ตอนที่ 406 จักรพรรดิในชุดขาวมีเจตนาสังหาร (1)
กองทัพออกเดินทางมุ่งสู่ทะเลประจิม
ร่างจำแลงของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วได้ติดตามร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนไปอย่างใกล้ชิด ทว่าขณะที่กำลังทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เขาก็ยังคงคิดถึงเรื่องของนักพรตเต๋าลู่หยาตลอดเวลา
ในหอโอสถแห่งยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วหยิบแผ่นไม้ที่มีไว้สำหรับการจำลองชีวิตเซียนออกมาก่อนจะถอนหายใจแล้วโยนแผ่นไม้กลับไป
มันยากเกินไปสำหรับข้า
มันยากเกินไปจริงๆ
ในมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ เขามีชื่อเสียงพอๆ กับนักพรตเต๋าหรานเติ้ง และยังกระโดดออกไปสร้างปัญหา ทั้งยังสังหารอาจารย์ลุงจ้าวกงหมิง แล้วในท้ายที่สุด นักพรตเต๋าลู่หยาก็ยังสามารถหลบหนีออกมาจากร่างของเขาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ในตอนท้ายที่ถูกเขาโจมตีในขณะนั้น!
เขายังเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่เพิ่งเข้าสู่เซียนจินและฝึกบำเพ็ญมาเพียงไม่กี่ร้อยปี!
เอาเถิด มันไม่สำคัญหากพวกเขาจะปะทะกัน แต่ตำแหน่งของพวกเขาทั้งสองฝ่ายได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่า พวกเขาต้องเผชิญหน้ากันเอง…
ทว่าตอนนี้ เขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักพรตเต๋าลู่หยา และไม่อาจฉวยโอกาสนี้ สังหารเขาและตัดกรรม
คิดวิธี! ข้าต้องคิดหาวิธี!
นักพรตเต๋าลู่หยาผู้นี้… ตอนนี้เขาอยู่ฝ่ายใดกัน?
หลี่ฉางโซ่วคิดแล้วคิดอีกอยู่สักพัก
หรือว่า นักพรตเต๋าลู่หยาไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังใดๆ แต่เพียงอาศัยเผ่าปีศาจเพื่อสะสมฐานพลังเท่านั้น? แม้ศาลปีศาจจะพินาศไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจมองข้ามมรดกที่เผ่าปีศาจเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังได้ ตัวอย่างเช่น ระฆังโกลาหลที่หลบหนีเข้าไปในทะเลโกลาหล นั่นคือ ระฆังจักรพรรดิบูรพา
หากนักพรตเต๋าลู่หยาเป็นอดีตองค์ชายของศาลปีศาจจริงๆ เช่นนั้น ก็เป็นไปได้มากที่เขาจะได้รับ ‘ความมั่งคั่ง’ ของเผ่าปีศาจมา เมื่อเทพผานกู่เปิดโลก ดวงตาของเทพผานกู่ก็กลายเป็นสุริยันจันทรา พวกมันเป็นดวงสุริยันจันทราซึ่งแยกหยินและหยางของโลก
ในสมัยโบราณ ตี้จวินแห่งเผ่าอีกาทองคำ และจักรพรรดิบูรพาไท่อี่ถือกำเนิดมาจากดวงสุริยา พวกเขาทรงพลังและต่างก็มีสมบัติล้ำค่า และต่อมาก็ได้มีราชินีปีศาจ
ตี้จวินและราชินีปีศาจซีเหอ มีโอรสสิบองค์ เป็นองค์ชายทั้งสิบแห่งเผ่าปีศาจ ซึ่งล้วนมีร่างแท้เป็นอีกาทองคำที่แปลงร่างเป็นดวงสุริยาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
มหาสงครามจอมเวท-ปีศาจ ดำเนินไปโดยใช้เวลาครึ่งหนึ่งของยุคโบราณกว่าจะยุติลง มันเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ และจะหยุดรบกันเป็นระยะ ในช่วงที่มหาสงครามจอมเวท-ปีศาจเงียบสงบอยู่ ก็มีสัญญาเดิมพันระหว่างองค์ชายเผ่าปีศาจและจอมเวทควาฟุ่แห่งเผ่าเวทเพื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งและความเร็วของพวกเขา ซึ่งทำให้เกิดเรื่อง ‘ควาฟู่ไล่ตามสุริยัน’
ตามบันทึกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ควาฟู่จะชนะการเดิมพันนั้น ทำให้เหล่าองค์ชายปีศาจทั้งสิบ บินออกจากต้นฝูซั่งด้วยความอัปยศ และกลายเป็นดวงสุริยันสิบดวงที่แผดเผาแผ่นดิน จากนั้น พวกเขาก็แอบทำให้ควาฟู่ต้องประสบกับความยากลำบาก และยังทำให้เขากระหายน้ำจนตาย
นั่นจึงเป็นเรื่องราวของ “สิบสุริยันในวันเดียว”
ต่อมา จอมเวทแห่งเผ่าเวทที่เก่งกาจด้านยิงธนูนามว่า โฮ่วอี่ เขายกเกาทัณฑ์ขึ้นยิงดวงสุริยัน สังหารองค์ชายอีกาทองคำเก้าคนติดต่อกัน ทว่าปีศาจใหญ่ผู้ทรงพลังมาช่วยองค์ชายคนที่สิบเอาไว้ได้ทันการณ์…
และนี่คือเรื่องราวของ “โฮ่วอี่ยิงสุริยัน” ที่เวียนวนอยู่ในโลกบรรพกาล
สิ่งที่ควรกล่าวถึงคือ การยิงสุริยันของโฮ่วอี่นั้น ความจริงแล้ว มันต่างจากเรื่องเล่าขานที่เผ่ามนุษย์กำลังเผยแพร่ออกไป ในขณะที่องค์ชายทั้งสิบแห่งเผ่าปีศาจได้แผดเผามนุษย์จนตายมากมายนับไม่ถ้วน จึงทำให้โฮ่วอี่เดือดจัด
นั่นเป็นเพียงว่าเมื่อเผ่ามนุษย์เล่าต่อกันไปในภายหลัง พวกเขาก็เคยชินกับการใช้เหล่ามนุษย์เป็นตัวหลัก
หลังจากที่โฮ่วอี่ยิงดวงสุริยัน สงครามจอมเวท-ปีศาจก็ปะทุขึ้นอีกครา ทั่วหล้าตกอยู่ในภาวะสงครามที่ไร้จุดสิ้นสุดอีกครั้ง และองค์ชายอีกาทองคำคนที่สิบซึ่งรอดพ้นจากภัยพิบัติในตอนท้าย ก็หายตัวไปนับตั้งแต่นั้นมา แล้วหลังจากที่ศาลปีศาจถูกทำลาย เขาก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยใดๆ…
วันนี้ ศาลสวรรค์มาสังหารเหล่าปีศาจที่ทะเลประจิม นักพรตเต๋าลู่หยาจึงคิดจะหยุดพวกเขา และบังเอิญเปิดเผยตัวตนของเขาเอง
ดูท่าแล้ว เป็นไปได้มากว่า ในยามนี้ นักพรตเต๋าลู่หยากำลังวางแผนก่อความวุ่นวายและไว้ใจไม่ได้ เขาไม่คู่ควรที่จะนำไปเปรียบเทียบกับรองเจ้าสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน นักพรตเต๋าหรานเติ้ง
ลู่หยา อีกาที่หก?
องค์ชายแห่งเผ่าปีศาจที่รอดกลับมาได้ในยามนั้น อาจไม่ใช่องค์ชายองค์สุดท้อง องค์ชายสิบ ’
ในหอโอสถ ยอดเขาหยกน้อย
หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปมา เขาครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในทะเลประจิมตอนนี้อย่างถี่ถ้วน และวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ในภายหน้า แน่นอนว่า หากเลือกได้ หลี่ฉางโซ่วย่อมไม่อยากยืนขึ้นให้เป็นที่สังเกตในตอนนี้
การที่เขาบินออกไปข้างหน้าเพื่อหยุดมีดบินสังหารเซียนนั้น มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวอย่างบ้าบิ่น เขาได้คิดชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสียในเรื่องนี้อย่างรอบคอบก่อนแล้วเช่นกัน…
ประเด็นก็คือ หลี่ฉางโซ่วยังไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ระหว่างร่างจำแลง และร่างหลักขององค์เง็กเซียน อย่างเต็มที่
ตามเวทจำแลงกายที่พบได้บ่อยที่สุดในโลกบรรพกาล หากร่างจำแลงถูกสังหาร ร่างหลักก็จะได้รับความเสียหายมากตามไปด้วย ซึ่งองค์เง็กเซียนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่ควรเป็น และแน่นอนว่า ย่อมยากที่จะควบคุมผลที่จะตามมาได้
อย่างน้อยๆ องค์เง็กเซียนจะต้องเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างยิ่งยวด แล้วใช้ทุกวิถีทางเพื่อสังหารลู่หยา และด้วยเหตุนี้ บทในมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพก็จะเปลี่ยนไปมาก ซึ่งท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์ย่อมจะสัมผัสได้ล่วงหน้า
เมื่อดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้บำเพ็ญเหวินจิงก่อนหน้านี้ เขาก็กลัวว่ามันจะทำให้เกิดกรรมอื่นๆ
องค์เง็กเซียนร้องเสียงดังลั่น และหันไปทางวังเมฆม่วงเพื่อบ่นกับบรรพาจารย์เต๋า ท่านอาจารย์! ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคนขี้แพ้ที่มาทำร้ายข้าผู้นี้มาจากที่ใดกัน เง็กเซียนผู้นี้ ช่างไม่ได้เรื่องนัก!
จากนั้น มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพก็จะถูกนำออกมาเร็วกว่ากำหนด แล้วทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าก็จะเต็มไปด้วยพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์ จากนั้น จอมปราชญ์ทั้งสามก็จะมองมาที่เขาและนักพรตเต๋าลู่หยาอย่างอบอุ่นอ่อนโยน…
เพียงแค่คิดก็กลัวแล้ว!
องค์เง็กเซียนเป็นคนดื้อรั้น เมื่อพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จึงย่อมไม่อาจทนเสียศักดิ์ศรีแล้วปล่อยวางลงได้ มันคืออาณาเขตของเทพแห่งท้องทะเล ซึ่งร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนได้รับ “เชิญ” เพราะบันทึกเสนอแนะของเขา ดังนั้น หากมีเหตุอันใดเกิดขึ้นจริงๆ หลี่ฉางโซ่วย่อมต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลี่ฉางโซ่วกล้าใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อป้องกันมีดบินสังหารเซียนเพราะธรรมชาติพิเศษของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขา
แม้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์จะมีพลังปราณวิญญาณเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถเชื่อมต่อกับปราณวิญญาณได้ตามเวลาจริงในขณะเดียวกัน พร้อมกันนั้น ระยะทางและอุปสรรคจากค่ายกลธรรมดาก็ไม่มีผลต่อการเพ่งจิตของเขา
มันยากที่หลี่ฉางโซ่วจะอธิบายหลักการนั้นอย่างชัดเจน ได้ ย้อนกลับไปในยามที่เขากำลังศึกษาตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ เขาก็ยังพยายามคลำทางและคิดออกมาทีละขั้นตอนไปเรื่อยๆ จน ในที่สุด ก็ค้นพบและใช้มัน
ทว่าหลังจากที่ใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์มาหลายปีแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจลักษณะของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้ละเอียดถี่ถ้วนและชัดเจนมาก
ในขณะนั้น เขามีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว จึงรีบพุ่งออกไปข้างหน้า
ยิ่งกว่านั้น หากเขาใช้เครื่องมือเวททำร้ายผู้อื่น ย่อมจะทิ้งร่องรอยให้สืบย้อนจนค้นพบได้อย่างแน่นอน
แต่หากมีดบินสังหารเซียนสังหารตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาตรงๆ มันก็จะเพียงแค่ตาย
หากมีดบินสังหารเซียนสะบั้นปราณวิญญาณตรงๆ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาเองก็จะไม่มีปราณวิญญาณใดๆ ให้สังหารได้
แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วย่อมพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่มีดบินสังหารเซียน จะเป็นเครื่องมือสังหารอันลือลั่นในมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพในภายหน้า และอาจพุ่งไปตาม “เครือข่าย” … ดังนั้นในช่วงเวลาที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกไปสกัดกั้นมีดบินให้ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียน หลี่ฉางโช่วก็ถือโอสถทองคำเก้าแปรเปลี่ยนเอาไว้และเตรียมพร้อมแล้วที่จะเรียกหาจอมปราชญ์ได้ตลอดเวลา! เมื่อตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวแรกถูกสังหาร หลี่ฉางโซ่วก็สรุปอย่างรวดเร็วว่ามีดบินสังหารเซียนนั้น ไม่ได้ “น่ากลัว” อย่างที่คิด
ประการแรก มันเป็นอาวุธที่เฉียบคมในการทำลายปราณวิญญาณ ก่อนอื่นเขาจะต้องตรึงปราณวิญญาณเอาไว้ จากนั้น ก็สังหารปราณวิญญาณแล้วตัดศีรษะของคนผู้นั้น เมื่อมีดบินสังหารเซียนพุ่งโจมตี หลี่ฉางโซ่วก็เห็นคลื่นโลหิตที่พุ่งพล่าน ซึ่งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาไม่อาจตอบโต้ได้เลยและถูกสังหารไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ปราณวิญญาณของร่างหลักเขาที่อยู่ในยอดเขาหยกน้อย ซึ่งห่างไกลออกไปนั้นยังปลอดภัยดี ทว่าเขาสัมผัสได้ถึงความกลัวเล็กน้อยในใจลึกๆ ราวกับว่าตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาสามารถแบกรับความเสียหายได้ร้อยส่วน และมีดบินสังหารเซียนได้สร้างความเสียหาย ‘เก้าสิบเก้าส่วน’ ซึ่งสามารถทำลายตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้ถี่ถ้วนมากขึ้นเท่านั้นโดยไม่มีความหมายอื่นใดอีก
นั่นจึงทำให้หลี่ฉางโซ่วมั่นใจมากขึ้น และในที่สุด เพื่อให้ลู่หยาจากไปก่อนโดยเร็ว เขาจึงคุยโม้โอ้อวดออกไป…ลู่หยาที่เขาพบในวันนี้ แตกต่างไปจากนักพรตเต๋าผู้ลึกลับที่พูดและหัวเราะใส่อาจารย์ลุงจ้าวที่ดับอนาถคาเตียงอย่างน่าเศร้าใจในช่วงระหว่างเกิดมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ มันแตกต่างกันมากจริงๆ
ก่อนหน้าที่หลี่ฉางโซ่วจะได้พบกับนักพรตเต๋าลู่หยา เขาก็รู้สึกกลัวนักพรตเต๋าที่มีมีดบินสังหารเซียนในมือซ้ายและตำราเจ็ดลูกศรหัวตะปูในมือขวาผู้นี้มากอยู่แล้ว
วันนี้ เมื่อได้บังเอิญเผชิญหน้ากับเขาในทะเลประจิม ความกลัวในใจของหลี่ฉางโซ่วนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง ทว่ามันกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
นักพรตเต๋าลู่หยาในวันนี้ จะต้องพัฒนาต่อไปในภายหน้าอย่างแน่นอน!
………………………………………………………………..