บทที่ 63 ไปบ้านท่านป้าจาง
บทที่ 63 ไปบ้านท่านป้าจาง
สำหรับอาหารมื้อนี้ แม้แต่กู้เสี่ยวอี้ผู้มีอายุน้อยที่สุดยังเติมข้าวถึงสองชาม เด็กทั้งสี่คนต่างกินกันจนอิ่มหมีพีมัน และพากันเดินลูบท้องของตนเอง
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ปล่อยให้พวกเขานอนลงทันทีหลังจากกินข้าวเสร็จ นางให้พวกเขาลุกขึ้นและเดินไปรอบ ๆ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับการย่อยอาหารและกระเพาะ
หลังจัดการมื้ออาหารเสร็จ กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พักผ่อนในทันที แต่พากู้หนิงผิงไปที่บ้านของท่านป้าจาง กู้หนิงอันและกู้เสี่ยวอี้ถูกสั่งให้อยู่บ้านเพื่อเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ เมื่อพวกเขากลับมาก็จะกลับมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่อีกครั้ง
ร่างเดิมของกู้เสี่ยวหวานเคยไปที่บ้านของท่านป้าจางมาก่อน และรู้ว่าบ้านของท่านท่านป้าจางตั้งอยู่ที่ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกู้หนิงผิงที่นำทาง ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองก็มาถึงบ้านของท่านป้าจาง
สภาพบ้านของท่านป้าจางนั้นดูธรรมดาทั่วไป ช่วงปีแรก ๆ ดีขึ้นแล้ว น่าเสียดายที่ท่านลุงจางขาพิการ เขาจึงไม่สามารถทำงานไร่ของครอบครัวได้ ท่านป้าจางจึงต้องดูแลทุกอย่างทั้งภายในและภายนอกบ้าน
ชีวิตของพวกเขาลำบากแสนเข็ญ แต่โชคดีที่ท่านป้าจางมีความสามารถด้านการคำนวณและปักลายผ้าได้ จึงมักจะนำผ้าเช็ดหน้าปักเข้าไปขายในเมืองเพื่อแลกเงิน ซึ่งเป็นรายได้เสริมเช่นกัน ตอนนี้ฉือโถวก็โตขึ้นมากแล้วจึงช่วยเหลืองานในบ้านได้ ชีวิตของพวกดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะในปีที่ท่านลุงจางประสบอุบัติเหตุ
ครั้นกู้เสี่ยวหวานมาถึงก็ไม่พบเจอผู้ใดในลานบ้าน จึงได้แต่ส่งเสียงตะโกนเรียกอยู่ภายนอก “ท่านป้าจาง อยู่บ้านหรือไม่เจ้าคะ?”
“พี่ฉือโถว พี่ฉือโถว” กู้หนิงผิงเองก็ส่งเสียงเรียกเช่นกัน
“โอ้ โอ้ มาแล้ว มาแล้ว” เสียงของท่านป้าจางดังมาจากในบ้าน
ท่านป้าจางเปิดประตู และเมื่อนางเห็นกู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงผิงยืนอยู่ข้างนอก นางเลิกคิ้วด้วยความดีใจ “เสี่ยวหวาน เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ รีบเข้ามาก่อน รีบเข้ามาก่อนเถอะ”
หลังจากพูดเสร็จ นางรุดขึ้นหน้าสองสามก้าวเพื่อเปิดประตูลานบ้าน และเดินเข้าไปข้างในโดยมือข้างหนึ่งจูงกู้เสี่ยวหวานและมืออีกข้างก็จูงกู้หนิงผิง
ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานเข้าไปในห้องโถง นางก็เห็นท่านลุงจางและเด็กชายกำลังกินอาหารอยู่ตรงโต๊ะ
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานและน้องชายเข้ามา ท่านลุงจางคลี่ยิ้มด้วยความเอ็นดู “พี่น้องตระกูลกู้มาแล้วหรือ?”
ท่านลุงจางมีอายุประมาณสามสิบห้าถึงสามสิบหกปี มีศีรษะล้านเล็กน้อย คิ้วหนาของเขาเรียงตัวเป็นระเบียบ ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย เมื่อเห็นว่าเป็นกู้เสี่ยวหวาน เขาก็รีบวางชามข้าวและตะเกียบลง หันหน้าไปทางที่กู้เสี่ยวหวานเดินเข้ามา และฉีกยิ้มเผยฟันขาวสะอาด เนื่องจากต้องสานตะกร้าไม้ไผ่ตลอดทั้งปี นิ้วของเขาจึงด้านเป็นพิเศษ และมีบาดแผลประปรายตามหลังมือ คาดว่าจะเป็นแผลเก่าจากครั้งอดีต เนื่องจากอากาศหนาวเย็น รอยแผลจึงดูลึกขึ้น เขาสวมเสื้อแขนยาวซึ่งทำผ้าฝ้ายสีน้ำเงินและกางเกงผ้าฝ้ายสีเดียวกันตัวเก่า เนื่องจากเขาสูญเสียขา ท่านลุงจางจึงไม่ได้ลุกขึ้น แต่นั่งบนเก้าอี้ กางเกงใต้โต๊ะว่างเปล่าไร้ท่อนขา เดาว่าผูกด้วยเชือกเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหว
“ท่านลุงจาง…” กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าชายผู้ยิ้มแย้มเรียบง่ายและซื่อสัตย์ต่อหน้านางเป็นคนดีที่ดูแลครอบครัวของเขา
แม้เขาจะสูญเสียขาและพิการทางร่างกาย แต่ท่านลุงจางไม่เคยยอมแพ้ในตัวเอง แม้เขาจะบอกว่าตนทำไร่ข้างนอกไม่ได้ แต่ก็จะสานตะกร้าที่บ้าน แล้วขอให้ท่านป้าจางนำไปขายในเมือง
ฝีมือของท่านลุงจางนั้นดีมาก ตะกร้าทำขึ้นด้วยความประณีตและทนทาน ทุกคนจึงชอบที่จะซื้อมัน
“อื้ม” ท่านลุงจางตอบด้วยรอยยิ้ม
“พี่ฉือโถว” กู้หนิงผิงเรียก เสี่ยวฉือโถวจึงตอบรับหนึ่งคำ
เมื่อสักครู่ยังคงกินอยู่ แต่เมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวานเข้ามา เขาวางชามลงและลุกขึ้นยืนอยู่ข้าง ๆ
เสี่ยวฉือโถวในปีนี้อายุเก้าปี เป็นลูกคนเดียวของท่านลุงจางและท่านป้าจาง แม้ว่าจะเป็นคนเก็บตัวเล็กน้อย แต่เขาก็ใจดีคอยดูแลพี่สาวและน้องชายครอบครัวกู้เป็นอย่างดี เมื่อมีเวลาว่างเสี่ยวฉือโถวจะพากู้หนิงผิงขึ้นเขาลงห้วยเพื่อหาของกิน บางครั้งถ้ากู้หนิงผิงไม่พบของกิน เสี่ยวฉือโถวจะแบ่งส่วนของเขาให้กู้หนิงผิงนำกลับบ้าน ดังนั้นกู้หนิงผิงจึงชอบเสี่ยวฉือโถวเป็นอย่างมาก กู้เสี่ยวหวานก็ยังเชื่อใจพี่ชายคนนี้มาก
แม้ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานจะมีอายุเพียงแปดขวบ แต่ชีวิตก่อนหน้านี้นางอายุยี่สิบแปดปีแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กชายอายุเก้าขวบคนนี้ กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกอายเล็กน้อยที่จะเรียกเขาว่าพี่ชาย หากแต่นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยิ้มให้เสี่ยวฉือโถวอย่างเขินอายและเอ่ยทักทาย
เมื่อเสี่ยวฉือโถวเห็นกู้เสี่ยวหวานยิ้มหวานให้เขา ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงก่ำ วางมือทับลงบนหน้าอกของตนอย่างไม่รู้จะทำเยี่ยงไร ด้วยท่าทางที่ขี้อายนั้นทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขวยเขินมากขึ้น ราวกับว่านางกำลังล้อเลียนเด็กชายคนนี้อยู่
ท่านป้าจางดึงมือกู้เสี่ยวหวานอีกครั้งพลางเอ่ยถาม “กินข้าวหรือยัง? ยังไม่ได้กินใช่หรือไม่ เร็วเข้าฉือโถว รีบไปเอาชามกับตะเกียบมาสองชุด”
ฉือโถวตอบรับและรีบเดินไปหยิบอย่างฉับไว
กู้เสี่ยวหวานรีบเอ่ยขาน “พี่ฉือโถว อย่าเพิ่งไป!” จากนั้นนางก็หันศีรษะ และพูดกับท่านป้าจาง “ท่านป้าจาง พวกเรากินแล้วเจ้าค่ะ!”
“กินแล้ว?” ท่านป้าจางงุนงงเล็กน้อย และนางกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะรู้สึกเขินอาย จึงเอ่ยว่า “เจ้ากับหนิงผิงมาถึงบ้านของข้า ที่นี่ก็เหมือนกับบ้านของตัวเอง เช่นนั้นแล้วอย่าได้เกรงใจข้าเลย!”
“ท่านป้าจาง ข้าไม่ได้เกรงใจท่านจริง ๆ พวกเรากินแล้วก่อนมาที่นี่” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของท่านป้าจาง อย่างน้อยก็ยังมีคนห่วงใยนางด้วยใจจริง
ท่านป้าจางเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงผิงด้วยความสงสัย
กู้หนิงผิงจึงพยักหน้าและบอกว่าเขากินแล้ว เมื่อเห็นว่าท่านป้าจางยังคงสงสัย กู้หนิงผิงก็ตบท้องของเขาเบา ๆ “ท่านป้าจางขอรับ พวกเรากินแล้วจริง ๆ พวกเราอิ่มแล้ว!”
“แล้ววันนี้พวกเจ้ากินอะไรเป็นอาหารกลางวัน?” ท่านป้าจางยังคงรู้สึกกังวล กู้เสี่ยวหวานเป็นพี่คนโต อาหารทั้งหมดที่บ้านจึงถูกเตรียมโดยกู้เสี่ยวหวานดังนั้นทางที่ดีควรถามนาง
“ท่านป้าจาง วันนี้ตอนกลางวันเรากินหน่อไม้” กู้หนิงผิงตอบก่อน
“พวกเจ้าไปขุดหน่อไม้มากินอย่างนั้นหรือ?” เมื่อท่านป้าจางได้ยินว่าพี่น้องตระกูลกู้กินหน่อไม้ที่แม้แต่หมูก็ยังไม่กิน สีหน้าของหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป และเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “พวกเจ้ากินมันได้อย่างไร? ยิ่งกินจะยิ่งหิว ท้องของพวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ไม่ได้การ ฉือโถว เจ้าไปเอาชามกับตะเกียบมาสองชุด”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทางรีบร้อนของท่านป้าจาง นางก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่นางรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย เนื่องจากนางกินเนื้อที่บ้านและยังไม่ได้บอกท่านป้าจาง ท่านป้าจางจึงคิดเสมอว่าครอบครัวของนางยังคงกินไม่อิ่ม แม้ว่าสภาพบ้านจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็สามารถกินได้เพียงพอ
“ท่านป้าจาง ไม่ต้องห่วง! ให้ข้าได้พูดกับท่านหน่อยเถิด” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยรั้งท่านป้าจางที่กังวลใจไว้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เดาว่าฉือโถวจะต้องแอบชอบเสี่ยวหวานคนเดิมอยู่แน่เลย
บ้านกู้เขาพัฒนาด้านอาหารการกินแล้วน้า
ไหหม่า(海馬)