ตอนที่ 526 เป็นเจ้า หลี่! (2)
เมื่อศาลปีศาจอยู่ในช่วงรุ่งเรืองสูงสุด แน่นอนว่า มันย่อมไม่ขาดแคลนบุญ และตำราเจ็ดลูกศรหัวตะปูก็ยังเป็นลูกศรลับซ่อนอยู่ ซึ่งแขวนเอาไว้อยู่เหนือหัวของเหล่าปีศาจ
ทว่าสำหรับนักพรตเต๋าชรา ผู้ซึ่งเป็นนักพรตเต๋าลู่หยาเช่นกัน ตำราเล่มนั้น…
มันเป็นเพียงความทรงจำเอาไว้ให้ระลึกถึงเท่านั้น
เมื่อเขาสามารถใช้เวทอาคมเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ เขาย่อมไม่ต้องการใช้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ทว่าหากสู้ด้วยเวทอาคมแล้วแพ้พ่าย ทั้งยังไร้บุญและโชคมากนัก พวกเขาก็จะทำได้เพียงสาปแช่งปรมาจารย์ผู้นั้นให้สิ้นลมไปได้เท่านั้น ซึ่งนั่นก็ย่อมเท่ากับการเผาหยกผลาญศิลา[1]ไปพร้อมๆ กัน
ในตอนแรก เมื่อเขาแน่ใจได้ว่า มันไม่ใช่สิ่งของที่เป็นเหตุให้เกิดโชคร้าย นักพรตเต๋าลู่หยาก็ยิ่งงงงวยมากขึ้นไปอีก
จนกระทั่งถึงวันนี้ อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น ฐานเต๋าของเขาใกล้จะพังทลาย และสถานการณ์ของเขาก็ยังยิ่งน่าสลดใจมากขึ้นไปอีก…
หรือว่าสวรรค์ต้องการให้ข้าตาย?
นักพรตเต๋าลู่หยาเงยหน้าขึ้นมองแผ่นฟ้าและเห็นหลังคาที่ฉีกขาดรุ่งริ่งของห้องโถงและท้องฟ้าที่เกิดจากเปลวไฟภายนอก
เขาฝืนยิ้มขื่นและลุกขึ้นยืนตัวสั่น จากนั้นก็หยิบน้ำเต้าใหญ่ที่อยู่ข้างกายขึ้นสะพายไว้บนหลังก่อนจะเดินค้อมกายโซเซตรงไปทางส่วนลึกของห้องโถงนี้
เขาไปได้เพียงระยะไม่กี่สิบจั้งเท่านั้นก็ล้มลงและกระอักเลือดออกมาสองสามครั้ง จิตมารในใจของเขากำลังเคลื่อนไหว และราวกับว่าเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดของเขาจะถูกคนดึงไปจนหมดสิ้น
หลังจากนั้น นักพรตเต๋าชราก็ไปที่มุมหนึ่งของห้องโถง แล้วฝืนปล่อยเสี้ยวพลังเซียนออกไปเพื่อเปิดใช้งานค่ายกลเวทที่นั่นและพุ่งตัวกระโดดเข้าไปภายในนั้น
ในช่วงเวลาต่อมา เขาก็หายตัวไปก่อนจะไปปรากฏตัวอีกครั้งในแกนกลางแห่งดวงสุริยา
ทันใดนั้นค่ายกลเวทนี้ก็เกิดการทำงานผิดปกติไปอย่างกะทันหัน และในพริบตานั้น…
มันก็เกิดลุกไหม้
ในแกนกลางของดวงดาวนั้น มีตำหนักเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในเปลวเพลิงแท้สีรุ้งแห่งดวงสุริยา
ร่างของนักพรตเต๋าลู่หยาล้มลงที่หน้าตำหนัก ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็โอบล้อมร่างเขา แล้วกลายเป็นอีกาทองคำสามขาก่อนจะกลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดเสื้อคลุมไหมปัก จากนั้น เขาก็ลากน้ำเต้าขนาดใหญ่และเดินโซเซเข้าไปในตำหนัก
ภายในตำหนักนั้นว่างเปล่า มีเพียงโลงศพผลึกแก้วที่ถูกวางไว้เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่ามีน้ำพุร้อนอยู่ข้างนอกในขณะที่มีความเย็นเล็กน้อยซึ่งคล้ายกับแกนกลางของดวงจันทร์
ที่ด้านนอกนี้ เห็นได้ชัดว่า มันเป็นน้ำพุร้อนแห่งสวรรค์และปฐพี แต่ที่นี่กลับล้อมรอบไปด้วยรัศมีเยือกเย็นที่คล้ายกับแกนกลางแห่งดวงจันทรา
รัศมีแห่งความหนาวเย็นนี้ห่อหุ้มโลงศพผลึกแก้วนั้นเอาไว้ ซึ่งมีสตรีโฉมงามในชุดขาวนอนอยู่ภายในโลงศพผลึกแก้วนั้น
ดูเหมือนว่านางจะหลับใหลและยังคงแผ่พลังสะกดข่มบางเบาออกมา
ในขณะนั้น ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมเดินสามก้าวไปหาสตรีสาว เขางอขาแล้วคุกเข่าลงพลางสูดลมหายใจเข้าลึกและกล่าวอย่างเศร้าใจว่า “พระมารดา… โปรดบอกลูกทีเถิดว่าลูกทำผิดอะไรอีกแล้ว สวรรค์จึงอยากให้ลูกตายเช่นนี้…”
สตรีผู้นั้นเป็นเพียงซากศพ นางไร้วิญญาณและจิตวิญญาณใดๆ และแน่นอนว่า นางย่อมไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เช่นกัน
ลู่หยายิ้มขื่น ครั้นเมื่อตระหนักได้ว่าอาการบาดเจ็บของเขากำลังจะกำเริบ เขาก็ลุกขึ้นยืนและค่อยๆ เดินไปที่ด้านข้างของโลงศพผลึกแก้วก่อนจะนั่งลงพิงร่างกับพระมารดาของเขา
ในยามนั้น เขาค่อยๆ หลับตาลง ร่างของเขาเต็มไปด้วยถ้อยคำที่น่าสลดใจในขณะที่เขาส่งเสียงร้องเพลงพื้นเมืองออกมาเบาๆ…
“จากสถานที่ที่สุริยาผงาดฟ้า ข้าได้แหวกว่ายไปทั่วแผ่นนภา… และกลับมายังสถานที่ที่สุริยาอัสดง อาบน้ำในหุบเหวหอมหวาน…”
“เฮ้อ”
จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากทางด้านข้าง นักพรตเต๋าลู่หยาพลันตกตะลึง ใจสั่นสะท้านและพึมพำคำว่า “องค์ราชินี” ออกมา ทันใดนั้น ร่างเงาสีขาวก็แวบผ่าน และร่างของลู่หยาก็ได้หายไปแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้น ในหุบเขาตรงพรมแดนระหว่างดินแดนเทวะทักษิณและดินแดนเทวะบูรพา เสือดำซึ่งกำลังพาภรรยาของเขาไป “สวดอธิษฐานในยามว่าง” จู่ๆ มันก็ร้องคำรามออกมากะทันหัน มันกลอกตาแล้วทรุดร่างลงช้าๆ ในขณะที่ถ้อยคำต่างๆ บนป้ายไม้ที่มีชื่อนักพรตเต๋าลู่หยา’ ได้หายไป
“สามี! สามี เกิดอันใดขึ้น!?!”
ทันใดนั้น ปีศาจวารี เหมียวเหมี่ยวรีบร้องตะโกนอย่างตื่นตกใจ
ระดับฐานพลังของนางต่ำ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางไม่อาจมองเห็นพลังวิญญาณสีดำที่ปรากฏอยู่เหนือหัวเสือดำได้ ในขณะนั้น พลังวิญญาณที่ปรากฏออกมา กำลังสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว และเสี้ยวพลังลึกลับแห่งเต๋าสวรรค์ก็กลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น
ในชั่วพริบตานั้น พลังวิญญาณที่ปรากฏออกมา ก็มีขนาดเหลือเพียงหนึ่งในสิบของขนาดเดิมเท่านั้น…
หลี่ฉางโซ่วซึ่งซ่อนตัวอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ได้ประจักษ์ตาภาพเหตุการณ์นั้น
วิญญาณปีศาจของเสือดำสั่นเทาและหมดสติไปเอง แต่มันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
พลังวิญญาณที่ปรากฏออกมานี้คืออะไร?
เป็นการสะท้อนกลับอย่างรุนแรงหรือไม่?
ในหอสมบัติหลิงเซียวแห่งศาลสวรรค์ หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อยและยังคงคิดต่อไปว่า หรือปรมาจารย์เต๋าสวรรค์จะรู้สึกว่าสหายผู้นี้เป็นตัวพิษภัยมากเกินไป จึงทำให้เขาอ่อนแอลงอย่างรุนแรง?
หรือว่าโชคของลู่หยาจะแข็งแกร่งมากเกินไปจนเสือดำไม่อาจจัดการเขาได้?
พลังวิญญาณสีดำที่ปรากฏอยู่ได้สลายไปนั้น บ่งบอกว่าพิษภัยของเสือดำได้อ่อนลงแล้ว…
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเผาตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ปรากฏต่อหน้าเสือดำ จากนั้นเขาก็เพิ่มตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์อีกตัวหนึ่งเพื่อ “คอยเฝ้าสังเกตการณ์” มัน
ไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร มันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเทพวารีน้อยแห่งศาลสวรรค์
“ฉางเกิง”
บนบัลลังก์ของหอสมบัติหลิงเซียว องค์เง็กเซียนในชุดสีขาวลืมตาขึ้นพลางคลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าส่งคนกลับไปแล้ว ข้าเห็นว่าในข้อเสนอแนะของฉางเกิงที่กล่าวถึงว่า แดนยมโลกสามารถอยู่ภายใต้การปกครองของศาลสวรรค์และเป็นลำดับของสามอาณาจักร เรื่องนี้ควรดำเนินการอย่างไร?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เผ่ามังกรมีราชามังกร และแดนยมโลกก็มีจ้าวแห่งแดนยมโลก เมื่อถึงเวลาเหมาะสม ย่อมสมควรจะพระราชทานอวยยศให้ต้าเต๋อโฮ่วถู่ได้ แม้แดนยมโลกจะไม่ขาดแคลนบุญ แต่แดนยมโลกก็มีบางสิ่งที่ยังต้องใส่ใจคำนึงถึงด้วยเช่นกัน”
“โอ้?”
องค์เง็กเซียนสนใจทันที “ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ทำการบ้านมามากพอแล้ว หากจะกล่าวให้ละเอียดแล้ว ขุนนางฉางเกิง อันที่จริง เมื่อเทียบกับการจัดการกับปีศาจที่เหลืออยู่ในศาลปีศาจ งานที่สำคัญกว่าคือ การฟื้นฟูศาลสวรรค์!”
หลี่ฉางโซ่วทำการคารวะเต๋า และพิจารณาคำพูดของเขาให้รอบคอบก่อนจะกล่าวด้วยเหตุผลออกมาอย่างฉะฉานมั่นใจ
นอกจากนี้เขายังต้องเริ่มจากเครื่องปรุงรสชุดเล็กๆ แค่กๆ และจากเผ่าเวทแห่งดินแดนเทวะอุดรอีกด้วย!
ผลลัพธ์ของการหารือขั้นสุดท้ายในเรื่องนี้นั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดหวังไว้ บัดนี้ เขากลายเป็นผู้อำนวยการบริหารของงานแสดงยิ่งใหญ่เรื่องต่อไปพร้อมกับได้รับสารแต่งตั้งจากองค์เง็กเซียน
ขณะนี้ มีบุญมหาศาลอีกอย่างหนึ่งกำลังโบกมือไหวๆ ให้เขาตรงหน้า ดูเหมือนจะตะโกนว่า “มาเถิด ท่านเซียน…”
โชคดีที่องค์เง็กเซียนไม่ได้กำหนดเวลาให้เขา พระองค์ยังทรงแนะนำให้เขาพักผ่อนสักสองสามปีก่อนเพื่อไม่ให้ทุ่มเทกำลังหนักมากเกินไป
หลังจากครุ่นคิดพิจารณาแล้วเห็นควรตามนั้นเช่นกัน หลี่ฉางโซ่วจึงน้อมรับพระบัญชานั้นและกล่าวขอบพระทัยพระองค์
ครึ่งวันต่อมา หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ ลืมตาในห้องลับใต้ดินของยอดเขาหยกน้อยด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยเล็กน้อย
ในช่วงครึ่งวันนั้น เขาดื่มกับจ้าวกงหมิงและหวงหลงเจินเหรินอย่างสำราญใจในขณะที่กำลังพูดคุยกับองค์เง็กเซียนถึงวิธีการนำแดนยมโลกเข้าสู่ศาลสวรรค์ นอกจากนี้ เขายังต้องแบ่งจิตไปสังเกตสภาพของเสือดำเพื่อสรุปว่ามีเกิดอะไรขึ้นกับมัน
………………………………………………………………..
[1] ในที่นี้คือ การต่อสู้จนตัวตายโดยยอมแลกทุกอย่าง ดั่งเอาหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า และทำลายล้างซึ่งกันและกันเปรียบได้กับเอาทองไปลู่กระเบื้องหรือเอาพิมเสนไปแลกเกลือ