บทที่ 39 ตลาดนัด
บทที่ 39 ตลาดนัด
กู้เสี่ยวหวานมองท่าทางอ้อนวอนของเด็กชายทั้งสอง หัวใจพลันอดกลั้นทนไม่ไหว นางรู้ดีถึงความกังวลของทั้งคู่ กลัวว่าหลังมื้อนี้จะต้องทนหิวจนท้องกิ่ว จึงอยากจะบอกน้อง ๆ ว่านางจะเป็นคนหาเงินเอง
น้องคนสุดท้องอย่างกู้เสี่ยวอี้เองก็พูดว่า “พี่สาว ไม่กิน เอาไปขาย ซื้อบะหมี่!” เด็กตัวน้อยกอดขากู้เสี่ยวหวานกะพริบตาปริบ ๆ ขณะพูด
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจอย่างจนปัญญา สามต่อหนึ่ง พวกเขาชนะขาดลอยแล้ว เราไม่กินมันก็ได้
กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองเจ้าไก่ที่เหมือนจะรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาตายของตนเอง พลางเอ่ยว่า “ปล่อยให้แกมีชีวิตต่ออีกหนึ่งวันก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะเอาแกไปขาย”
ยามได้ยินคำพูดขบขันของกู้เสี่ยหวาน ริมฝีปากของกู้หนิงอันอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม กู้หนิงผิงหัวเราะตบเข่าฉาดใหญ่ กู้เสี่ยวอี้ไม่เข้าใจความหมายของพี่สาว แต่เห็นท่าทางมีความสุขของพี่ชาย นางจึงหัวเราะออกมาเผยให้เห็นเหงือกชมพูน่ารักที่ยังไม่มีฟัน
“เอาล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะเอามันเข้าไปขายในเมือง แล้วซื้อข้าวกับบะหมี่กลับมา” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย นางไม่เคยเข้าไปในเมืองมาก่อน และก็ไม่รู้ว่าตลาดนัดเมื่อพันปีก่อนกับยุคปัจจุบันแตกต่างกันอย่างไร
นอกจากขายไก่ป่าแล้ว โสมที่กู้เสี่ยวหวานใส่ตู้ลงกลอนไว้จะต้องถูกขายเช่นกัน เหตุผลที่ไม่ได้บอกกู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ เพราะเกรงว่าพวกเขายังเด็กเกินไป ไม่อาจเก็บซ่อนสิ่งต่าง ๆ ไว้ในใจได้ หากเผลอหลุดปากออกไป ถึงเวลานั้นมีคนได้ยินและขึ้นเขาบ้างก็คงจะไม่ดี
“พี่สาว ให้ข้าไปกับพี่เถอะ” กู้หนิงผิงเสนอตัว
“เจ้าเคยเข้าเมืองมาก่อนหรือเปล่า?” กู้เสี่ยวหวานถาม
“เคยขอรับ ตอนที่ท่านป้าจางเอาไก่ไปขาย ข้ากับพี่สือโถวติดตามไปด้วย ท่านป้าจางยังซื้อลูกกวาดให้เราคนละหนึ่งอัน หลังจากนั้นข้าก็เอาลูกกวาดกลับมา พวกเราได้กินมันด้วย พี่จำไม่ได้แล้วหรือ?” กู้หนิงผิงกล่าว หลังจากพี่สาวของตนตกน้ำ ก็ดูเหมือนว่าความทรงจำของนางจะไม่ค่อยดี แม้แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าก็ดูเหมือนจะหลงลืมไปบ้าง
“ร่างกายของพี่สาวยังไม่หายดี หลงลืมไปบางถือว่าปกติ เรื่องมันก็นานมาแล้ว” กู้หนิงอันอธิบายแทนกู้เสี่ยวหวานให้กู้หนิงผิงฟังอย่างรวดเร็ว กู้เสี่ยวหวานที่ไม่รู้จะพูดแก้ตัวอย่างไร จึงทำได้เพียงหัวเราะ
“พี่สาว พวกเรายังไม่เคยไปในเมือง มีเพียงหนิงผิงที่เคยไป อย่างน้อยเขาน่าจะคุ้นเคยที่สุด พรุ่งนี้พาเขาไปกับพี่ ข้าจะพาเสี่ยวอี้สำรวจรอบ ๆ ดูว่าจะหาหัวไชเท้าป่าได้อีกหรือเปล่า”
“ได้!”
“เย้…” ครั้นกู้หนิงผิงได้ยินว่าตัวเองสามารถเข้าไปในเมืองกับพี่สาวได้ เขาพลันกระโดดตัวลอยด้วยอาการดีใจ
กู้เสี่ยวหวานยิ้มพลางเอ่ยหยอกล้อน้องชายว่าเด็กบ้า
บรรยากาศในครอบครัวรื่นเริงคึกคัก หัวใจทุกคนสัมผัสถึงความรู้สึกใหม่ที่ไม่อาจอธิบายได้
วันรุ่งขึ้น เสียงไก่ขันดังขึ้นตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง กู้เสี่ยวหวานลุกขึ้นจากเตียงเตาอย่างเงียบเชียบ เมื่อเห็นเสื้อนวมบุฝ้ายที่สกปรกมอมแมมจนมองไม่เห็นสีเดิม ก็พลันรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา นางหยุดลงหน้าตู้เสื้อผ้า พลิกซ้ายค้นขวา ต่อให้มีเสื้อผ้าให้ผลัดเปลี่ยนกู้เสี่ยวหวานก็รู้ว่าไม่มี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมแพ้
คราวนี้ยังไม่ทันหาเจอ กู้เสี่ยวหวานก็ชะงักมือ อดพึมพำในใจไม่ได้ หากครั้งนี้ขายโสมรากนี้ได้ แม้แต่ผ้าคุณภาพต่ำที่สุดนางก็ต้องซื้อกลับมาตัดเสื้อผ้าใหม่ขึ้นมาคนละหนึ่งชุด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ นอกจากนี้ยังใกล้ถึงวันสิ้นปีแล้วด้วย คาดว่าทุกคนจะต้องมีความสุขมากที่ได้เสื้อผ้าชุดใหม่
กู้หนิงผิงเองก็ตื่นแล้ว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานกู้หนิงอันก็ตื่นขึ้น ครั้นมองดูข้างนอกแล้วพบว่ามืดอยู่เล็กน้อย จึงลดเสียงลงต่ำ “พี่สาว ท่านระวังตัวด้วย”
กู้เสี่ยวหวานตอบรับหนึ่งเสียง เอ่ยกำชับกู้หนิงอัน “เจ้าอยู่บ้านดูแลน้องสาวดี ๆ เล่า ถ้าเห็นท่าทางไม่ดีก็อย่าออกไปข้างนอก”
เช้าวันนี้ก็ยังเหมือนเช้าวันเมื่อวาน กู้เสี่ยวหวานต้มบะหมี่เกอต่าหนึ่งหม้อ และตุ๋นหัวไชเท้าป่าสองสามหัว หลังจากกินเสร็จก็นำส่วนที่ยังไม่ได้กินใส่ลงหม้อ ตอนนี้ไฟในเตายังไม่มอด เมื่อน้องสาวและน้องชายตื่นขึ้นมาจะได้กินตอนที่ยังร้อนอยู่
ก่อนออกเดินทาง กู้เสี่ยวหวานเปิดตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง ห่อโสมด้วยผ้าแล้วกอดไว้ในอ้อมอกอย่างหนาแน่น
กู้หนิงผิงแบกกระบุงใส่ไก่ป่าลงไป และมุ่งหน้าเข้าเมืองไปพร้อมกับกู้เสี่ยวหวาน
ในความทรงจำ ดูเหมือนว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่เคยเข้าเมืองมาก่อน ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของนาง เด็กสาวจึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ระหว่างทางกู้เสี่ยวหวานก็มองดูทุกสิ่งรอบตัวเองด้วยความสงสัย หากจะออกจากหมู่บ้านต้องข้ามแม่น้ำ โดยมีสะพานเล็ก ๆ พาดผ่านแม่น้ำสายนั้น ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวที่ชาวบ้านในหมู่บ้านอู๋ซีใช้สัญจร
แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำที่กู้เสี่ยวหวานถูกกู้ซินเถาผลักตกลงไป ซึ่งผู้คนขนานนามว่า ‘แม่น้ำอู๋ซี’
กู้เสี่ยวหวานมองผิวน้ำด้วยท่าทางนิ่งสงบ พลางคิดว่าตนตกลงไปในสายน้ำเย็นจัดในฤดูหนาวได้อย่างไร ตอนนี้ยังคงรู้สึกว่ากระดูกสันหลังของตนเองเย็นวูบวาบ และร่างกายชาวาบไปทุกส่วน
สะพานแห่งเดียวในแม่น้ำอู๋ซีมีชื่อว่าสะพานกตัญญู ได้ยินมาว่าสะพานนี้สร้างขึ้นมาในภายหลัง สมัยก่อนหากชาวบ้านในหมู่บ้านอู๋ซีต้องการออกจากหมู่บ้าน พวกเขาต้องโดยสารทางเรือเท่านั้น
หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่ามีคนในหมู่บ้านอู๋ซีสอบติดจวี่เหริน[1] และรับราชการอยู่นอกหมู่บ้าน ครั้นกลับมาบ้านเกิด เขาก็ไม่สามารถพาม้าและข้าวของที่นำติดตัวข้ามแม่น้ำมาได้ ทำได้เพียงใช้เรือขนย้ายทีละน้อย ๆ ราวกับมดขนของกลับไปยังหมู่บ้านอู๋ซี
กล่าวกันว่าขุนนางคนนั้นรู้สึกเดือดดาลนัก ตำหนิหัวหน้าหมู่บ้านอู๋ซีอย่างสาดเสียเทเสีย หลังจากนั้นจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งแก่หมู่บ้าน ให้นำเงินเหล่านี้ไปซ่อมแซมสะพาน พวกเขาอยากซ่อมสะพานมานานแล้ว เพียงแต่เวลานั้นสถานการณ์ทุกคนก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน แม้แต่กินยังกินไม่อิ่ม มีเสื้อผ้าสวมใส่ไม่อุ่น จะเอาเงินจากไหนมาซ่อมสะพานกันเล่า?
ครานี้ เมื่อมีเงินสนับสนุนสำหรับการซ่อมแซมสะพาน หัวหน้าหมู่บ้านจึงรีบระดมคนทั้งหมู่บ้านมาซ่อมสะพานทันที ผู้ชายใช้แรงงานก่อสร้าง ส่วนผู้หญิงตระเตรียมอาหารอยู่ที่บ้านหรือทำอะไรง่าย ๆ บริเวณก่อสร้าง ทุกคนระดมกำลัง แม้แต่คนชราและคนอ่อนแอก็มาช่วยกันซ่อมสะพานในครั้งนี้
เวลาไม่ถึงสี่เดือนสะพานแห่งนี้ก็ซ่อมเสร็จสมบูรณ์ เมื่อซ่อมสะพานเสร็จแล้วหัวหน้าหมู่บ้านและคนสำคัญหลายคนในหมู่บ้านจึงเรียนเชิญผู้บริจาคเงิน จุดประทัดเฉลิมฉลอง ทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยความคึกคัก
ครั้นถึงเวลาตั้งชื่อข้าราชการผู้นั้นก็จรดปลายพู่กันลงตั้งชื่อว่า ‘สะพานกตัญญู’ ขึ้นนับแต่นั้นมา
ทั้งสองเร่งฝีเท้าเข้าเมือง ไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย เมืองแห่งนี้มีขนาดนี้ไม่ใหญ่นักชื่อว่าเมืองหลิวเจีย อยู่ติดถนนสัญจรหลัก ถึงแม้จะมีถนนหนทางไม่ใหญ่นัก แต่มีร้านค้ามากมาย ซึ่งนับว่าไม่เลวเลยหากเทียบกับเมืองอื่นในมณฑล
เนื่องจากเทศกาลขึ้นปีใหม่กำลังจะมาถึง เมืองนี้จึงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ส่วนใหญ่จะมาซื้อสิ่งของสำหรับฉลองเทศกาลปีใหม่
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] การสอบจวี่เหริน เป็นการสอบคัดเลือกข้าราชการระดับภูมิภาค (มณฑล) ผู้มีสิทธิเข้าสอบระดับนี้จะต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน ผู้สอบผ่านขั้นนี้จะได้คุณวุฒิ ‘จวี่เหริน’
สารจากผู้แปล
ดีที่มีสะพานแล้ว ถ้าไม่มีสะพานนี่ไม่รู้จะเข้าเมืองยังไงเลย
ไหหม่า(海馬)