บทที่ 54 เดินเล่นในหมู่บ้าน
บทที่ 54 เดินเล่นในหมู่บ้าน
กู้เสี่ยวหวานไม่อยากทำตัวเป็นวีรสตรี และยิ่งไม่ต้องการเป็นวีรสตรีผู้ไร้ชื่อเสียง นางเข้าใจในสิ่งที่ท่านพ่อท่านแม่ทำ แต่ไม่อาจรับในสิ่งที่พวกเขาทำได้
พวกเขาจากไปแล้ว ปัญหาต่าง ๆ ก็พลอยสิ้นสุดลงไปด้วย คนอื่นต่างลอยตัว ทว่าลูกทั้งสี่คนของตัวเองกลับลำบาก
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าควรจะสอนเด็กทั้งสามคนนี้ให้ดี ๆ ว่าอย่าบันดาลโทสะเพียงชั่ววูบจนทำเรื่องที่น่าเสียใจไปตลอดชีวิต และอย่าใช้ชีวิตจมปลักกับอดีตไปตลอด
ทั้งสี่คนรีบเดินห่างออกไปจากบ้านเก่าของตระกูลกู้ พลางพูดกับกู้หนิงผิงไม่กี่ประโยค และกู้หนิงผิงในเวลานี้ก็สบายใจขึ้นมาบ้าง จึงพูดและยิ้มไปตลอดทาง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของกู้หนิงผิงก็รู้สึกดีใจมาก เด็กก็คือเด็ก เวลามีเรื่องก็ซ่อนเอาไว้ในใจไม่ไหว แต่ก็จะร่าเริงขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนกัน
เมื่อก่อนกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายและทุกข์ทรมานกับการข้ามมิติมาอยู่ในครอบครัวที่ยากจนนี้เช่นกัน แต่ในวันนี้เมื่อมองดูน้อง ๆ ผู้แสนจะไร้เดียงสาจับมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่นอยู่ข้าง ๆ นางก็รู้สึกว่านี่คือความโชคดีอย่างหนึ่ง
อย่างน้อยที่สุด มันก็เหมือนกับบ้านหลังใหญ่ที่ภายในมีพร้อมด้วยอาภรณ์งดงามอาหารเลิศรส เพียงแค่ต้องใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดไปวัน ๆ
นี่คือความเรียบง่าย นิ่งสงบ ในการดำรงชีวิตตามปกติของครอบครัวชาวนา
กู้เสี่ยวหวานสูดหายใจเข้าลึก ๆ ลมหายใจเย็นติดกลิ่นหอมหวานเล็กน้อย ช่างสะอาดสดชื่นนัก และมีเพียงหมู่บ้านในอดีตนี้เท่านั้น ถึงจะมีอากาศที่สะอาดสดชื่นเช่นนี้
มองเห็นป่าไผ่ และด้านในก็มีหน่อไม้
กู้เสี่ยวหวานออกจากบ้านครั้งนี้ ก็อยากจะเข้าใจคนในหมู่บ้านแห่งนี้ให้เร็วที่สุด นางอาศัยความทรงจำในอดีต เดินผ่านหน้าบ้านทุก ๆ หลังหนึ่งรอบ จากนั้นก็คิดว่าในวันปกติบ้านไหนที่มีความสัมพันธ์ดี หากคิดไม่ออกจริง ๆ ก็ให้กู้หนิงอันเตือนสักหน่อย และยังต้องแยกว่าครอบครัวไหนไม่ควรคบค้าสมาคมด้วยเพราะดูถูกครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานว่ายากจนเกินไป
กู้เสี่ยวหวานก็ไม่คิดที่จะไปมาหาสู่คนเหล่านี้แต่อย่างใด
อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้านคือบ้านเรือนของพวกชาวบ้าน ส่วนอีกด้านหนึ่งคือที่นาผืนหนึ่ง เนื่องจากตอนนี้คือฤดูหนาว ด้านในที่นาส่วนใหญ่ล้วนดูรกร้าง และเหลือเศษซากผลผลิตทางการเกษตรบางส่วนจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงอยู่บางหย่อม ทำให้ผืนดินแห่งนี้ดูทั้งโล่งเตียน แห้งเฉาและเหี่ยวเหลืองไปหมด มองดูแล้วรู้สึกเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก
ในโลกนี้ สิ่งที่ปลูกในหมู่บ้านดูเหมือนจะมีแค่ต้นข้าว เมื่อมองตอซังข้าวอันแคระแกร็นที่ส่วนรวงข้าวถูกเกี่ยวออกไป ก็สามารถจินตนาการได้ถึงจำนวนรวงข้าวของกอข้าวนั้นว่ามีคุณภาพปานกลาง เทียบกับข้าวหลงปิงในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เลย
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจออกมาครู่หนึ่ง เฮ้อ เมื่อก่อนข้าก็เคยทำการทดลองผสมพันธุ์ข้าวอยู่ เพียงแต่ว่าในยุคที่ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์อีกทั้งยังไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์นี้ อยากจะทำการทดลองสิ่งใดก็คงเป็นเรื่องเพ้อฝัน อยากจะได้รับผลผลิตที่สูงก็เป็นแค่ความฝันหนึ่งเท่านั้น
แต่นางก็ไม่ได้ท้อแท้ หากไม่สามารถเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อหนึ่งหมู่ได้ เช่นนั้นแล้วจะสามารถเพิ่มพื้นที่ปลูกได้หรือไม่ หากไม่สามารถลงเวลาไปกับตัวแปรที่อยู่ข้างหน้าได้ ก็สามารถลงเวลากับตัวแปรที่อยู่ข้างหลังได้ และสามารถก้าวกระโดดเชิงคุณภาพได้เหมือนกัน
นางมั่นใจมาก เมื่อนึกถึงเงินห้าร้อยตำลึงที่ถูกซ่อนเอาไว้หลายที่ภายในบ้าน อกก็ยืดขึ้นโดยไม่รู้ตัว สุภาษิตกล่าวว่า เงินเป็นตัวเสริมความแข็งแกร่งกล้าหาญต่อการประณามของคน แม้จะพูดหยาบแต่ความจริงก็ไม่ได้หยาบ แม้ว่าจะไม่น่าฟัง แต่กู้เสี่ยวหวานก็ไม่คิดเลยสักนิดว่าประโยคนี้จะผิดอะไร
ในยุคปัจจุบัน ชายหญิงนั้นเท่าเทียมกัน ผู้หญิงกับผู้ชายเหมือนกัน อยู่ด้านนอกล้วนต้องทนรับแรงกดดันจากการทำงาน หาเงินเลี้ยงครอบครัว หลังจากกลับมาถึงบ้านก็ยังต้องทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่ อบรมเลี้ยงดูเด็ก ทำงานบ้าน กำเนิดลูก พูดได้ว่าสิ่งที่ผู้หญิงต้องจ่ายออกไปนั้นมีมากกว่าผู้ชายมาก
ความรู้สึกมั่นคงของผู้หญิงไม่ได้มาจากผู้ชายทั้งหมด ปัจจุบันนี้ความรู้สึกมั่นคงของผู้หญิงยุคใหม่มาจากการมีโทรศัพท์มือถือ มีเงินอยู่ในกระเป๋า มีน้ำมันในรถ แม้ความรู้สึกมั่นคงของกู้เสี่ยวหวานในตอนนี้จะเกิดจากความพึงพอใจเพียงเล็กน้อยกับสิ่งเมื่อครู่ แต่เมื่อต้องเผชิญกับยุคสมัยที่อาจไม่ใช้เงินตอนออกจากบ้าน ก็ถือว่ามีเงินก้อนหนึ่งอยู่กับตัว
เมื่อมองดูพื้นดินที่รกร้างเหล่านั้น ก็ยิ่งค่อนข้างรู้สึกถูกตาต้องใจ
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าในครอบครัวนางมีที่ดินอยู่สามส่วน แต่กลับไม่รู้ตำแหน่งว่าอยู่ที่ใด การที่นางออกมาในครั้งนี้ก็เพราะอยากจะรู้ว่าที่ดินของครอบครัวนางนั้นอยู่ที่ใด? และอยากจะดูว่าคนในโลกนี้โดยปกติแล้วพวกเขาปลูกผลผลิตทางการเกษตรชนิดไหน
ในฤดูหนาวที่หนาวมากกลับไม่เห็นชาวบ้านคนไหนออกมาทำงานด้านนอก
กู้เสี่ยวหวานอดไม่ได้ที่จะงงงวยขึ้นมาเล็กน้อย วันดี ๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่เตรียมทำการเกษตรก่อนฤดูใบไม้ผลิปีหน้าล่ะ!
“เหตุใดในหมู่บ้านแห่งนี้ถึงไม่เห็นใครทำงานเลยล่ะ!” กู้เสี่ยวหวานถามขึ้นมา
“ท่านพี่ เมื่อพวกเขาเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ทุกคนก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำแล้ว” กู้หนิงอันตอบขึ้น
“หนึ่งปีปลูกข้าวได้แค่หนึ่งครั้งใช่หรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่แล้วล่ะท่านพี่ คนส่วนใหญ่ที่นี่จะเพาะปลูกแค่ครั้งเดียว!” กู้หนิงผิงมองพี่สาวของตัวเองอย่างงุนงงเล็กน้อย ตลอดทั้งปีมีแค่ตอนฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นถึงจะสามารถเห็นพืชทางการเกษตรในพื้นดิน ส่วนช่วงเวลาอื่นพื้นดินก็จะถูกทิ้งให้รกร้างเช่นนี้แหละ เหตุใดท่านพี่ถึงไม่รู้
“อ้อ!” กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก ที่แท้ผลผลิตทางการเกษตรของยุคนี้ถึงได้มีปริมาณน้อยนิด เพราะตลอดทั้งปีปลูกพืชทางการเกษตรได้หนึ่งครั้ง
เช่นนั้นที่นาทั้งหมดจะไม่รกร้างอยู่ที่นี่หรือ?
เช่นนั้นก็สิ้นเปลืองมากเลยนะสิ! กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจออกมา ผลผลิตทางการเกษตรในตอนนี้ ไม่มีการดัดแปลงพันธุกรรม ไม่มีปุ๋ยเคมี ไม่มียาฆ่าหญ้า ไม่มีน้ำยาเร่งการเจริญเติบโต ทั้งหมดล้วนอาศัยการเติบโตจากธรรมชาติ ระยะเจริญเติบโตก็ช้าอยู่พอสมควร แถมหนึ่งปียังผลิตแค่ครั้งเดียว
ในชาติก่อน ทุกที่สามารถปลูกข้าวได้สองฤดู ในตอนที่ไม่ได้ปลูกข้าว พวกชาวบ้านก็ยังสามารถปลูกธัญพืชที่ให้ผลผลิตมาก เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวโพด และอื่น ๆ ในปริมาณมากได้เพื่อเป็นเสบียงอาหารในหนึ่งปี
หากปลูกข้าวที่นี่เพียงฤดูเดียวทุกปี เช่นนั้นเสบียงอาหารของหนึ่งครอบครัวคงไม่พอเลี้ยงคนทั้งหมด เช่นนั้นทุกคนจะกินอะไรล่ะ?
หรือว่าจะเป็นเหมือนกับทางบ้านกู้เสี่ยวหวาน ที่กินหนึ่งมื้ออดหนึ่งมื้อ
กู้หนิงผิงเกือบจะมองข้อสงสัยของพี่สาวออกแล้ว จึงเอ่ยขึ้นมา “การเก็บเกี่ยวที่ดินของพวกเราในหมู่บ้านนี้ถือว่าดีเลย ครอบครัวหนึ่งช่วยกันขยันทำงาน เก็บเกี่ยวข้าว จากนั้นก็ขายให้กับร้านค้า แลกข้าวฟ่างหรือบะหมี่ข้าวฟ่างเล็กน้อย หากเก็บเกี่ยวจนพอกินได้สามเดือน ก็จะแลกเป็นหมี่ข้าวฟ่าง แค่นี้คนในครอบครัวก็จะกินได้ถึงครึ่งปีเลย”
กู้เสี่ยวหวานรู้ได้ทันทีว่า หากเป็นเช่นนั้น ราคาข้าวสารในโลกนี้คงสูงมาก ครอบครัวยากจนทั่วไปจะไม่กิน แม้ครอบครัวตัวเองจะปลูกก็ไม่เต็มใจที่จะกิน หลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้วจึงขายให้คนอื่นทั้งหมด หรือแลกเป็นข้าวฟ่างหรือบะหมี่ข้าวฟ่างที่ราคาถูกแทน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นี่คือปลูกข้าวขาย ไม่ได้ปลูกไว้กินเองสินะ มิน่าล่ะอาหารการกินของคนหมู่บ้านนี้ถึงได้อัตคัตกันหมด
ไหหม่า(海馬)