไปแล้วก็ไปเถิด ข้าว่าพวกเขาน่าจะมีเรื่องเร่งด่วนบางอย่างที่ต้องทำ” หัววัวกล่าวอย่างผิดหวัง
“ท่านแม่ทัพ แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ? พวกเราพี่น้องต่างทำงานกันอย่างหนักเพื่อสร้างธงมากมายเช่นนี้”
หัววัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวเตรียมการอย่างง่ายๆ ว่า “เราให้แก่เหล่าเซียนที่ผ่านที่นี่ไปในภายหน้าคนละชิ้นได้หรือไม่?”
“ท่านแม่ทัพเฉียบแหลมยิ่งขอรับ!”
“ว้าว เหอะๆ… เอ่อ เผ่าจอมเวททำให้ข้าไม่มีวันลืมตัวตนในยามนี้ของข้าได้เลย… อืม ข้ากำลังพยายามสร้างอารมณ์ของข้า… มอ? มอ?”
“ใช่ คล้าย คล้ายมาก!”
………………………………………………………………..
[1] เปรียบว่าเป็นแนวแคบชัน มาจากการเรียกช่องผาที่แคบและชันมากๆ ซึ่งหากเราอยู่ในช่องนั้น เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็จะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นเดียว
[2] คือบ่อน้ำแห้งในป่าบ่อน้ำที่เป็นทางเชื่อมต่อ