ตอนที่ 480 เทพแห่งท้องทะเล ท่านขาดศิษย์หญิงหรือไม่? (2)
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วและโหย่วฉินเสวียนหย่าก็เดินเล่นกันในป่าด้านนอกหอโอสถ ในขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็อธิบายถึงสถานการณ์ทั่วไปของจิตมาร
ความจริงแล้ว นางไม่อยากโกหก นางจึงกล้ำกลืนฝืนข่มความอับอายและความลำบากใจก่อนจะเล่าให้เขาฟังว่านางฝึกฝนอย่างมีความสุขกับ “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” ที่กลายร่างมาจากจิตมารได้อย่างไร
ช่างบริสุทธิ์และไร้เดียงสายิ่ง
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” โหย่วฉินเสวียนหย่าหันไปมองรูปกายทางด้านข้างของหลี่ฉางโซ่วและถามเบาๆ ว่า “มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ จิตมารเคยกระทำหยาบคายกับข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันก้าวออกไปข้างหน้า แล้ว…”
“ไม่ต้องอธิบายรายละเอียดหรอก!”
หลี่ฉางโซ่วขัดจังหวะโหย่วฉินเสวียนหย่าพลางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าพอเข้าใจปัญหาคร่าวๆ ชีวิตการฝึกบำเพ็ญคู่ที่เจ้าปรารถนานั้นคือ การฝึกบำเพ็ญร่วมกันและพูดคุย หารือกันในเรื่องนี้ พวกเจ้าสองคนจะท่องไปทั่วหล้า บรรเลงพิณ เป่าขลุ่ย และก้าวไปบนวิถีแห่งความเป็นอมตะด้วยกัน นี่คือ สิ่งที่ผู้ฝึกบำเพ็ญหลายคนคิดถึงคู่บำเพ็ญเต๋า มันเงียบและสง่างาม ซึ่งไม่เลวเลย”
โหย่วฉินเสวียนหย่ากะพริบตาและกระซิบว่า “ศิษย์พี่ เสวียนหย่าไม่ได้ถามเรื่องนั้น…”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้น แล้วอย่างไรหรือ?”
“อืม…”
โหย่วฉินเสวียนหย่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเม้มปากและเลิกคิ้วในขณะที่สายลมสดชื่นโชยอ่อนๆ พัดผ่านป่ามา จากนั้น นางก็กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ ข้าถามท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์กล่าวว่า แท้จริงแล้ว จิตมารภายในนั้น เป็นความลุ่มหลงของข้าเอง เสวียนหย่าต้องถามใจตัวเองเช่นกัน แต่ก็ยังสับสนอยู่เล็กน้อย จึงมาหาศิษย์พี่เพื่อค้นหาคำตอบเจ้าค่ะ”
“ได้สิ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องหญิง เจ้าว่ามาเถิด หากข้าให้คำตอบกับเจ้าได้ ข้าย่อมจะให้คำตอบนั้นแก่เจ้าแน่นอน”
“เช่นนั้น…อืม…”
โหย่วฉินเสวียนหย่าพึมพำเบาๆ นางลดมือลงและประสานนิ้วของนางเอาไว้ด้านหน้า
ตอนนี้ในใจของนางมีกวางน้อยกระโดดไปรอบๆ และหลังจากนั้นไม่นาน นางก็กล่าวออกมาเพียงไม่กี่คำ
หลี่ฉางโซ่วรอคอยอย่างอดทน และในที่สุดก็ได้ยินโหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว… บางที เสวียนหย่าอาจมี … ความคิดต่อท่านแตกต่างจากคู่บำเพ็ญเต๋า … ”
หลี่ฉางโซ่วอดจะเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้
หรือว่านางใช้การกระทำของจิตมารภายในที่ยื่น ‘กรงเล็บของอันลู่ซาน[1]’ ออกมาตามความลุ่มหลงในตัวนาง? นั่นเป็นเรื่องที่มีเหตุผล ทว่า นั่นก็เป็นเพียง แค่กๆ นั่นเป็นเพียงวิธีการรุนแรงที่หลี่ฉางโซ่วเคยใช้เพื่อทำให้นางหวาดกลัว
ยิ่งไปกว่านั้น ในดินแดนจิตมาร เขาก็เพียงแค่แสดงท่าทาง แต่ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปจริงๆ!
แล้วข้าควรทำอย่างไรดี…
ข้าควรเกลี้ยกล่อมนางเหมือนนางยังเยาว์วัยแล้วบอกนางดีหรือไม่ว่า คิดเช่นนั้นมันไม่ถูกต้อง? ข้าควรบอกนางดีหรือไม่ว่า คิดแบบนี้มันไม่บริสุทธิ์ แล้วปล่อยให้นางโทษตัวเองและรู้สึกผิด?
นั่นมันไร้เหตุผลและไร้จริยธรรมเกินไปหรือ
หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญคำพูดของเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นพลางเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง แล้วมองลอดผ่านช่องว่างในป่า ตรงไปที่เมฆสีขาวบนท้องฟ้า
จากนั้น เขาก็กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ศิษย์น้องหญิง ก่อนที่พวกเราจะมาฝึกบำเพ็ญกัน พวกเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่อ่อนแอ พวกเขาต้องสืบพันธุ์เพื่อรักษาความมั่นคงของเผ่าพันธุ์และขยายสายโลหิต ดังนั้นบางสิ่งจึงได้ถูกผูกมัดในสายโลหิตรวมถึงการสืบพันธุ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความคิดที่ปรากฏขึ้นในใจของเจ้านั้น เป็นเรื่องปกติมาก หากเซียนจินมีหัวใจแล้ว เช่นนั้น เขาหรือนางจะไร้ความปรารถนาไปได้อย่างไรกัน? ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกอายและรู้สึกว่าเจ้าไม่บริสุทธิ์พอ ความปรารถนา อารมณ์ และความรู้สึก ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า และการเรียนรู้ที่จะควบคุม เผชิญหน้า และเอาชนะพวกมัน ก็เป็นหนึ่งในวิถีแห่งการฝึกบำเพ็ญเช่นกัน”
โหย่วฉินเสวียนหย่าคิดลึกซึ้ง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
บัดนี้ ปมในใจของนางได้รับการคลี่คลายลงอย่างแท้จริงแล้ว
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและพูดว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์น้องหญิง ความคิดของเจ้านั้นธรรมดาเรียบง่ายจริงๆ ข้าขอยกตัวอย่างสักหน่อย เจ้ารู้รายละเอียดในการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้มีบุตรของคู่สามีภรรยาว่าเป็นอย่างอย่างไรหรือไม่”
โหย่วฉินเสวียนหย่าตอบทันทีว่า “ข้าเคยอ่านเรื่องนี้ในตำรา ว่ากันว่า หยินและหยางควรมีสัมพันธ์กันเพื่อให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต ทั้งสองจะนั่งหันหน้าเข้าหากันและวางทาบฝ่ามือเอาไว้ด้วยกัน ทั้งสองจะโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์และพลังเซียนโดยมีพลังปราณหยินและหยางนำทาง จากนั้นก็จะสร้างลมปราณแห่งชีวิตขึ้นมาก่อนจะส่งกลับไปที่ท้องของสตรี”
ทันใดนั้น ก็มีเครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นมาบนหน้าผากของหลี่ฉางโซ่วขณะที่เขากล่าวว่า “ผู้ใดสอนเรื่องนี้ให้เจ้าหรือ? มันไม่ถูกต้อง”
โหย่วฉินเสวียนหย่ากะพริบตาอย่างสับสน นางโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่ว แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า
“เช่นนั้น ขอศิษย์พี่ฉางโซ่ว โปรดสั่งสอนข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
“ข้าจะสอนเจ้าเอง!”
หลี่ฉางโซ่วอดจะหน้าแดงไม่ได้ขณะรีบกล่าวว่า “เจ้าควรถามเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ของเจ้าหรือถามพวกหลิงเอ๋อร์ และอาจารย์อาจิ่วจิ่ว
ข้าและเจ้า ชายหญิงล้วนแตกต่าง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะสอนกันได้ง่ายๆ”
โหย่วฉินเสวียนหย่าทำอะไรไม่ถูก นางได้แต่รู้สึกงงงวยมากยิ่งขึ้นในขณะที่หลี่ฉางโซ่วเริ่มเปลี่ยนหัวข้อและพูดคุยถึงเรื่อง “ปลายทางการสำเร็จการศึกษา” ของสหายศิษย์ในช่วงเวลาเดียวกันของเขา
ในยามนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่าเป็นหัวหน้าศิษย์ของสำนักตู้เซียน แน่นอนว่า นางย่อมให้ความสนใจในเรื่องนั้น จึงถูกหลี่ฉางโซ่วทำให้ไขว้เขวแล้วเบี่ยงเบนความสนใจไปได้ง่ายๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา นางก็กลับไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ด้วยความสงสัย
หลี่ฉางโซ่วปาดเหงื่อออกจากหน้าผากพลางถอนหายใจในใจ เขารู้สึกว่าเขาควรส่งบันทึกเสนอแนะถึงองค์เง็กเซียนเพื่อขอให้เขาสร้างบทเรียนเรื่องการสืบพันธุ์ในโลกบรรพกาล
บางที น่าจะได้บุญจากเรื่องนี้มากทีเดียว…
“ประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันแล้วนั่งขัดสมาธิ เชอะ เจ้าคิดเรื่องนั้นจริงๆ”
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ส่ายศีรษะ แล้วลอยกลับไปที่หอโอสถ
ย้อนกลับไปในเวลานั้น เมื่อบรรพชนเต๋าได้ก่อตั้งศาลสวรรค์และจอมปราชญ์เทพสร้างสวรรค์และปฐพี เทพีหนี่วาได้ใช้สมบัติวิญญาณเซียนเทียนคือ ซิ่วฉิว ซึ่งเป็นลูกทรงกลมแพรปักสีแดง เพื่อจัดการเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานและสร้างการแต่งงานแห่งสวรรค์และปฐพีสามครั้ง และมนุษย์ขึ้น
การแต่งงานแห่งสวรรค์และปฐพีหมายถึง การแต่งงานระหว่างองค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่ คู่ศิษย์พี่ศิษย์น้อง ซึ่งเป็นตัวอย่างสำหรับการแต่งงานของสามอาณาจักร ทว่าเนื่องจากศาลสวรรค์ค่อนข้างอ่อนแอ จึงไม่ส่งผลต่อพวกเขามากนัก และพวกเขาได้เขียนแม่แบบการแต่งงานลงในเต๋าสวรรค์
หลังจากนั้นเผ่าพันธุ์ต่างๆ ก็ตัดสินใจเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติในการแต่งงาน
ต่างกับสมัยโบราณที่พวกเผ่าจอมเวทและเผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่อาศัยการรวมตัวกันของเผ่าเพื่อพบปะและจับคู่กัน ในเวลานั้น ประเพณีคือ สตรีจะปล่อยการโจมตีฉับพลันใส่บุรุษที่พวกนางชมชอบจนฝ่ายบุรุษสลบหมดสติ แล้วจึงพากลับเข้าไปที่กระโจม
เมื่อหลี่ฉางโซ่วอ่านเรื่องประเพณีเช่นนี้ในตำราโบราณ เขาก็อดจะจินตนาการไม่ได้
หากสตรีในเผ่าหนึ่ง ต่อสู้เพื่อแย่งชิงบุรุษรูปงาม แล้วศีรษะของบุรุษผู้นั้น จะไม่ถูกทุบด้วยไม้หรือ?
อา โลกบรรพกาล…
ไม่ใช่เพียงแค่สตรี แต่บุรุษก็ต้องปกป้องตัวเองเช่นกัน
หลังจากส่งโหย่วฉินเสวียนหย่าจากไปแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รอครึ่งวันจนอาทิตย์อัสดงและจันทรากำลังจะปรากฏเหนือทะเลเมฆ แม่ทัพตงมู่ก็มาถึงพร้อมกับทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่ง
เมื่อพบหลี่ฉางโซ่วแล้ว แม่ทัพตงมู่ก็พูดคุยด้วยเล็กน้อยแล้วหยิบถุงเก็บสมบัติสองใบออกมา
“มีผลท้อคุณภาพดีที่สุดทั้งหมดสามร้อยลูก” แม่ทัพตงมู่ยิ้มพลางกล่าวว่า “สำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยจะได้รับอย่างละหนึ่งร้อย และสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก็จะได้รับหนึ่งร้อยลูกเช่นกัน พระแม่หวังหมู่ทรงเป็นผู้ตัดสินในเรื่องนี้”
เมื่อได้ยินหลังเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กะพริบตาและเข้าใจในทันทีว่า นางหมายถึงอะไร
ผู้ใดมาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน?
นอกจากจอมปราชญ์เทพแล้ว ก็ไม่ใช่เพียงมีข้าและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นหรือ?
เช่นนั้นแล้ว ผลท้อหนึ่งร้อยลูกนั้น ย่อมเป็นของหลี่ฉางโซ่วอย่างชัดเจน!
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจ แต่ภายนอก เขายังคงดูสงบนิ่งอยู่ เขาเก็บผลท้อเซียนเอาไว้และกล่าวว่า “แม่ทัพตงมู่ ท่านมีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่? ข้าจะไปเกาะเต่าทองในเช้าวันรุ่งขึ้น”
“อืม…” แม่ทัพตงมู่หันไปมองที่ประตูที่พำนักของเทพแห่งท้องทะเล แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “มีปัญหาเล็กน้อย ทว่านอกจากนี้ยังถือได้ว่า เป็นการได้รับความไว้วางใจจากพระแม่หวังหมู่ เทพแห่งท้องทะเล ท่านขาดศิษย์หรือไม่? ข้าไม่ได้หมายถึงศิษย์ที่ฝึกฝนและได้รับการถ่ายทอดเต๋า แต่ข้าหมายถึงศิษย์ที่เรียนรู้จะใช้สติปัญญาในการคิดวางกลอุบายและแผนกลยุทธ์ ซึ่งจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน หากท่านขาดศิษย์ ขอเพียงออกปากบอกข้าสักคำ แล้วข้าจะส่งไปให้ทันที”
หลี่ฉางโซ่วอดจะขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ เขากระซิบว่า “เป็นผู้ใดกันที่สามารถทำให้พระแม่หวังหมู่ช่วยเหลือเช่นนี้ได้”
แม่ทัพตงมู่ส่งข้อความเสียงว่า “เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่รักดังดวงใจของฝ่าบาท เป็นลูกรักดุจไข่มุกล้ำค่าบนฝ่ามือขององค์ราชินี ทว่าไม่เคยมีการประกาศออกไปให้ผู้คนรับรู้ … ”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวว่า “แล้วฝ่าบาทตรัสถึงเรื่องนี้อย่างไรหรือ?”
“เรื่องนี้ได้รับคำแนะนำจากฝ่าบาท”
“ไม่เป็นไร” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้น ข้าจะขัดพระบัญชาของฝ่าบาทไปได้อย่างไร? องค์ชายผู้นี้อยู่ที่ใดกัน? ข้าจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย”
“เขารออยู่ข้างนอก” แม่ทัพตงมู่หันกลับมาและกล่าวขณะที่หันหน้าไปทางประตู “ฝ่าบาทหลงจี๋ เสด็จเข้ามาได้แล้ว เทพแห่งท้องทะเลยอมรับแล้ว ฝ่าบาท!”
………………………………………………………………..
[1] หมายถึงตัณหาราคะ มาจากอันลู่ซานที่มีความสัมพันธ์กับสนมหยางกุ้ยเฟย และครั้งหนึ่งเคยใช้กรงเล็บของเขากับหน้าอกของสนมหยางกุ้ยเฟย จึงนำไปสู่ความหมายตัณหาราคะ