บทที่ 538 เทพธิดาติดตามเหตุการณ์ในทะเลประจิม (1)
หลี่ฉางโซ่วมองลงไปที่รูปภาพของเขา แล้วกลายร่างตัวเองให้อยู่ในรูปลักษณ์ของเทพวารีฉางเกิง
ในขณะนั้น เขาได้ยินเสียงพึมพำของหัววัวและหน้าม้าผ่านหมู่เมฆหมอกบนฝ่ามือของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ และได้เรียนรู้ว่า เผ่าเวทในแดนยมโลกนั้น มีการหยั่งรู้สูงมาก และพวกเขาก็ปรารถนาจะเข้าร่วมกับศาลสวรรค์จริงๆ…จนหลี่ฉางโซ่วอดจะจมอยู่ในความวิตกกังวลไม่ได้
นั่นเป็นปฏิบัติการเชิงรุกมากเกินไป
หากแดนยมโลกเป็นดั่งที่หัววัวและหน้าม้ากล่าวจริงๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ต่อต้านศาลสวรรค์เท่านั้น แต่พวกเขายังปรารถนาจะเข้าร่วมกับระบบของศาลสวรรค์ให้รวดเร็วที่สุดอีกด้วย และเมื่อนั้น เขา ผู้เป็นเทพแห่งวารี ก็จะเปลี่ยนจากนักวางแผน ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือเวทที่แดนยมโลกได้ “ติดสินบน” ซื้อตัวมาได้
จากนั้น ธรรมชาติพื้นฐานของเรื่องนี้ย่อมจะเปลี่ยนไป และย่อมง่ายที่จะทำให้องค์เง็กเซียนกังขา
องค์เง็กเซียนมิได้มีนิสัยสบายๆ เป็นอิสระไร้กังวลดุจเดียวกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่…
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาไม่ได้ทุ่มเทพยายามใดๆ เพื่อมีส่วนร่วมในเรื่องแดนยมโลกมากนัก เช่นนั้นแล้ว เต๋าสวรรค์จะมอบผลบุญมหาศาลให้แก่เขาได้ด้วยเหตุใด
ในขณะนั้น เขาเพิ่งสร้างร่างทองแห่งบุญของเขามาได้ยังไม่ถึงครึ่ง เขาไม่อาจสร้างร่างทองที่พิการและปกป้องเฉพาะส่วนสำคัญในระหว่างการต่อสู้ได้ใช่หรือไม่?
แน่นอนว่า นั่นเป็นเพียงเรื่องน่าขบขัน เต๋าสวรรค์ย่อมไม่ยอมให้มีร่างทองแห่งบุญเช่นนี้ ผู้มีร่างทองแห่งบุญ ย่อมมีจุดประสงค์เพื่อบรรลุผลบุญสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน
กล่าวโดยสรุปก็คือ บรรดาขุนนางของศาลสวรรค์ทั้งหมดที่ไม่ได้มุ่งกระทำการที่เป็นบุญ และไม่ได้ใช้ร่างทองแห่งบุญเป็นเป้าหมายนั้น เพียงกำลังเล่นเล่ห์เหลี่ยมโกงหลี่ฉางโซ่ว!
เห็นได้ชัดว่า บทของ “การเข้าสู่ศาลสวรรค์ของเผ่ามังกร” นั้น ไม่เหมาะกับแดนยมโลก และเขาจำเป็นต้องขุดคุ้ยความขัดแย้งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เขาต้องพากเพียรพยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะความยากลำบากทั้งหมดและช่วยให้แดนยมโลกรวมเข้ากับระบบของศาลสวรรค์ เขาต้องช่วยศาลสวรรค์สร้างรากฐานเพื่อควบคุมทั้งสามอาณาจักร
แม้ไร้ปัญหาใดให้หนักใจ แต่หากเมื่อพบความยุ่งยากลำบากนั้นขึ้นมา เขาก็ต้องเผชิญหน้าจัดการปัญหาเหล่านั้นอย่างสวยงาม!
เพียงแค่ในขณะที่เขากำลังคิดถึงวิธีว่าจะจัดการกับเรื่องต่างๆ ในแดนยมโลกอย่างไร จู่ๆ ก็มีกลิ่นหอมจางๆ โชยเข้ามาในจมูกของเขา ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวและมองออกไปยังพื้นที่ด้านนอกห้องโถงด้านใน …
และในเวลาไม่นานนัก กลิ่นหอมลึกลับสุดจะพรรณนาเป็นคำพูดได้นั้น ก็พวยพุ่งเข้ามาพร้อมกับสตรีผู้นั้น
นางเดินเข้ามาพร้อมด้วยเครื่องแต่งกายในชุดกระโปรงยาวสีขาวธรรมดาๆ เท่านั้น แต่กลับดูเข้ากับเรือนร่างของนางได้อย่างเหมาะเจาะอะไรถึงเพียงนี้ นางดูงดงามสุดสง่ายิ่ง แม้ไม่เปิดเผยเรือนกายโค้งเว้าของนาง ทว่าเสน่ห์เทพธิดาของนางก็เหลือล้นทะลักออกมาจนน่าตื่นตะลึง ซึ่งทำให้ผู้คนเพียงแอบถอนหายใจเท่านั้น
นางใช่คนในฝันของข้าหรือไม่?
อวิ๋นเซียวมาถึงแล้ว
หลี่ฉางโซ่วคลี่ยิ้มและโค้งคารวะให้นางในขณะที่อวิ๋นเซียวก็โค้งคำนับคืนกลับให้อย่างมีมารยาทดี
จากนั้นทั้งสองต่างก็มองหน้ากันและกัน ใบหน้าของอวิ๋นเซียว ซึ่งแต่เดิมดูเคร่งขรึมเย็นชา กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีด้วยสัมผัสแห่งความงดงามที่เสริมเข้ามาในขณะนั้นดุจเหมยงามบนกิ่งไม้เย็น[1]
หลี่ฉางโซ่วเริ่มกล่าวออกมาก่อนว่า “เทพธิดาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ที่นี่มิใช่ป่าดอกท้อบานอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อยู่ข้างๆ ข้าเช่นกัน ข้าจึงไม่อาจเรียกขานด้วยชื่อจริงๆ
อวิ๋นเซียวกล่าวว่า “สหายเต๋าสบายดีหรือไม่?”
“ช่วงนี้ไม่มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น มีเพียงการฝึกบำเพ็ญฝนเป็นเวลานานเท่านั้น” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่น
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ห้าร้อยปีนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนข้าไม่รู้สึกถึงกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปเลยจริงๆ”
อวิ๋นเซียวไม่คาดคิดว่า หลี่ฉางโซ่วจะใช้เริ่มล้อนางเล่นในเรื่องนี้ นางเม้มปากและหัวเราะ ในเวลานี้ นางดูไร้ความเยือกเย็นและโดดเดี่ยวอ้างว้างจริงๆ
เมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เห็นเช่นนั้น เขาก็ทำได้เพียงแอบยกนิ้วให้อยู่ลับๆ ด้วยความชื่นชมในใจ
ในขณะนั้น ท่านปู่ใหญ่เจดีย์ ผู้ปกป้องหลี่ฉางโส่ว ก็ตัวสั่นสะท้านและกระซิบอยู่ในใจของหลี่ฉางโซ่วว่า “ศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีของเจ้า เสี่ยวฉางโซ่ว! เจ้าจะนิ่งงัน และหยุดเดินเพียงเมื่อเห็นสตรีได้อย่างไรกัน? นี่เป็นกรรม กรรม!”
เอ๋? ไฉนถึงมีกลิ่นอายคล้ายน้องสาวถังทอง… หือ? นี่คือ เทพธิดาอวิ๋นเซียว? โอ้… สุดยอด น่าทึ่งจริงๆ ฉางโซ่ว นี่เจ้ายังกล้าเกี้ยวพาแม้แต่เทพธิดาอวิ๋นเซียว! เร็วเข้า รีบพาน้องสาวถังทองมาที่สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของเราเลย!”
สมบัติวิญญาณทำได้เพียงถ่ายทอดเจตจำนงวิญญาณเท่านั้น หลี่ฉางโซ่วเข้าใจถ้อยคำที่แท้จริงของปู่ใหญ่เจดีย์ ทว่าปู่ใหญ่เจดีย์ ก็มีแต่ “ถ้อยคำเหลวไหลไร้สาระ” มากกว่า
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วไม่มีเวลาไปยุ่งกับปู่ใหญ่เจดีย์ และหลังจากที่เทพธิดาอวิ๋นเซียวยิ้ม นางก็จงใจเผยสีหน้าท่าทางจริงจังออกมาและกล่าวเบาๆ ว่า “เช่นนั้น ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้ สมมติว่าหากเราไม่ได้พบกันในครั้งนี้ เช่นนั้นแล้วเราก็จะพบกันใหม่ในอีกสี่ร้อยแปดสิบสองปีข้างหน้า?”
หลี่ฉางโซ่วรีบผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญและกล่าวว่า “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ข้าก็จะวางแผนอีกครั้ง เทพธิดา โปรดเข้ามาข้างในเถิด บังเอิญว่า ขณะนี้ ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่… ศิษย์พี่ใหญ่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”
“อืม” อวิ๋นเซียวรับคำ แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อทักทายปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่
อวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ศิษย์พี่เสวียนตู”
เสวียนตูคลี่ยิ้มและตอบกลับว่า “ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นเซียว”
อวิ๋นเซียวไม่เอ่ยวาจาใดอีก และมองไปที่หลี่ฉางโส่ว จากนั้น อวิ๋นเซียวก็กล่าวว่า “ข้าออกมาครั้งนี้เพราะศิษย์พี่เสวียนตู ดูเหมือนว่ามีคนใช้วาจาหมิ่นศิษย์พี่เสวียนตูในดินแดนเทวะทั้ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากำลังบอกว่า เจ้าก็ถูกชี้ว่าเป็นตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ ข้าจึงเป็นห่วงว่า เจ้าจะถูกวางแผนให้ร้าย จึงมาเตือนเจ้าที่นี่”
“นี่…”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “มันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ บางทีอาจมีคนเติมเชื้อไฟ ทว่าศิษย์พี่เสวียนตูก็หาได้ใส่ใจไม่ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เทพธิดาอวิ๋นเซียวกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เมื่อเห็นว่าเจ้าสบายดีแล้ว เช่นนั้น ข้าก็จะกลับไปฝึกบำเพ็ญที่เกาะ”
ทันใดนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็กล่าวขึ้นมาว่า “ศิษย์น้องหญิง เจ้าถึงจะรีบกลับไปไยเล่า? ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว ไฉนไม่รอชมเหตุการณ์ดีๆ หลังจากนี้เล่า? พวกเราหารือร่วมกันได้”
แต่หลี่ฉางโซ่วกลับกล่าวว่า “ศิษย์พี่เสวียนตู ไม่ควรให้เทพธิดามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้นะขอรับ”
“วางใจเถิด” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะให้ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นเซียวคอยเฝ้าดูจากด้านข้าง ข้าจะไม่ปล่อยให้นางกระทำการวู่วามใดๆ แล้วอีกอย่าง เจ้าลองคิดดูสิ ทุกครั้งที่ข้าติดตามเจ้า ข้าก็ต้องการปกป้องเจ้าเสมอเมื่อเจ้าไม่อาจทนยืนหยัดได้อีกต่อไป แต่ทุกครั้งที่เจ้าต่อสู้กับศัตรูที่ทรงพลังในศึกที่อันตรายร้ายแรง เจ้าก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้พี่ชายได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เหตุใดกันเล่า เจ้ากลัวว่า ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นเซียวจะเห็นเจ้าต่อสู้ในครั้งนี้ และคิดว่าเจ้าไม่เก่งกาจพอหรือ? เช่นนั้น เจ้าจะไม่ดูเบาศิษย์น้องหญิงอวิ๋นเซียวต่ำไปหรอกหรือ !?!”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับนิ่งอึ้ง พูดไม่ออกกะทันหัน
ยอดฝีมือ ยอดฝีมือขั้นเทพจริงแท้แน่นอน!
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวออกมาเพียงไม่กี่ประโยค เขาพยายามใช้วิธีการยั่วยุข้า พร้อมด้วยกลยุทธ์เจ็บกาย[2] และกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ[3] หลอกให้ตายใจก่อนแล้วจึงค่อยจัดการให้ดับดิ้นจริงๆ!
ไฉนข้าไม่เห็นท่านจะจริงจังกับเรื่องเช่นนี้เลย!?!
ในขณะนั้น เทพธิดาอวิ๋นเซียวก็ถามว่า “เจ้าต้องการต่อสู้กับผู้ใดหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ใช่ศัตรูทรงพลังยิ่งใหญ่อะไรหรอก เทพธิดาโปรดอย่ากังวลไปเลย…”
“ฉางโช่ว!”
………………………………………………………………..
[1] ความหมายในทำนองว่าดูสดชื่นแจ่มใส เย็นสบาย
[2] กลยุทธ์เจ็บกายหรือกลยุทธ์ทุกข์กาย เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของสามก๊ก การแสร้งทำให้ศัตรูหลงเชื่อ ทำเท็จให้เป็นจริง โดยใช้สามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไปว่า ย่อมไม่มีผู้ใดยากทำร้ายตนเอง หากบาดเจ็บก็เชื่อว่าย่อมเกิดจากการถูกผู้อื่นทำร้าย หากแม้นทำเท็จให้กลายเป็นจริง หลอกให้ศัตรูหลงเชื่อโดยไม่ติดใจสงสัยได้ เช่นนั้น กลอุบายย่อมจะสัมฤทธิ์ผล
[3] เป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ของสามก๊กที่อาศัยการใช้สติปัญญาในการวางแผน การจับเชลยศึกสงครามได้นั้นถ้าหากบีบคั้นจนเกินไปก็จะไม่อาจรีดเอาความต่างๆ ได้ การปล่อยศัตรูให้เป็นฝ่ายหลบหนีและนำกำลังไล่ติดตามไม่ลดละ เพื่อเป็นการบั่นทอนกำลังทหารของศัตรูให้อ่อนแรง จนเมื่อหมดสิ้นเรี่ยวแรง หมดใจคิดต่อสู้ด้วย ก็จะยอมสวามิภักดิ์ เมื่อนั้นก็จะจับเป็นเชลยได้ง่าย ซึ่งเป็นเหตุให้ศัตรูพ่ายยับเยินไปเอง