บทที่ 10 ประทับใจ
บทที่ 10 ประทับใจ
กู้หนิงอันยังกล่าวอีกว่า “ท่านพี่ ท่านกินเร็ว ๆ เถอะ ของเสี่ยวอี้อยู่บนโต๊ะแล้ว”
ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าน้องสาวมีอาหารของตนเองอยู่แล้ว นางก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะตอนนี้นางกำลังหิวมาก
เด็กหญิงรีบตักอาหารกินตอนยังร้อน ๆ แป้งข้นที่ไม่มีน้ำมันหรือเกลือ รสชาติก็ไม่ค่อยดีนัก แต่นางหิวมากเสียจนไม่สนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว
ณ เวลานี้ถ้าต้องให้เลือกกิน นางก็คงเสียใจภายหลัง กู้เสี่ยวหวานจึงกระดกกินแป้งกวนทั้งชามด้วยสองมือ และหลังจากกินเข้าไปนางก็ยังไม่พอใจ
หลังจากกินเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อเห็นน้องสาวคนเล็กยังคงกะพริบตาปริบ ๆ มองนางอยู่ ท่าทางตอนนี้ของนางดูน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่านะ โชคดีที่ห้องไม่สว่างมากนัก ไม่อย่างนั้นเด็ก ๆ คงต้องเห็นแก้มแดง ๆ ของนางแน่
เมื่อคิดเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานจึงยิ้มอย่างมีความสุข ตอนนี้นางกินแป้งกวนไปหนึ่งชามแล้วก็รู้สึกอุ่นไปทั้งตัว ท้องของนางหยุดร้องและร่างกายก็มีกำลังวังชาขึ้น หลังจากหลับใหลไปนาน กู้เสี่ยวหวานก็คว้าเสื้อนวมฉีกขาดมาสวมใส่ นั่งบนเตียงเตา และมองดูน้อง ๆ ทั้งสามคนของนาง
กู้เสี่ยวอี้ยังไม่รู้วิธีใส่เสื้อผ้า และกู้หนิงผิงก็ดูแลน้องสาวคนสุดท้องคนนี้มาโดยตลอด ด้วยความช่วยเหลือของกู้หนิงผิง นางก็แต่งตัว ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่โต๊ะผุพัง แล้วนั่งลงรับประทานอาหารโดยหันหลังให้กู้เสี่ยวหวาน
เมื่อเห็นว่าพี่สาวคนโตไม่พูดอะไร กู้หนิงอันก็นั่งเงียบ ๆ บนขอบเตียงเตาเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะรบกวนกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานมองครอบครัวอนาถานี้อย่างถี่ถ้วน
ครอบครัวนี้ยากจนจริง ๆ ไม่มีผู้ใหญ่ในครอบครัว มีเพียงเด็กสี่คน ทุกคนยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานหลับตา นางก็นึกออกว่าบ้านหลังนี้มีความเป็นอยู่อย่างไร
เมื่อตอนที่ท่านพ่อกู้และท่านแม่กู้ยังอยู่ พวกเขาก็ทำงานยามตะวันขึ้นและพักผ่อนยามตะวันตก แต่เนื่องจากมีปากท้องให้เลี้ยงมากเกินไป ผู้ใหญ่สองคนจึงต้องใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดเพื่อให้เด็กทั้งสี่ได้กินอิ่มท้อง
นอกจากนี้ ตอนที่ครอบครัวนี้ยังมีผู้ใหญ่สองคนที่ดูแลอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ นับว่าดีกว่าตอนนี้มากนัก
ตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่กู้จากไป ปราการของครอบครัวนี้ก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ เด็กทั้งสี่คนยังเด็กเกินไปที่จะจับจอบเสียม พวกเขาทำไร่ทำนาไม่ได้เลย
นอกจากนี้พวกเขายังไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง บิดาของเด็ก ๆ อ่อนแอและไม่ชมชอบต่อสู้ ส่วนมารดาก็อ่อนโยนเหมือนสายน้ำ ไม่เคยทะเลาะกับผู้อื่น นับประสาอะไรกับพี่น้องในครอบครัวตนเอง
ดังคำกล่าวที่ว่า คนดีย่อมถูกผู้อื่นรังแก ม้าที่ดีย่อมถูกผู้อื่นขี่ เมื่อพวกเขาแยกบ้านกัน พวกเขาจึงได้เพียงหนึ่งในสามของที่ดินทั้งหมดเท่านั้น
ได้ที่ดินหนึ่งในสามส่วนนี้แล้วอย่างไร? ที่บ้านมีถึงหกปากท้องที่ต้องกินต้องอยู่ ที่ดินผืนนี้จึงไม่สามารถปลูกอะไรให้เพียงพอต่อการประทังความหิวได้
ดังนั้นพี่น้องทั้งสี่คนจะได้กินอิ่มในบางมื้อ ขณะที่บางมื้อก็ต้องทนหิว ในฤดูร้อนถือว่าดีหน่อยเพราะบนภูเขามีของกินเยอะมาก ซึ่งพวกเขาพอที่จะขึ้นไปบนภูเขาหาผักผลไม้ป่าจำนวนหนึ่งแล้วนำมาแบ่งกันกินได้
แต่เมื่อถึงฤดูหนาว มันจะมีเพียงแค่ความทุกข์ทรมาน เสื้อผ้ามีจำนวนไม่เพียงพอที่จะสวมใส่ แต่ละคนจึงทำได้เพียงสวมเสื้อผ้าที่มีทั้งหมดเป็นชั้นหนา ๆ ทับบนร่างตัวเองเป็นสามชั้นข้างในและสามชั้นข้างนอก!
ในฤดูหนาวไม่มีอะไรให้กินมากนัก เด็กทั้งสี่คนต่างหิวโหย โชคดีที่มีท่านป้าจางผู้ใจดีอยู่อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน เมื่อเห็นเด็กทั้งสี่อยู่อย่างเหงาหงอย ไร้บิดามารดา ไร้คนดูแล และยังเด็กมากนัก นางก็จะให้อาหารมาบ้างเป็นบางครั้ง
แต่นางก็ยังมีครอบครัวของตัวเองที่ต้องดูแลด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจให้ครอบครัวตัวเองต้องอดอาหารเพื่อคนอื่นได้
ดังนั้นท่านป้าจางจึงให้ซาลาเปาหรือข้าวกล้องแก่พี่น้องสี่คนนี้เป็นครั้งคราว โดยอาศัยความช่วยเหลือของท่านป้าจาง พี่น้องทั้งสี่จึงได้ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาอาหาร
อย่างไรเสีย คนที่ไม่เคยสัมผัสความอดอยากแร้นแค้นนี้มาก่อนจะไม่สามารถจินตนาการออกเลย
ความทรงจำในอดีตแวบเข้ามาในหัวของกู้เสี่ยวหวาน เมื่อนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมาของพี่น้องทั้งสี่ กู้เสี่ยวหวานก็พลันรู้สึกเศร้า
นางคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และตกตะลึงไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองกู้เสี่ยวอี้
กู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิงกำลังคุยกันเบา ๆ และเบามากจนกู้เสี่ยวหวานไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
“เสี่ยวอี้ มาหาข้าสิ”
เมื่อได้ยินเสียงของกู้เสี่ยวหวาน เสี่ยวอี้ก็ตอบรับอย่างนุ่มนวล เด็กน้อยตักอาหารหมดชามอย่างรวดเร็ว ส่วนกู้หนิงผิงก็ออกไปพร้อมกับชาม
กู้เสี่ยวอี้รู้สึกว่าตนกินเพียงพอแล้วจึงเรอออกมาเล็กน้อย และปีนขึ้นไปบนเตียงเตาอย่างมีความสุข นางคลานไปด้านข้างของกู้เสี่ยวหวานด้วยมือและเท้าน้อย ๆ นอนลงบนผ้าห่มแล้วเอ่ยอย่างมีความสุขว่า “ท่านพี่…”
ภายใต้แสงสลัวจากตะเกียงน้ำมัน กู้เสี่ยวหวานก็เห็นรอยเปื้อนที่ยังไม่ได้เช็ดทำความสะอาดตรงมุมปากของกู้เสี่ยวอี้
มันเป็นก้อนเหนอะหนะสีคล้ำ ต่างจากแป้งขาวที่ตนเพิ่งกินไปอย่างสิ้นเชิง สีหน้าของกู้เสี่ยวหวานมืดครึ้มลง ใบหน้าของนางพลันเคร่งขรึมขึ้นมา นางก็คิดอยู่ว่าจะมีแป้งขาวในบ้านที่ยากจนเช่นนี้ได้อย่างไร
มันเป็นแบบนั้นเอง…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาราวทำนบพังทลาย
จู่ ๆ นางก็ต้องการที่จะดูแลพ่อแม่ขึ้นมา ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร แต่กลับสามารถสอนเด็กให้มีเหตุผลและมีน้ำใจเช่นนี้ได้ ว่ากันว่าเด็กยากจนมีหน้าที่ดูแลครอบครัวแต่เนิ่น ๆ แต่เด็กเหล่านี้เองก็ได้ลิ้มรสความโศกเศร้าของชีวิตตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่นกัน จะไม่ให้คนทุกข์ใจได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นางไม่เคยรู้สึกไม่สบายใจขนาดนี้ในเวลาป่วยมาก่อน เหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในใจจนทำให้หายใจไม่ออก อย่างไรเสียนางในตอนนี้ก็ยังเป็นเด็กแปดขวบ จึงทำได้เพียงปล่อยโฮและร้องไห้ออกมา
เมื่อกู้เสี่ยวหวานร้องไห้ นางก็ทำลายความสงบของบ้านทันที กู้หนิงอัน กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ที่ไม่คาดคิดว่าพี่สาวของพวกเขาจู่ ๆ จะร้องไห้ขึ้นมาก็พลันตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า กู้หนิงผิงรีบออกจากห้องครัวและเห็นพี่สาวมีอาการใจสลาย เด็กน้อยทั้งสามมองไปที่พี่สาวของตน ส่วนพี่สาวคนโตมองไปที่บรรดาเด็กน้อย และจากนั้นทุกคนก็ร้องไห้ออกมา
พวกเขากอดกู้เสี่ยวหวานด้วยความตื่นตระหนกทีละคนและร้องไห้ “ท่านพี่ ท่านพี่… ”
กู้หนิงอันเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขายังเป็นเด็กหกขวบเท่านั้น
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเศร้า เด็กสามคนนี้เชื่อฟังและมีเหตุผลจริง ๆ ในขณะนั้นนางรู้สึกเศร้าใจกับชะตากรรมอันน่าสังเวชของเด็กเหล่านี้
ที่บ้านไม่มีอะไรเลย แต่เพื่อดูแลคนไข้อย่างนาง พวกเขาจึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดให้พี่สาวอย่างนางกิน ซึ่งเด็กน้อยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่สิ่งที่นำมาต้มให้นางกินมันคืออะไร
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แง น่าสงสารน้อง ๆ นะคะ อยู่กันเองโดยไม่มีพ่อแม่หรือใครมาดูแลเลย แล้วแต่ละคนก็ยังเด็กมาก ๆ ด้วย
ไหหม่า(海馬)