บทที่ 539 เทพธิดาติดตามเหตุการณ์ในทะเลประจิม (2)
ทันใดนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็ขมวดคิ้วและแค่นเสียงกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนเท้าไม่แตะพื้น[1]เยี่ยงนี้ จอมปราชญ์ทั้งสองคนแห่งสำนักบำเพ็ญประจิมนั้น จะไม่ถือว่าเป็นศัตรูผู้ทรงพลังของเจ้าได้อย่างไรกัน? นี่ไม่ใช่นิสัยปกติของเจ้าเลย”
หลี่ฉางโซ่วใจกระตุกรุนแรงฉับพลันในขณะที่ปู่ใหญ่เจดีย์ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ‘ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า’ ดังสนั่น อยู่ในใจของเขา… ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ
อวิ๋นเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวเบาๆ ว่า “สหายเต๋า หากเจ้าไม่ยินดีจะให้ข้าดูอยู่ข้างๆ ข้าก็จะไม่มองเจ้า ทว่าข้าก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ข้าต้องใช้วิชากระจกส่องหล้าเพื่อสังเกตการณ์จากระยะไกล”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “เทพธิดา โปรดอย่าได้แปดเปื้อนด้วยกรรมเช่นนั้นเลย”
อวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะเพียงเฝ้าดูเท่านั้นและจะไม่ลงมือกระทำการใดๆ เช่นนั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นกรรม หากมีปัญหาขึ้นจริงๆ ข้าก็จะส่งสารไปที่วังดุสิตให้ทันเวลา”
“ตกลง” หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างโล่งอก และไม่ปฏิเสธใดๆ อีก เขากล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เช่นนั้น มานั่งที่นี่ก่อนเถิด ในไม่ช้านี้ จะมีสหายดีๆ สองคนจากแดนยมโลกมาที่นี่ ข้าจะส่งพวกเขาไปก่อน”
จู่ๆ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและหรี่ตาลงในขณะที่เทพธิดาอวิ๋นเซียวไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก นางเพียงนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างๆ หลี่ฉางโซ่วโดยมีหมู่เมฆห่อหุ้มเรือนร่างของนางเอาไว้
ในขณะนั้น เสียงของหัววัวก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกห้องโถง
“ขอแสดงความยินดีด้วย เทพวารี! ยินดีด้วย! ขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านได้บุตรสาว ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน! บุรุษที่มีลูกแล้ว ช่างน่าทึ่งจริงๆ! ม่อ~”
“ฮ่า!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหัวเราะในหมู่เมฆขณะที่หลี่ฉางโซ่วยิ้มและหรี่ตาเพื่อตอบสนองต่อเสียงหัวเราะนั้นในขณะที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กระตุกปากเล็กน้อยโดยไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา
หลี่ฉางโซ่วรีบตะโกนออกไปด้านนอกว่า “พวกท่านทั้งสองคน โปรดอย่าตะโกนไป นี่เป็นข่าวลือ!”
“ข่าวลือ?”
เพียงขณะที่เขาร่อนลงที่หน้าประตู หัววัวและหน้าม้าซึ่งกำลังจะกล่าวอวยพรก็หยุดชะงักกะทันหัน จากนั้นพวกเขาก็เห็นร่างของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ แล้วพวกเขาก็สั่นสะท้านไปพร้อมๆ กันทันที…
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ความจริงแล้ว ข่าวลือดังกล่าวได้แพร่สะพัดไปยังแดนยมโลกแล้ว พวกท่านไปได้ยินมาจากที่ใดกันหรือ?”
“อืม…” หัววัวเกาหัว
บางครั้ง เมื่อเหล่าพี่น้องรู้สึกเบื่อ พวกเขาก็จะขวางทางและขอให้ผู้ฝึกฝนที่กำลังจะไปทำงานของพวกเขาในเมืองเฟิงตูว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มีอะไรใหม่ๆ และน่าสนใจในโลกบรรพกาลบ้าง?”
“ฮี้!”
ในเวลานั้น หน้าม้าก็เข้ากระแทกไหล่หัววัว แล้วจอมเวทสงครามทั้งสองก็ก้าวรีบเดินไปข้างหน้าและประสานมือคารวะไปที่ทางเข้าห้องโถงด้านใน
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พยักหน้าพลางยิ้มเฉยและไม่เอ่ยอะไร
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและหยิบถุงเก็บสมบัติออกมาจากแขนเสื้อของเขาพลางกล่าวว่า “แม้จะเป็นข่าวลือ แต่พวกท่านทั้งสองคนก็ยังระมัดระวังรอบคอบยิ่ง พวกมันทั้งหมดล้วนอยู่ข้างในตามปกติแล้ว”
หัววัวตะโกนว่า “พวกเราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? พวกเราไม่อาจฉวยประโยชน์จากท่านเทพวารีโดยไม่ตอบแทนท่านได้!”
ทว่าในขณะนั้น หัววัวก็คว้าถุงเก็บสมบัติเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขาแล้ว หน้าม้าจึงกลอกตาและมองภาพตรงหน้าอย่างรังเกียจเหยียดหยาม
ในยามนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ลดศีรษะลงและบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้ จากนั้น เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วจับรายละเอียดนั้นได้ด้วยสัมผัสเซียนรับรู้ จึงกล่าวว่า “สหายเต๋า ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องทำ … ”
“เรื่องอันใดหรือ?”
ดูเหมือนว่า หัววัวจะจับนัยคำพูดขับไล่แขกของหลี่ฉางโซ่วไม่ได้ เขาจึงถามกลับไปว่า “ว่าแต่ พวกเราพอช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่? แต่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการวางอุบายและการหยั่งรู้คาดการณ์ใดๆ เพราะปราณวิญญาณของพวกเราไม่ดีนัก แต่พวกเราต่อสู้ สังหารศัตรูและทุบตีผู้คนได้ นั่นเป็นความสามารถพิเศษของเผ่าเวทของเรา! ”
“ใช่แล้ว” หน้าม้าเห็นด้วยและมองไปที่หลี่ฉางโซ่วอย่างกระตือรือร้น
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ยังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในขณะนั้น หัววัวและหน้าม้าตื่นเต้นมากเพราะผลที่พวกเขาได้พูดคุยกันมาระหว่างทาง พวกเขาต้องพยายามทุ่มเทอย่างหนักเพื่อทำให้เทพวารีพอใจและช่วยพาแดนยมโลกขึ้นสู่ศาลสวรรค์
เมื่อตัดการคำนึงถึงเรื่องอื่นใดแล้ว หากมีปรมาจารย์จากแดนยมโลกปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเรื่องของเผ่ามังกร ความจริงแล้ว นั่นก็ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับแดนยมโลกจริงๆ
นี่เป็นขั้นตอนแรก ไม่ว่าเขาจะวางแผนเพื่อให้แดนยมโลกยอมจำนนในภายหลังอย่างไร เขาก็จะต้องทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อให้เดินก้าวแรกไปได้อย่างมั่นคง
ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวว่า “สหายเต๋า พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเผ่ามังกรทั้งสี่คาบสมุทรได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อศาลสวรรค์แล้ว?”
“ข้าย่อมต้องรู้เรื่องนั้นแน่นอน” หัววัวยิ้มและกล่าวว่า “เรื่องที่ท่านเทพวารีได้วางแผนและคอยช่วยเหลือสนับสนุนเผ่ามังกรขึ้นสู่สวรรค์นั้น ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งแดนยมโลกแล้ว จอมเวทใหญ่ของเราไม่เคยชื่นชมยกย่องผู้ใดมาก่อนเลยในชีวิตของเรา แต่เขาชื่นชมเทพวารี!
เขาบอกว่า ท่านเป็นคนเจ้าเล่ห์และเหลี่ยมจัด มังกรเฒ่าของเผ่ามังกรทั้งหลายล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านได้เลย!”
เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปให้พ้น!”
จู่ๆ ก็มีเกือกม้าบินข้ามมาจากทางด้านข้างและส่งหัววัวปลิวกระเด็นออกไป หน้าม้าก่นด่าอย่างเดือดดาลและกล่าวว่า “จอมเวทใหญ่กล่าวว่า ท่านเทพวารีเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ
ก่อนที่เขาจะลงมือโจมตี เขามั่นใจอยู่แล้วว่าจะเอาชนะได้! ความจริงแล้ว จ้าวผู้ปกครองโบราณของเผ่ามังกร เพียงทำตามการเตรียมการของเทพวารีเท่านั้นจริงๆ!”
ในขณะนั้น หัววัวก็จ้องมาที่เขาและถามว่า “แล้วความหมายมันไม่เหมือนกันหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวขึ้นว่า“ พวกท่านทั้งสองอย่าโต้เถียงกันเลย ข้าจะถามศิษย์พี่เสวียนตูดูว่า จะพาพวกท่านทั้งสองไปด้วยได้หรือไม่”
เพียงทันทีที่เขากล่าวจบ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “เจ้าตัดสินใจได้เลย เวลานี้ มีความผันผวนของเต๋าใหญ่ในวังมังกรทะเลประจิม น่าจะมีเหล่าปรมาจารย์กำลังต่อสู้กัน ศิษย์น้องฉางเกิง พวกเราไปดูกันเลยหรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าทันทีพร้อมกับกล่าวว่า “พวกเขาน่าจะเริ่มโจมตีราชามังกรทะเลประจิมก่อน สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ขอศิษย์พี่โปรดช่วยด้วยขอรับ”
“ได้”
ทันใดนั้น แขนเสื้อของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็กระพือขึ้น แล้วลูกไฟและน้ำก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาก่อนจะก่อตัวขึ้นเป็นแผนภาพไท่จี๋ไฟวารีหยินหยางที่สูงเท่าๆ คน
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคนแรกที่ก้าวเข้าสู่ภาพนั้น แล้วเทพธิดาอวิ๋นเซียวก็เดินออกมาจากก้อนเมฆเช่นกัน นางยืนอยู่ที่ด้านข้างเพื่อรอให้หลี่ฉางโซ่วเดินผ่านไปพร้อมกัน
ในขณะนั้น หัววัวและหน้าม้าต่างก็มองหน้ากันด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
แม้พวกเขาจะไม่รู้จักเทพธิดาอวิ๋นเซียว และไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ แต่สัญชาตญาณของเผ่าเวทสงครามก็แม่นยำยิ่งนัก
เทพธิดาผู้นี้เป็นปรมาจารย์ผู้หนึ่ง
และน่ากลัวว่า นางอาจจะอ่อนด้อยกว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพียงเล็กน้อย แค่หนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น!
ปรมาจารย์สองคนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าต่างออกหน้าต่อสู้พร้อมกัน พวกเขากำลังไปที่ภูเขาวิญญาณเพื่อประกาศแก่นแท้แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหรือไม่?
ทั้งหัววัวและหน้าม้าต่างพากันหวาดกลัวเล็กน้อย ทว่าพวกเขาก็เพิ่งได้พูดในสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูดในตอนนี้ไปแล้ว
ในขณะนั้น พวกเขาทำได้เพียงก้มศีรษะลงและเดินตามหลังหลี่ฉางโซ่วไป พวกเขาคิดว่า หากพวกเขาทำไม่ได้ในภายหลังจริงๆ พวกเขาก็จะใช้วิชาลับที่พวกเผ่าเวทไม่ได้สอนคนนอก
หมวกหลบหนีนี้ ในท่ามกลางสงครามโกลาหล หากถอดหมวกออก ให้หากองซากศพที่ทับกันอยู่ แล้วนอนลง ก็จะสามารถใช้มันได้สำเร็จในทันที
ทว่าสิ่งที่ทำให้หัววัวและหน้าม้าถอนหายใจอย่างโล่งอกก็คือ ทั้งสองคนได้ก้าวผ่านแผนภาพไท่จี๋ไฟวารี
พวกเขาไม่ได้ไปปรากฏตัวบนภูเขาวิญญาณที่ล้อมรอบไปด้วยแสงสีทอง แต่ถูกห่อหุ้มด้วยน้ำทะเลเย็น… แม้พวกเผ่าเวทจะไม่เก่งกาจในเรื่องการใช้วิชาเวทในน้ำ แต่พวกเขาก็ย่อมจะไม่จมน้ำตายอย่างแน่นอน
ในสมัยโบราณ พวกเขาได้สร้างวิชาลับที่ทำให้เผ่าเวท จมลงสู่ก้นทะเลและวิ่งไปได้อย่างอิสระ
แต่แรงต้านและแรงกดดันก็มีมากขึ้นเล็กน้อย และความแข็งแรงในการยึดเกาะของเท้าของพวกเขาก็อ่อนแอลงเล็กน้อย
………………………………………………………………..
[1] เย่อหยิ่ง ยโส ทะนงตน และหัวสูงมาก