บทที่ 19 หาของกินลึกในหุบเขา
บทที่ 19 หาของกินลึกในหุบเขา
กู้เสี่ยวหวานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย นางจะต้องกลับไปมือเปล่าอย่างไม่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกมาเลยหรือ?
เด็กสาวสงบลงและมองภูเขาลึกที่ล้อมรอบด้วยคูน้ำสายเล็ก ๆ ด้วยสายตาอันแน่วแน่
มันเป็นภูเขาลึก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจและเป็นพื้นที่ต้องห้ามตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีชาวบ้านคนใดในหมู่บ้านอู๋ซีเคยเข้ามา แม้จะมีบางคนเข้าไปแล้วแต่ก็ไม่เคยได้ออกมา
เพราะฉะนั้นใคร ๆ ก็ว่าป่าทึบนี้มีสัตว์ร้ายกินคนอยู่ ถ้าเจอจะไม่ได้กลับออกมาอีก ซึ่งมันน่ากลัวมาก
นอกจากนี้ ป่ายังปกคลุมไปด้วยสายหมอกตลอดทั้งปีมาอย่างยาวนาน และยังมีตำนานที่น่าสะพรึงกลัวที่ถูกแพร่กระจายด้วยข้อมูลเท็จ ภูเขาที่ไม่สามารถเข้าถึงได้นี้กลับเต็มไปด้วยสิ่งล่อใจสำหรับกู้เสี่ยวหวานนัก
ถ้าข้ามคูน้ำนี้ไป บางทีวันนี้อาจจะสามารถปรุงอาหารดี ๆ ให้น้อง ๆ ได้ แต่ถ้าพวกเขากลับไปทั้งแบบนี้ก็เท่ากับว่าต้องกลับบ้านมือเปล่า และทุกคนก็จะอดตายอีกครั้ง ที่บ้านไม่มีของกินเลย ถ้าขึ้นเขาก็อาจมีของกิน แต่ถ้าไม่เข้าไปก็ต้องกลับไปอดตายที่บ้าน
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปอยู่ข้างหน้าน้องชายอย่างแน่วแน่ “หนิงอันรอข้าอยู่ที่นี่นะ ข้าจะเข้าไปดูหน่อย!”
เมื่อกู้หนิงอันได้ยินแบบนั้น เด็กน้อยก็กอดกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ทันที และพูดด้วยความหวาดกลัว “ท่านพี่ พี่จะเข้าไปไม่ได้นะ!”
ภูเขาจิ่วหลิงที่ล้อมรอบด้วยคูน้ำเล็ก ๆ แห่งนี้ แม้ภายนอกจะดูปลอดภัย แต่ข้างในอันตราย ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านอู๋ซีรู้ดี
ไม่มีใครกล้าเข้าไป ส่วนคนที่ไม่เคยกลัวความตายมาก่อนหรือไม่มีอาหารกินจริง ๆ ก็เคยเข้าไปข้างในอย่างมุ่งมั่น และไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
ครอบครัวกู้ไม่มีข้าวให้กินอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรอกินในมื้ออาหารเย็นโดยมีปากท้องถึงสี่คน กู้หนิงอันรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานหมดหวังแล้วในตอนนี้ แต่เขาเป็นลูกชายคนโตในครอบครัว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทนดูอยู่เฉย ๆ ให้พี่สาวคนโตเสี่ยงชีวิตเพื่อครอบครัวนี้ได้
กู้เสี่ยวหวานกำลังรอคำอธิบาย
กู้หนิงอันจ้องไปที่ป่าทึบและพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านพี่ ข้าจะไปด้วย พี่ไปคนเดียวไม่ได้!”
กู้เสี่ยวหวานปฏิเสธทันที “ไม่! ข้าเป็นพี่ ข้าสิต้องไป!”
นอกจากนี้กู้เสี่ยวหวานยังรู้สึกว่าภูเขาลึกนี้ไม่น่ากลัวนัก นางเคยทำการทดลองในป่า แม้กระทั่งเดินผ่านป่าเขตร้อนกับทีมสำรวจวิทยาศาสตร์ คนเหล่านั้นต่างเลือกสถานที่ที่ไม่มีใครเคยไปเช่นเดียวกับในยุคปัจจุบัน
กู้เสี่ยวหวานมาจากยุคสมัยใหม่ และมีความรู้เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดและประสบการณ์การเอาชีวิตรอดในป่าเป็นอย่างดี ดังนั้นนางจึงต้องการเข้าไปในภูเขาลึกหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ชาวบ้านที่เข้าไปแล้วไม่ได้กลับมา กู้เสี่ยวหวานเดาว่าพวกเขาน่าจะติดอยู่ในบึง
ในป่าใหญ่ นอกจากงูพิษและสัตว์ป่าแล้ว หนองน้ำเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
กู้เสี่ยวหวานมีประสบการณ์และรู้ว่าหนองน้ำคืออะไร ดังนั้นหากนางไม่พบงูและสัตว์มีพิษ นางเชื่อว่าตนจะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยและยังมีชีวิต
แต่กู้หนิงอันต่างออกไป เขายังเป็นเด็กอายุหกขวบที่มีจิตใจอ่อนไหว เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิธีการเอาตัวรอดในป่าแห่งนี้
กู้เสี่ยวหวานจะปล่อยให้เขาเสี่ยงได้อย่างไร?
“ฟังนะ กู้หนิงอัน!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเคร่งขรึมด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด “รออยู่ที่นี่ ข้าจะต้องออกมาอย่างแน่นอน”
“ท่านพี่…” กู้หนิงอันลากแขนของกู้เสี่ยวหวาน เพื่อจะพานางกลับออกไป
กู้เสี่ยวหวานดันกู้หนิงอันออก ร่างผอมบางของเด็กชายถูกผลักออกไปทันที เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างกังวล ในขณะนี้เขารู้สึกว่ากู้เสี่ยวหวานจริงจังและเด็ดเดี่ยวมาก เขาไม่เคยเห็นพี่สาวเป็นแบบนี้มาก่อน มันทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
“พี่มั่นใจว่าตัวเองจะไม่เป็นไร แค่ครึ่งชั่วโมงเอง ถ้าพี่ไม่เจออะไรในครึ่งชั่วโมง พี่จะออกมาแน่นอน ตกลงไหม?” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่านางไร้มนุษยธรรมเพียงเล็กน้อย ตอนนี้รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
กู้หนิงอันกำลังจะร้องไห้ เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ไม่ ท่านพี่ ชาวบ้านบางคนในหมู่บ้านอู๋ซีเคยพยายามเข้าไปมาแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเลย”
“ท่านพี่ ข้ากับน้องไม่มีพ่อแม่แล้ว อย่าให้พวกเราต้องเสียพี่ไปอีกคนเลยนะ” กู้หนิงอันพูดขึ้นในที่สุด และไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา แต่ไม่มีอะไรที่นางสามารถทำได้ นางลูบศีรษะของกู้หนิงอันอย่างอ่อนโยน ดึงเขาเข้าไปในอ้อมแขนของนางเบา ๆ และปลอบโยน “เด็กดีหนิงอัน อย่าร้องไห้นะ ข้าจะไม่เป็นอะไร เจ้าจะไม่เสียข้าไปแน่นอน ข้าสัญญากับเจ้าเลย!”
“แต่ข้า…”
“ไม่มีแต่! ถ้าช้าไปกว่านี้มันจะมืดลง ถ้าเรายังหาอะไรกลับบ้านไม่ได้ วันนี้หนิงผิงกับเสี่ยวอี้ต้องทนหิวแน่” กู้เสี่ยวหวานกล่าว จากนั้นก็ชำเลืองมองไปยังป่าที่อยู่ตรงข้ามอย่างใจเย็นและก้าวข้ามไปอย่างแน่วแน่
กู้หนิงอันจ้องไหล่บอบบางของกู้เสี่ยวหวานโดยไม่กระพริบจนกระทั่งอีกฝ่ายหายเข้าไปในป่าทึบ หัวใจของเขาถูกบีบแน่น และเขาไม่รู้สึกปลอดภัยเลยสักนิด
กู้เสี่ยวหวานลุยข้ามคูน้ำสายเล็ก ๆ และค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของป่า
ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนไม่กล้าเข้ามา กู้เสี่ยวหวานเข้ามาเป็นครั้งแรก ต้นไม้ใหญ่ในที่นี่ขึ้นหนาแน่นกว่าตรงตีนภูเขา กิ่งก้านของต้นไม้เกือบจะแยกท้องฟ้าและผืนดินออกจากกันแล้ว
มองไม่เห็นแสงแดดบนเหนือศีรษะเลย
กู้เสี่ยวหวานสงบลงและให้ความสำคัญกับพื้นใต้ฝ่าเท้าของนางมากขึ้น ในป่าที่หนาแน่นด้วยต้นไม้เช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานมั่นใจว่าไม่ควรมีอะไรกินได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเดินผ่านรากไม้ที่สลับซับซ้อนเท่านั้น
หลังจากเดินมาประมาณยี่สิบนาที แสงสุดท้ายก็ปรากฏขึ้นไม่ไกล ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเป็นประกาย และแต่ละก้าวของนางก็เร็วขึ้น
เมื่อนางเดินไปทางด้านหน้า ดวงตาของนางก็เบิกโพลง มันไม่มีป่าทึบแล้ว สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตานางคือทุ่งโล่ง รกไปด้วยวัชพืชและไม้พุ่มเตี้ย ๆ
เวลานี้น่าจะเกินสิบโมงเช้า แดดกำลังดี ทัศนวิสัยดีมากในทุ่งโล่งแห่งนี้
กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ไม่มีใครเคยมาที่นี่ และไม่มีสัตว์ร้าย นางจึงรู้สึกเบาใจลงไปครึ่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมที่นี่ดีมาก มีแสงแดด และสมุนไพรเติบโตได้ดีมาก สัตว์ขนาดเล็กบางชนิดที่ควรมีก็ยังมี
กู้เสี่ยวหวานค้นหาอย่างระมัดระวัง นางพบรอยเท้าของกระต่าย เห็นได้ชัดว่ามีกระต่ายป่าอยู่ที่นี่
กระต่ายตื่นตัวโดยธรรมชาติ มีการได้ยินและการมองเห็นที่ละเอียดอ่อน พวกมันหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว และซ่อนตัวได้อย่างดี โดยเฉพาะพวกชอบเดินบนเส้นทางเดิมซ้ำ ๆ
ปกติแล้วกระต่ายในฤดูหนาวนี้มักออกหากินเวลากลางคืน และนางไม่รู้ว่าเวลากลางวันเช่นนี้มันออกมาหรือไม่
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่โชคดีที่นางเห็นรอยเท้าของกระต่าย ดังนั้นนางจึงไม่หมดหวัง
…………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจอรอยกระต่ายแล้ว ต้องมีกระต่ายแน่ ๆ
คนที่เข้าไปแล้วไม่กลับมานี่เป็นเพราะเจอสถานที่แบบนี้หรือเปล่านะ เลยปักหลักตั้งรกรากอยู่ในนั้นซะเลย
ไหหม่า(海馬)