ตอนที่ 328 ศิลปะดั้งเดิม (2)
ในวันที่หกของการข้ามผ่านความว่างเปล่า หลี่ฉางโซ่วก็กำลังบรรยายเต๋าให้โหย่วฉินเสวียนหย่าในขณะที่จู่ๆ ก็เกิดคลื่นพุ่งสูงขึ้นมาในใจ
เจตจำนงวิญญาณของเขาถูกรบกวนเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก”
เอ่อ วันนี้ รองเจ้าสำนักจะว้าวุ่นขนาดนี้ได้อย่างไร?
ฟังจากหางเสียงที่สั่นเทาแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รู้ว่า อ๋าวอี่มีอารมณ์ไม่มั่นคงเล็กน้อย …
“ศิษย์น้องโหย่วฉิน ไว้ค่อยคุยกันเพิ่มเติมภายหลังเถิด” หลี่ฉางโซ่วมองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าและกล่าวว่า “ข้ามีการรู้แจ้งบางอย่างที่ต้องฝึกฝนด้วยตัวเองก่อน”
โหย่วฉินเสวียนหย่ารีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ โปรดทำเถิดเจ้าค่ะ ข้ารบกวนการฝึกฝนของศิษย์พี่แล้ว”
“ไม่เป็นปัญหาหรอก” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “หากเป็นเพียงเรื่องการฝึกฝน ข้าก็ยินดีที่จะตรวจสอบกับเจ้าด้วย”
กล่าวจบ หลี่ฉางโซวก็หลับตาและกอดอกราวกับว่าเขากำลังฝึกบำเพ็ญ
ความจริงแล้ว เขาได้เพ่งจิตส่วนใหญ่ของเขากลับไปสู่ร่างต้นกำเนิดเดิมของเขาแล้ว จากนั้น จึงใช้รูปปั้นเพื่อเชื่อมต่อเจตจำนงวิญญาณของเขากับอ๋าวอี่จากระยะไกล…
ในความฝันที่รูปปั้น สร้างขึ้นมานั้น อ๋าวอี่รีบพุ่งร่างไปหาในทันทีที่เห็นร่างของหลี่ฉางโซ่วก่อตัวขึ้นมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของรูปปั้น “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก! เป็นเรื่องดี! ข่าวดี!”
“โอ้?” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ไฉนเจ้าและน้องสะใภ้จึงรวดเร็วเช่นนี้? บัดนี้ ข้าจะเป็นลุงแล้วใช่หรือไม่” ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอ๋าวอี่ขึ้นสีก่ำทันทีแล้วรีบกล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องนี้ขอรับ ยามนี้ สถานการณ์การต่อสู้ในเผ่ามังกรไม่แน่นอน ข้ายังไม่กล้าคิดเช่นนี้… ศิษย์พี่เจ้าสำนัก นี่เป็นเรื่องเยี่ยมมากขอรับ!”
“โอ้?!
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและถามว่า “ยังจะอะไรดีๆ ที่ทำให้เจ้ามีความสุขได้มากมายเพียงนี้?”
“วังมังกรทะเลประจิม…”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ทะเลประจิม’ หลี่ฉางโซ่วก็สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที เขารู้ว่าครึ่งหนึ่งของทะเลประจิมถูกสำนักบำเพ็ญประจิมแทรกซึม และโดยพื้นฐานแล้ว ย่อมเชื่อถือได้เพียงเฉพาะราชามังกรทะเลประจิมเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว ถือได้ว่า ข่าวใด ๆ ที่มาจากทางด้านนั้น ล้วนมีสำนักบำเพ็ญประจิมเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
ทว่าครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำอธิบายของอ๋าวอี่
ข่าวที่ทำให้อ๋าวอี่มีความสุขมากคือ… คนของวังมังกรทะเลประจิมตัดสินใจปรับเปลี่ยนระบบเดิมของพวกเขา และเลียนแบบประสบการณ์ความสำเร็จขององค์ชายรองแห่งวังมังกรทะเลบูรพา อ๋าวอี่ และส่งคนเผ่ามังกรสามสิบหกคนไปลองดูว่า พวกเขาสามารถจะเข้าร่วมกลุ่มของจอมปราชญ์เทพแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าได้หรือไม่
หลี่ฉางโซ่วลูบจุดหว่างคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
หากเป็นฝีมือของสำนักบำเพ็ญประจิม แล้วพวกเขากำลังวางแผนอะไร?
พวกเขากำลังใช้การเคลื่อนไหวนี้เพื่อวางสายลับในสำนักบำเพ็ญเต๋าหรือไม่?
นั่นจำเป็นหรือ? พวกเขาจะรอดพ้นจากสายตาของจอมปราชญ์เทพได้อย่างไร?
ปัญหาคือ จอมปราชญ์เทพต้องการคาดการณ์หรือไม่ และมีจอมปราชญ์เทพคนอื่นๆ แทรกแซงหรือไม่ หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “บอกรายละเอียดมาสักหน่อยเถิด”
“ขอรับ” อ๋าวอี่พยักหน้าจริงจัง และอธิบายสถานการณ์โดยละเอียด พระอนุชาของราชามังกรทะเลประจิม เป็นผู้เสนอความคิดนี้ ราชามังกรทะเลประจิม ได้รวบรวมเหล่าเสนาบดีของวังมังกรและบรรดาเสนาบดีเต่าอื่น ๆ ที่ส่งมาจากเหล่าราชามังกรอีกสามคนเพื่อหารือในรายละเอียดเป็นเวลาเจ็ดวัน ในช่วงเจ็ดวันนี้ การประชุมของวังมังกรทะเลประจิม มีขึ้นสี่สิบแปดครั้งและพวกเขาก็โต้เถียงกันหลายร้อยครั้ง มันสะท้อนความกล้าหาญและจิตวิญญาณแห่งนักสู้ของเหล่าขุนนางโบราณอย่างเต็มที่
ตามคำพูดของอ๋าวอี่ เมื่อเผ่ามังกรกล่าวถึงเรื่องสำคัญจริงๆ ก็มักจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในระหว่างการประชุม… ช่วยไม่ได้ นั่นคือ ศิลปะดั้งเดิมของเผ่ามังกร
การหารือในครั้งสุดท้ายจบลงด้วยการหยุดชะงัก ราชามังกรทะเลประจิมได้ประนีประนอมและลดจำนวนลูกหลาน บุตรและธิดามังกรดั้งเดิมจากหนึ่งร้อยเหลือสามสิบหกคน ในหมู่พวกเขา มีองค์ชายมังกรสองคนและองค์หญิงมังกรสามคนจากวังมังกรทะเลประจิม มีหลานชายสิบสามคนและอีกสิบแปดคนที่เหลือเป็นเหล่าอัจฉริยะผู้หล่อเหลาแห่งเผ่ามังกร
เมื่อได้ยินอ๋าวอี่ชี้แจงแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ยิ้มทันที
นั่นเป็นแผนแบบใดกัน? หรือเป็นแผนใหญ่ที่หลี่ฉางโซ่วไม่อาจมองทะลุได้ในขณะนี้?
ทว่าบัดนี้ เขาก็ระมัดระวังอย่างเต็มที่แล้ว
หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางถามว่า “คราวนี้ บรรดาบุตรและธิดามังกรทั้งหมดมีเป้าหมายจะไปกราบอาจารย์กันที่ใด”
“สามสำนักในดินแดนเทวะมัชฌิมาขอรับ”
อ๋าวอี่กล่าวต่อทันทีว่า “นี่คือเหตุผลหลักว่า เหตุใดคนในเผ่าจำนวนมากถึงคัดค้าน ข้าเข้าใจความหยิ่งทะนงในใจของพวกพ้องของข้า ทว่ามันลำบากมากที่จะเข้าไปในสถานที่แห่งเต๋าอย่างเช่น เกาะเต่าทอง ดังนั้นสถานที่ที่วังมังกรทะเลประจิมจะส่งเหล่าบุตรหลานมังกรไปเป็นศิษย์ก็คือ บรรดาสำนักบำเพ็ญเต๋าและสำนักเซียนที่ส่งคนของพวกเขาไปร่วมงานประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าในครั้งนั้น! ศิษย์พี่เจ้าสำนัก พิธีเปิดรับศิษย์ของสำนักตู้เซียน น่าจะอยู่ในช่วงอีกยี่สิบถึงสามสิบปี ลูกพี่ลูกน้องของข้าสองคนน่าจะไปที่สำนักตู้เซียนเพื่อลองดูว่าพวกเขาจะสามารถเข้าสำนักได้หรือไม่ขอรับ
หลี่ฉางโซ่วอดจะเลิกคิ้วไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น…
ความสามารถในการรวบรวมสติปัญญาของเผ่ามังกรไม่ได้อ่อนด้อย พวกเขายังช่วยสำนักตู้เซียนคาดการณ์ถึงวันที่จะมีพิธีเปิดรับศิษย์ของสำนักตู้เซียนอีกด้วย
ข้าควรปฏิเสธเรื่องนี้โดยตรงหรือปล่อยให้ดำเนินไปตามนั้นโดยไม่ไม่แทรกแซง?
“พี่อี่ สำนักตู้เซียนอยู่ในอันดับสุดท้ายในบรรดาสำนักบำเพ็ญเซียนของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “หากพวกเขาต้องการกราบเป็นศิษย์ น่าจะไปที่สำนักบำเพ็ญเซียนขนาดใหญ่ อย่างเช่น สำนักบำเพ็ญเซียนเซียวเหยามากกว่า”
“พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกส่งไปที่นั่นแล้ว คราวนี้ ลูกหลานมังกรกว่าครึ่งหนึ่งเลือกสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน” อ๋าวอี่กล่าวพลางยิ้ม
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก เนื่องจากสำนักเทพทะเลของเรา เผ่ามังกรจึงประทับใจสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินมากขอรับ”
เข้าใจแล้ว…
หลี่ฉางโซ่วเข้าใจอะไรบางอย่างในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา
หรือว่า สำนักบำเพ็ญประจิมยังอยากใช้กลอุบายสร้างความบาดหมางต่อกัน!?!
คราวนี้ เขาหันไปใช้บุตรหลานมังกรสร้างปัญหาให้กับฝ่ายสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพื่อทำให้สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินขุ่นเคือง?
การเคลื่อนไหวนี้แทบจะเรียกได้ว่าแยบยลยิ่ง …
น่าเสียดายที่หากเขามีแผนเช่นนั้นจริง ๆ ก็คงถูกลิขิตให้เป็นดั่งการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ[1]
กล่าวตามตรงว่า มีเพียงร่างหลักสองคนในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน นั่นคือ เหล่าจื้อ จอมปราชญ์เทพไท่ชิง และปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ส่วนหลี่ฉางโซ่วที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อเป็นคนที่สาม ทว่าเขาก็แทบจะยังไปไม่ถึงตรงนั้น
หากเขาต้องการให้คนเกลียดเผ่ามังกร เขาต้องไปสร้างปัญหาที่วังดุสิต
ยิ่งกว่านั้น สำนักบำเพ็ญประจิมอาจไม่เข้าใจจุดยืนของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอย่างถ่องแท้ สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ยืนอยู่หลังศาลสวรรค์ ไม่ใช่หลังมังกร เมื่อเห็นหลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้ว อ๋าวอี่จึงถามอย่างกังวลว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านไม่พอใจความคิดนี้หรือขอรับ?”
“อ่า ไม่” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “คงจะเยี่ยมมาก หากเผ่ามังกรจะเข้าใจได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อ๋าวอี่ก็ยิ้มอย่างโล่งใจแล้วถอนหายใจออกมาทันที
ย้อนกลับไปในเวลานั้น เขายังเป็นเด็กหนุ่มขี้เล่นและใจร้อน ซึ่งคิดจะกระตุ้นเผ่ามังกรให้ตื่นขึ้นและทรมานพวกเขาทั้งหมด
ตอนนี้เขาก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ และมุ่งเน้นไปที่โครงสร้างของสวรรค์และปฐพีเพื่อหาทางออกให้เผ่ามังกร…
บางที นี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างมังกรหนุ่มเยาว์วัยและมังกรหนุ่มเต็มวัย
อ๋าวอี่ถามอีกครั้ง “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านมีอะไรที่อยากให้ข้าใส่ใจในเรื่องนี้หรือไม่ขอรับ?”
หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้เรื่องของอีกสามสำนักเซียนในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน แต่ภายในสำนักต่างๆ จะมีบรรยากาศ… อืม บรรยากาศแห่งความรักมากขึ้นไปอีก แม้สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะสนับสนุนให้ธรรมชาติดำเนินไปตามวิถีของมัน แต่ในเรื่องของคู่บำเพ็ญเต๋านั้นก็ค่อนข้างหัวเก่ามากกว่า ในขณะที่เผ่ามังกรเปิดใจกว้างและรู้แจ้งในเรื่องนี้มากกว่า หากเป็นไปได้ ก็คงจะดีกว่าหากเลือกมังกรบางคนที่สงบเสงี่ยม ว่าง่ายและเชื่อฟังมากกว่า แล้วส่งไปยังฝ่ายของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เพื่อไม่ให้เกิดความไม่พอใจ แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงคำแนะนำเล็กน้อย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อ๋าวอี่ก็ครุ่นคิดลึกซึ้ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ต้องห่วง ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าจะไปเตือนพวกเขาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
หลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็ทำการคารวะเต๋าแล้วรีบตัดการสื่อสารอย่างรวดเร็ว
หลี่ฉางโซ่วอดจะกะพริบตาไม่ได้เมื่อเห็นเช่นนี้…
หรือว่า สองสาวมังกรที่จะถูกส่งไปยังสำนักตู้เซียน กำลังจะเคลื่อนด้ายแดงจริงๆ? คงจะน่าตื่นเต้นไม่น้อย…
เมื่อเตือนอ๋าวอี่แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็นึกถึงพิธีเปิด พิธีเปิดครั้งต่อไปของสำนักตู้เซียน ซึ่งเกิดขึ้นทุกๆ สองร้อยปี บัดนี้ อยู่ห่างออกไปเพียงยี่สิบถึงสามสิบปีหลังจากนี้เท่านั้น อาจเป็นเมื่อ “ความนิยมของทัณฑ์สวรรค์” ของศิษย์ในสำนักกำลังจะหมดลง ผู้ควรอยู่ย่อมอยู่ขณะที่ผู้ลาจากก็จากไป สำนักจะเตรียมรับศิษย์ใหม่เพื่อฝึกบำเพ็ญ
หากการกลับชาติมาเกิดของอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่มาถึงเร็วกว่านี้ นางก็จะกลับมาอีกครั้งในพิธีเปิดได้…
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแย้มยิ้มออกมา ข้าจะให้ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยจัดการให้เอง
และในวันที่สิบสองของการข้ามผ่านพื้นที่ว่างเปล่า ก็มองเห็นดินแดนเทวะทั้งห้าอยู่ในสายตาแล้ว ทันใดนั้น จู่ ๆ เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วก็หันศีรษะมาถามว่า “จริงสิ ลืมไปอย่าง หว่างฉิง ฉางโซ่ว ข้ามีพลังเวทอย่างหนึ่งที่อาจารย์สอนข้า เรามาศึกษามันด้วยกันดีหรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
หากเป็นเรื่องที่ต้องให้ข้ากระอักเลือดเป็นเวลาหลายร้อยปี ก็โปรดลืมมันไปเถิด
………………………………………………………………..
[1] กระทำการที่เปล่าประโยชน์ ผลสุดท้ายจากการกระทำก็ไม่เหลืออะไร ไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเอาตะกร้าสานที่มีรูไปตักน้ำ