ตอนที่ 466 ปู่ใหญ่เจดีย์อยู่นี่แล้ว (2)
ครั้นเมื่อพบราชามังกรทะเลประจิม หลี่ฉางโซ่วก็ชี้แจงความประสงค์ของเขาทันที
“ราชามังกร เทพน้อยมาที่นี่เพื่อถามเรื่องบางอย่าง ไม่รู้ว่าฝ่าบาทได้พบเบาะแส ร่องรอยใดๆ ของสัตว์ร้ายบรรพกาลที่พยายามทำร้ายโอรสมังกรและโจมตีร่างจำแลงของเทพน้อยบ้างหรือไม่”
นั่นคือ ขั้นตอนแรกของแผนทำลายจักจั่น—ใช้วังมังกรล่อจักจั่น
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ราชามังกรทะเลประจิมก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าไม่คิดปิดบังท่าน แต่เทพแห่งท้องทะเล ข้าไม่พบร่องรอยอะไรเลย”
“โอ้?”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “แต่อย่างน้อยที่สุด ก็น่าจะรู้ว่าเขาแอบแทรกซึมเข้าไปในวังมังกรเมื่อใด และรู้จักบรรดาองค์ชายและชนชั้นสูงได้อย่างไร”
“นี่…”
ราชามังกรทะเลประจิมลูบเคราและกล่าวว่า “ข้าได้ส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้แล้ว และได้ถามสอบถึงเรื่องนี้กับโอรสของข้าด้วยตัวเองเช่นกัน แต่ข้าก็ไม่พบอะไรเลยจริงๆ รู้แต่เพียงว่าสัตว์ร้ายบรรพกาลนั้นคือ จักจั่นทองหกปีก
สัตว์ร้ายนี้เป็นธาตุทองและธาตุน้ำ เก่งกาจในด้านพลังเวทเฉียนคุน ครั้งหนึ่งในสมัยโบราณ มันเคยก่อปัญหาและถูกไล่ออกจากทะเลโกลาหล ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนอยู่เบื้องหลังจักจั่นทองหกปีกตัวนี้ และคอยปกปิดความลับสวรรค์ให้เขา…”
สิ่งที่เขาหมายถึงคือ เขาได้ชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า จินฉานจื่อ มาจากสำนักบำเพ็ญประจิม หลี่ฉางโซ่วได้ถามอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท ไม่มีเบาะแสเรื่องที่อยู่ของจักจั่นทองจริงๆ หรือ?”
ราชามังกรทะเลประจิมส่ายศีรษะช้าๆ และกล่าวว่า “ข้าจะสั่งให้คนของข้าค้นหาอย่างเต็มกำลัง”
“ช่างเถิด ไม่รบกวนฝ่าบาทแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วยืนขึ้นและประสานมือคารวะให้ราชามังกรทะเลประจิม เขาดูมีท่าทีไม่พอใจและหันหลังออกจากห้องโถงไป ราชามังกรทะเลประจิมยืนขึ้นและประสงค์จะเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่ต่อ แต่ก็ไม่อาจเอ่ยอะไรได้… ราชามังกรจะไม่รู้เรื่องสถานการณ์ในทะเลประจิมได้อย่างไร? ทว่าเขาไร้อำนาจและอับจนหนทาง หากเขาไม่เคลื่อนไหว เขาก็ยังคงรักษาสภาวะเดิมและต่อสู้อย่างลับๆ ได้ แต่หากเขาเคลื่อนไหว ก็จะล่มสลายจนไม่อาจฟื้นคืนวังมังกรทะเลประจิมได้อีก…
หลี่ฉางโซ่วเดินออกจากห้องโถงและดูเหมือนว่า ท่าทีจะสงบลง เขาหันกลับมาและโค้งคำนับให้ราชามังกรทะเลประจิม
เขากล่าวอย่างสงบว่า “ราชามังกร เทพน้อยเพียงประสงค์จะชำระบัญชีแค้นของจักจั่นทองที่ทำร้ายร่างจำแลงของเทพน้อย โปรดประทานอภัยที่มารบกวนฝ่าบาทในวันนี้ด้วยเถิด ราชามังกร เทพน้อยขออำลา”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วจากไป พร้อมด้วยใบหน้าที่บ่งบอกชัดถึงความไม่พอใจ
“นี่…”
ราชามังกรทะเลประจิมไร้ทางเลือกอื่น เขาทำได้เพียงนั่งบนบัลลังก์และทอดถอนหายใจเบาๆ ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ในเวลาเดียวกัน ในมุมหนึ่งของวังมังกรทะเลประจิม มีทหารมังกรเซียนวารีเฝ้าจ้องมองไปที่ด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วขณะที่หลี่ฉางโซ่วจากไป ดวงตาของเขาฉายแววดุร้ายวาบออกมาในยามนั้น…
เมื่อออกจากวังผลึกแก้วแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ได้พบกับแม่ทัพสวรรค์ทั้งสาม แม่ทัพสวรรค์คนหนึ่งได้เข้ามาและเอ่ยถามว่า “เทพแห่งท้องทะเล ท่านพบร่องรอยของสัตว์ร้ายตัวนั้นหรือไม่ขอรับ?”
“ราชามังกรทะเลประจิมไม่พบอะไรเลย” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางถอนหายใจว่า “ข้าขออภัยที่รบกวนพวกเจ้าทั้งสามคนให้ช่วยเดินทางตามมาด้วย เดิมทีข้าคิดว่าวังมังกรจะจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่คิดว่าผลจะเป็นเช่นนี้?”
“อืม…”
แม่ทัพสวรรค์อีกคนกล่าวว่า “เทพแห่งท้องทะเล ในวันนั้น แม่ทัพสวรรค์ผู้นี้ได้ทำร้ายสัตว์ร้ายตัวนั้น และในตอนนี้ นับเป็นโอกาสเหมาะที่จะสร้างหายนะเพื่อย้อนคืนผลกรรมให้เขา!”
“มันมีดีอะไรนักถึงกล้าทำร้ายร่างจำแลงของเทพแห่งท้องทะเลของพวกเรา? ในวันนั้นแม่ทัพสวรรค์ผู้นี้ได้ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัสในพริบตาเดียว วันนี้พวกเราพี่น้องทั้งสามล้วนอยู่ที่นี่ พวกเราต้องสังหารเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ให้ตายได้อย่างแน่นอน! ”
“ถูกต้องแล้ว เจ้าสัตว์ร้ายต่ำช้าตัวนี้ เจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดนัก มันรังแกผู้ที่อ่อนแอ แต่หวาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่งกว่า มันสมควรตายจริงๆ!”
“ได้” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “เช่นนั้น เหตุใดพวกเจ้าทั้งสามไม่ตามข้าไปยังสถานที่ที่ข้าเคยพบสัตว์ร้ายตัวนั้นเพื่อดูว่า จะหาเบาะแสพบหรือไม่?”
……
แล้วสามวันก็ผ่านไปอย่างสงบสุข
เวลานี้ พวกเขาทั้งสี่คนได้ขี่เมฆออกจากวังมังกรทะเลประจิม และเดินทางไปไกลได้นับพันลี้
เหยื่อติดเบ็ดหรือไม่?
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดในใจและใช้สัมผัสเซียนรับรู้เพื่อเฝ้าสังเกตสภาพแวดล้อมรอบกายของเขา
จู่ๆ เสียงของปู่ใหญ่เจดีย์ก็ดังขึ้นในใจของเขา
‘เด็กน้อย เจ้ากำลังถูกจับตามองแล้ว มันคือสัตว์ร้ายที่เจ้ากำลังตามหา? มันมีปีกสามคู่ ร่างอาบย้อมด้วยสีทองแวววาว มันกำลังตามหลังมา หลังจากแปลงร่าง เขามีรูปงามมากทีเดียว’
หลี่ฉางโซ่วตกตะลึง แม้เขาจะตรวจหาไม่พบร่องรอยของจินฉานจื่อ แต่สมบัติวิญญาณของจอมปราชญ์ก็ย่อมไม่กล่าวคำลวง จักจั่นสีทองตัวนี้ช่างกล้าหาญจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังแทบจะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อ “วิธีการยั่วยุ” เลย… หลี่ฉางโซ่วจึงเดินตามแผนต่อไปอย่างไม่รีบร้อน
ในเวลานี้ เขาและแม่ทัพสวรรค์ทั้งสามมาถึงบริเวณทะเล ซึ่งเขาเคยพบจินฉานจื่อก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว จากนั้น พวกเขาก็ค้นหาที่นั่นอย่างละเอียดถี่ถ้วน…
ทว่าการค้นหานั้น ก็ไร้ผล
และเป็นไปตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดไว้ จินฉานจื่อไม่ได้ปรากฏตัวตรงๆ เขายังคงซ่อนตัวอยู่ในที่ลับและดูเหมือนว่าจะลังเลใจ จากนั้นเขาก็สุมไฟเพิ่มไปอีกสองกอง[1]
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งสามคน หากพวกเจ้ายังค้นหาต่อไปเช่นนี้ มันก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร ก่อนหน้านี้ เขาเคยกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมากที่นี่ แต่ตอนนี้ ยากจะหากลิ่นอายลมปราณของเขาได้แล้ว”
แม่ทัพสวรรค์ถามว่า “เทพแห่งท้องทะเล แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีเล่า?”
“ข้าวางแผนจะไปที่ภูเขาวิญญาณในดินแดนเทวะประจิม และถามถึงเรื่องนี้กับสำนักบำเพ็ญประจิม” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “สำนักบำเพ็ญประจิมกำลังต่อสู้กับศาลสวรรค์เพื่อแย่งชิงเผ่ามังกร จักจั่นทองตัวนี้โจมตีข้าโดยตรง มันเอาแต่ใจเกินไป เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ยังคงเป็นศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ข้าอยากถามคนของสำนักบำเพ็ญประจิมว่า สัตว์ร้ายที่พวกเขาเลี้ยงดูเอาไว้รู้มารยาทหรือไม่!”
สัตว์ร้ายที่พวกเขาเลี้ยงหรือ?
ที่ก้นทะเล ในรอยแยกมิติหนึ่ง นักพรตเต๋าหนุ่มที่มีใบหน้างดงาม เส้นเลือดบนหลังมือของเขาปูดโปนออกมา มุมปากของเขากระตุกไม่หยุด และดวงตาของเขาก็ฉายประกายดุร้ายคมชัดยิ่งขึ้น!
ในขณะนั้น บนพื้นผิวของทะเล หลี่ฉางโซ่วและแม่ทัพสวรรค์ทั้งสามขี่เมฆและมุ่งหน้า ตรงไปยังดินแดนเทวะประจิม
ในรอยแยกพื้นที่มิตินั้น จินฉานจื่อมีสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้ง แม้จะเดือดดาล แต่เขาก็ยังชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียได้
หากเขาปล่อยให้พวกของเทพแห่งท้องทะเลไปสร้างปัญหาที่ภูเขาวิญญาณ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา?
ทว่าขณะที่กำลังคิด จินฉานจื่อก็แอบติดตามพวกเขาไปโดยไม่รู้ตัวแล้วโดยไม่ห่วงว่าจะถูกเปิดเผย
แน่นอนว่า จินฉานจื่อย่อมรู้ดีว่า เทพแห่งท้องทะเลที่เขาเห็นในตอนนี้ ยังคงเป็นจำแลง องเทพแห่งท้องทะเล หาใช่ร่างหลักไม่ มิฉะนั้น เขาคงสังหารอีกฝ่ายไปอย่างไม่ลังเลแล้ว…และในยามนั้น แม่ทัพสวรรค์ทั้งสามไม่ได้อยู่ในสายตาของจินฉานจื่อ
หลังจากนั้นไม่นาน จินฉานจื่อก็ตัดสินใจได้ ข้าปล่อยให้พวกเขาไปที่ภูเขาวิญญาณไม่ได้ ต่อให้มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อข้า แต่ข้าก็กลัวว่า รองปรมาจารย์นิกายจะตำหนิข้าว่าไร้ความสามารถและส่งผลกระทบต่อเรื่องการเป็นศิษย์ของข้าได้ ทันใดนั้น ดวงตาของจินฉานจื่อก็เปล่งประกายแสงดุร้ายออกมา
ในขณะเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกปวดศีรษะ…
ชั่วเวลานั้น ปรมาจารย์เจดีย์ซึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ในร่างเต๋าของเขา กำลังใช้ทักษะดั้งเดิมของสมบัติวิญญาณล้ำค่าแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน…
เขากำลังบ่นจู้จี้ว่า “เหตุใดต้องหลบซ่อน? หันหลังกลับไปต่อสู้สิ มีปู่ใหญ่อยู่ใกล้ๆ นี่ แล้วเจ้าจะกลัวอะไร” “นี่เป็นเพียงสัตว์ร้ายในขอบเขตเซียนต้าหลัวจิน ไม่ถือว่าเป็นกึ่งปราชญ์ด้วยซ้ำ แล้วเขาจะทำร้ายแม้แต่ผมเส้นเดียวของเจ้าได้อย่างไร” “ลองคิดดูสิ ในอดีต จักรพรรดิปีศาจก็ถือได้ว่าเป็นผู้เป็นเอกชั้นยอด เช่นกัน ข้ายังปกป้องปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ และไม่สิ ข้ายังยั่วยุจักรพรรดิปีศาจให้เดือดดาลจนถึงขนาดที่ไม่อาจตอบโต้ได้อีกด้วยไม่ใช่หรือ?” “เจ้ามาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เข้าใจหรือไม่?”
จากนั้น…
ในความมืด หลี่ฉางโซ่วได้พยายามรักษารอยยิ้มของเขาเอาไว้อย่างดีที่สุดและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะไม่ได้รับผลกระทบจากเจดีย์ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การถูกเจดีย์ดุเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่คนอื่นจะอดอิจฉาไม่ได้…
หลี่ฉางโซ่วอดจะจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์นั้นไม่ได้
ในช่วงมหาสงครามโบราณ เจดีย์เสวียนหวงได้อยู่บนศีรษะของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู และเขายังมีแผนภาพไท่จี๋คอยช่วยเหลือเขาอีกด้วย เขาถือไม้เฉียนคุน และเหยียบบนเบาะทำสมาธิไฟวายุ พุ่งเข้าไปต่อสู้กับจักรพรรดิปีศาจจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์ยันปฐพี
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ในใจของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่… เจดีย์เสวียนหวงกล่าวว่า “ฆ่าเขา! เอามันลงนรกไปเลย! โคจรหยิน-หยาง! เปิดตัวเร็วเข้า! เปิดตัว! เจ้าศิษย์คนโต เจ้าทำได้หรือไม่!”
จากนั้น แผนภาพไท่จี๋ก็กล่าวว่า “ไม่ต้องไว้หน้าเขาเลย! ตีระฆังจักรพรรดิบูรพา! หากระฆังใบเล็กนี้ไม่ติดตามพี่ชายและน้องรองของเขาไป แค่ช่วยจักรพรรดิปีศาจ แล้วมันจะน่าประทับใจได้อย่างไรกัน?”
ส่วนไม้เฉียนคุนก็กล่าวว่า “ข้าไม่ใช่สมบัติ แต่ข้าก็ยังเคลื่อนย้ายเขาได้”
และเบาะทำสมาธิไฟวายุก็กล่าวว่า “เขากำลังติดตามพี่ใหญ่สองสามคนไป เหมาะมาก” ลูกกระเดือกของหลี่ฉางโซ่วกระดกขึ้น ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่สามารถทนดูมันได้ แล้วรีบลบภาพในหัวเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกครอบงำ
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปู่ใหญ่เจดีย์ร้องตะโกนอีกครั้ง “เขากำลังมา เขากำลังจะโจมตีแล้ว รีบหันกลับไป เอามันให้ตายไปเลย!”
………………………………………………………………..
[1] ป่วนมากกว่าเดิม ทำให้วุ่นวายมากกว่าเดิม หรือยั่วโทสะมากกว่าเดิม