ตอนที่ 458 หัวใจขององค์เง็กเซียนในชุดเสื้อคลุมสีขาว (2)
ทันใดนั้น หลี่ฉางโช่วและแม่ทัพตงมู่ต่างก็ยืนขึ้นพร้อมกัน
องค์เง็กเซียนถอนหายใจเบาๆ และยืนขึ้นเพื่อมองหลี่ฉางโซ่ว เขายกมือขึ้นตบไหล่หลี่ฉางโซ่วและกล่าวว่า “ศาลสวรรค์เพิ่งได้รับการก่อตั้งขึ้นในขณะนี้ ข้ากลับปล่อยให้ขุนนางที่ข้ารักต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมาน”
หลี่ฉางโซ่วคิดว่า ไม่ ข้าไม่ทนทุกข์เลย ขอเพียงแค่ประทานบุญให้ข้ามากขึ้นเท่านั้น
องค์เง็กเซียนกล่าวว่า “วันนี้ ข้าได้ประจักษ์ถึงวิธีที่เจ้าจัดการกับผู้ทรงพลังของสำนักบำเพ็ญประจิมและโอภาปราศรัยกับผู้คนในเผ่ามังกร ข้าก็ให้รู้สึกเกลียดในหัวใจของข้านัก! เสนาบดีคนสำคัญของศาลสวรรค์ต้องถูกพวกสัตว์ดุร้ายรังแกได้อย่างไร!?! เหตุใดเทพผู้ชอบธรรมแห่งท้องทะเลทั้งสี่ซึ่งข้าได้มอบตำแหน่งให้ ต้องยิ้มและโต้ตอบกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจทานทนได้เหล่านั้น!?! แม่ทัพตงมู่อยู่ที่ใด!?!” แม่ทัพตงมู่โค้งคำนับและรับบัญชาทันที
“กระหม่อมอยู่นี่แล้ว ฝ่าบาท!”
องค์เง็กเซียนยืนอยู่บนเรือลำเล็กและเดินไปมา เขาไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะกล่าวออกมาช้าๆ
“เมื่อเรากลับไปที่ศาลสวรรค์ ให้ร่างพระราชโองการทันที ขุนนางของข้า ฉางเกิง ได้ให้พร บำเพ็ญประโยชน์แก่ทั้งสี่คาบสมุทร และส่งเสริมความยิ่งใหญ่ของศาลสวรรค์ ให้เพิ่มระดับของเขาขึ้นไปสามขั้นและเงินเดือนของเขาจะเพิ่มขึ้นหกส่วน
ศาลสวรรค์จะจัดตั้งกองทัพเรือของศาลสวรรค์และตั้งกองทหารประจำการในแม่น้ำสวรรค์ พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อฉางเกิง! พระราชโองการนี้จะร่างขึ้นภายในสิบสองปี และให้ส่งกองทัพเรือของศาลสวรรค์ออกไปในทันที!”
แม่ทัพตงมู่ตอบรับอย่างหนักแน่นว่า “น้อมรับบัญชาฝ่าบาท!”
“ฉางเกิงอยู่ที่ใด?”
หลี่ฉางโช่วก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “เทพน้อยอยู่ที่นี่แล้วฝ่าบาท”
“ก่อนหน้านี้ ข้ามองข้ามบางสิ่งไป ข้าเพียงรู้สึกว่าเจ้าได้รับการคุ้มครองจากศิษย์พี่ไท่ชิงแล้ว ดังนั้น สำนักบำเพ็ญประจิมจึงไม่กล้ารังแกเจ้า นี่เป็นความผิดของข้า” องค์เง็กเซียนในชุดขาวเผยท่าทีเสียใจ รอยยิ้มของหลี่ฉางโช่วค่อนข้างอบอุ่นเมื่อตอบว่า “ฝ่าบาท เทพน้อยคิดว่า การแข่งขันกับพวกเขานั้นน่าสนใจ”
องค์เง็กเซียนหัวเราะเบาๆ และกล่าวอย่างจริงจังว่า “ทว่าฉางเกิง เจ้ายังมีข้อบกพร่องอยู่ เป็นเพียงว่า เจ้ามั่นคงเกินไป เจ้าเป็นศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า เจ้าคล้ายกับศิษย์พี่ไท่ชิง ฉางเกิง มาดูนี่เถิด”
ขณะกล่าว องค์เง็กเซียนก็ผลักเปิดหน้าต่างห้องโดยสารและมองดูควันนอกหน้าต่างที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้
เขากล่าวต่อว่า “ลมพัดแผ่วเบาแต่ก็รวดเร็วเช่นกัน หมู่เมฆคลาย แต่ก็มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นกะทันหันเช่นกัน มีความรู้สึกเร่งด่วนสำหรับทุกสิ่งในโลก เรื่องของเผ่ามังกรก็ควรจะเป็นเฉกเช่นกัน”
เมื่อหลี่ฉางโซ่วได้ยินเช่นนั้น เขาก็มีท่าทีซาบซึ้งใจในทันที เขาพยักหน้าช้าๆ และทำคารวะเต๋าให้
“เทพน้อยเข้าใจแล้ว!”
“วันนี้ข้าจะให้คำสั่งเกี่ยวกับเผ่ามังกรกับเจ้า เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องเผ่ามังกรในตอนนี้” องค์เง็กเซียนกล่าวว่า “สิบสองปีต่อจากนี้ ศาลสวรรค์จะจัดงานเลี้ยงผลท้อสวรรค์ ข้าจะเชิญราชามังกรทั้งสี่คาบสมุทรมาเข้าร่วมงานเลี้ยงของศาลสวรรค์
หากพวกเขาเต็มใจที่จะยอมจำนนต่อศาลสวรรค์ ข้าจะไม่ยกกระบี่สังหารมังกร ทว่าหากพวกเขายังมีความคิดทุรยศและไม่ยอมรับชะตากรรม ข้าจะไปที่วังเมฆม่วงด้วยตัวเอง เพื่อขอให้บรรพาจารยเต๋าส่งการลงทัณฑ์แห่งสวรรค์ลงมาและให้เผ่ามังกรรับผิดชอบ!”
หลี่ฉางโช่วและแม่ทัพตงมู่ต่างมองหน้ากัน ทั้งสองล้วนตื่นตกใจจนตัวสั่นและโค้งคำนับพร้อมกัน
องค์เง็กเซียนหลับตาและหายใจออกช้าๆ จากนั้นเขาก็ลืมตาและมองดูน้ำทะเลสีฟ้าและท้องฟ้าสีคราม
เสื้อผ้าสีขาวของเขาขาวราวกับหิมะ และเส้นผมยาวของเขาก็ปลิวไสวไปตามสายลม หลี่ฉางโช่วมองไปที่ด้านหลังผู้ปกครองแห่งสามอาณาจักร และรู้สึกว่า… เขาหล่อเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วร้องตะโกนว่า “เทพน้อยขอขอบพระทัยฝ่าบาทที่เข้าใจ!”
องค์เง็กเซียนยิ้มและกล่าวว่า “ฉางเกิง แม่ทัพตงมู่ พวกเจ้าอาจไม่รู้ แต่จริงๆ แล้วข้าไม่สนใจที่จะมีอำนาจในการเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์” เขากล่าวต่อว่า “ย้อนกลับไปเมื่อยามที่ศาลปีศาจถูกทำลาย บรรพชนเต๋า และหกจอมปราชญ์ปรากฏตัวขึ้นหลังจากการต่อสู้ระหว่างทั้งสามเผ่าพันธุ์และจัดการกับภูเขาและแม่น้ำที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
พวกเขารวมศาลปีศาจโบราณและปรับแต่งให้เป็นศาลสวรรค์ในปัจจุบัน ในเวลานั้น ศิษย์พี่จุ่นถีแห่งสำนักบำเพ็ญประจิมได้อ้อนวอนบรรพชนเต๋าและกล่าวว่า ศาลสวรรค์ควรถูกจอมปราชญ์ควบคุม แล้วอาจารย์จะไม่รู้เจตนาของจุ่นถีได้อย่างไร”
ดวงตาขององค์เง็กเซียนจ้องมองออกไปไกลแสนไกล ราวกับว่าเขาจะมองผ่านทะลุทั้งทะเลและท้องฟ้าได้
ขณะกล่าว เสี้ยวอักขระแห่งเต๋าสวรรค์ก็พันรอบเรือไม้แล้ว ไม่จำเป็นต้องห่วงว่าผู้ใดจะมาฟังได้ องค์เง็กเซียนกล่าวว่า “สามบริสุทธิ์นั้นเงียบและไม่แยแส เขาไม่สนใจเรื่องต่างๆ ของโลก
หากอาจารย์ตกลงในตอนนั้น ศาลสวรรค์ย่อมจะกลายเป็นเครื่องมือเวทของศิษย์พี่ทั้งสองเพื่อเติมความปรารถนาของพวกเขา และบัญชาแห่งสามอาณาจักรจะไม่มีวันได้รับการฟื้นฟู”
“ดังนั้น อาจารย์จึงพาข้าและศิษย์น้องหญิงออกจากวังเมฆม่วง เขาไม่ได้บอกอะไรข้าเลย และเพียงแค่ทำให้ข้าและศิษย์น้องหญิงของข้าเป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งศาลสวรรค์ องค์เง็กเซียนและหวังหมู่ เขาวางเราให้ดูแลสามอาณาจักร”
“เมื่อข้าเป็นองค์เง็กเซียน จักรพรรดิแห่งสวรรค์ครั้งแรก ศาลสวรรค์ก็ว่างเปล่า ทุกที่มีแต่เมฆ ข้านั่งอยู่หน้าหอสมบัติหลิงเซียวกับศิษย์น้องหญิงของข้า และเราต่างก็งุนงง ข้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร และไม่รู้ว่าตำแหน่งของจักรพรรดิแห่งสวรรค์หมายถึงอะไร”
“แต่เดิม ข้าและน้องสาวเพิ่งยกชาและน้ำเพื่อบูชาอาจารย์และถ่ายทอดข้อความในนามของเขาและเฝ้าประตู เมื่อใดที่เราเคยเป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งสวรรค์? จนถึงวันนี้ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่า อาจารย์แต่งตั้งให้ข้าเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์เพื่อต้องการให้ข้าทำอะไร? วันนี้ข้าได้มีความคิดคร่าวๆ แล้ว”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวเบาๆ ว่า “ขอประทานอภัย อยากขอฟังคำพูดของฝ่าบาทมากกว่านี้ได้หรือไม่ ฝ่าบาท” แม่ทัพตงมู่อดจะคิดลึกลงไปไม่ได้ ไฉนเขาถึงคิดไม่ได้ องค์เง็กเซียนกล่าวว่า “สวรรค์ ปฐพี และสิ่งมีชีวิต สามอาณาจักรมีพลังเพียงใด? เหล่าจอมปราชญ์สามารถปรับแต่งลม ไฟ น้ำ และดินได้อย่างง่ายดาย หล่าสานุศิษย์ของจอมปราชญ์มีความสามารถในการจมแผ่นดิน ครอบทะเลได้
ปรมาจารย์จากเผ่าพันธุ์ต่างๆ สามารถเคลื่อนภูเขา ถมทะเล และทำให้จักรวาลหมุนได้ ข้าต้องจำกัดพวกเขา ก่อนที่วิญญาณแท้จะเปลี่ยนไป พวกเขาอยู่ในความว่างเปล่าเท่านั้น แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงของวิญญาณแท้ ก็มีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน ศาลสวรรค์ต้องการให้ผู้แข็งแกร่งไม่มีข้อผิดพลาด และคนอ่อนแออยู่ได้อย่างสงบสุข ข้าต้องควบคุมมัน ฉางเกิง แม่ทัพตงมู่ พวกเจ้ายินดีจะติดตามข้าไปหรือไม่?” แม่ทัพตงมู่ตอบอย่างหนักแน่นว่า “กระหม่อมยินดีสละชีวิตเพื่อรับใช้ฝ่าบาทต่อให้ต้องตาย ก็จะไม่เสียใจเลย!”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจช้าๆ และยิ้มพลางกล่าวว่า “หนทางข้างหน้านั้นยาวไกล เทพน้อยยินดีที่ได้พบฝ่าบาท” องค์เง็กเซียนหันกลับมาและพยักหน้าให้หลี่ฉางโซ่วด้วยรอยยิ้มในขณะที่แม่ทัพตงมู่อดจะคิดลึกลงไปอีกครั้งไม่ได้…
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ
งานเลี้ยงผลท้อเซียน ซึ่งองค์เง็กเซียนและศาลสวรรค์จัดขึ้นเพื่อเผ่ามังกร จะจัดขึ้นในอีกสิบสองปีหลังจากนี้ หากพวกเขาไม่ยอมรับ พวกเขาย่อมจะถูกการลงทัณฑ์จากสวรรค์ลงโทษด้วย… หลังจากส่งองค์เง็กเซียนและแม่ทัพตงมู่ออกไปแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็จัดการรูปจำลองกระดาษในเมืองอันสุ่ยและตกลงไปในห้วงความคิดลึกๆ ในห้องลับใต้ดินของยอดเขาหยกน้อย.
สิบสองปีนั้นสั้นไปสักหน่อย
เวลาที่องค์เง็กเซียนใช้นั้นเร็วกว่าที่เขาคาดไว้เล็กน้อย หลี่ฉางโซ่วยืนขึ้นจากด้านหลังโต๊ะและเดินไปที่ชั้นตำราที่มุมห้อง เขาหยิบถุงเก็บสมบัติสองใบและรูปเหมือนผ้าสองรูป เขาค่อยๆ กางออกและพวกมันก็เต็มไปทั่วทั้งห้องลับ
นั่นคือ ‘กลยุทธ์’ ที่เขาเขียนไว้เมื่อเขายอมรับภารกิจของเผ่ามังกรเพื่อขึ้นสู่สรวงสวรรค์เป็นครั้งแรก
พวกมันส่วนใหญ่ถูกลบไปแล้ว
วันนี้ หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ม้วนผ้าส่วนใหญ่แล้วแขวนไว้ข้างหน้าเขา จากนั้น เขาก็เผาด้วยเพลิงสมาธิแท้
มันไร้ประโยชน์
หลี่ฉางโซ่วหันกลับมาและมองไปที่ผ้าอีกสามชิ้นที่เหลืออยู่บนหลังของเขา เช่นเดียวกับหัวลูกศรบนผ้าเหล่านั้น
“ในที่สุด ข้าก็สามารถใช้ส่วนนี้ได้”
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็หยิบผ้าอีกผืนแล้วดึงไม้ตีกลอง ตะกร้าไม้ไผ่ กล้วยไม้ หนังสติ๊ก และถ้วยเรืองแสงบนนั้น คราวนี้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเสริมปิ่นไปอีกอัน จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิกลางอากาศและปล่อยให้ผ้าลอยรอบตัวเขา เขาหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนและวาดต่อไป
ในช่วงสิบสองปีที่ผ่านมา ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาสามารถทำได้ องค์เง็กเซียนต้องการเป็นผู้ชี้ขาดและไม่ลังเลที่จะใช้ทรัพยากรของวังเมฆม่วง สิ่งที่เขาต้องทำคือควบคุมระเบียบนี้อย่างรวดเร็วเพื่อที่องค์เง็กเซียนจะได้ไม่ต้องต่อต้านมากเกินไปเมื่อเขาโจมตี เขาไม่ต้องการทิ้งปัญหามากมายไว้เบื้องหลัง
เขามองไปยังพื้นที่ที่หลิงเอ๋อร์เข้าปิดด่านอยู่และเหลือบมองดูผู้คนสองสามคนที่เล่นในห้องเล่นไพ่เดินหมาก
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและส่ายหัว เขาเริ่มจดจ่อกับการคิด
อันที่จริง องค์เง็กเซียนไม่รู้… เต๋าของเขาไม่ได้นิ่งเฉย มีเพียงบางครั้งที่เขาต้องเลือกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเขามากกว่า
………………………………………………………………..