บทที่ 67 เหมียวเอ้อร์
บทที่ 67 เหมียวเอ้อร์
คุณแม่กู้ในตอนนั้นถึงกับตกใจอุ้มกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขนแล้ววิ่งไปที่โรงพยาบาลสองครั้ง หมอใช้แหนบยาวคีบก้างปลาออกมา ความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้นมีอิทธิพลที่ไม่ดีต่อทั้งคุณแม่กู้และตัวเธอเอง
ต่อมา คุณแม่กู้จึงไม่กล้าทำปลาจี้ตุ๋นให้กู้เสี่ยวหวานกินอีก เชี่ยวชาญในการตุ๋นปลาทรายแดงขาวที่มีก้างน้อย แต่เนื่องจากปลาจี้มีคุณค่าทางโภชนาการอาหารสูง แค่น้ำแกงปลาสีขาวข้นก็มีสารอาหารสำคัญในตัวปลาทั้งหมดรวมอยู่ในน้ำแกงถ้วยนั้นแล้ว
ทั้งอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ
กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ “พี่ชาย ช่วยพาข้าไปพบเถ้าแก่ร้านของท่าน ไม่เพียงแต่ข้าจะมีวิธีการทำปลาตัวนี้อย่างถูกต้อง แต่ข้ายังสามารถทำให้มันขายได้ในราคาห้าเหรียญอีกด้วย!”
กู้เสี่ยวหวานได้ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้มองลูกค้าที่เดินเข้าร้าน เนื่องจากอากาศหนาวเย็น ร้านอื่นจึงไม่มีผู้คน และซบเซาเป็นอย่างมาก
แต่ร้านนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนและคึกคักเป็นอย่างมาก
รถม้าราคาแพงที่จอดอยู่หน้าร้านอาหารแสดงถึงสถานะของผู้ที่มากินอาหารในร้านอาหาร แน่นอนว่าร้านอาหารนี้ควรจะเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดบนถนนสายนี้หรือแม้แต่ในเมืองนี้
กู้เสี่ยวหวานคิดกับตัวเองว่าการจะพัฒนาตนในตลาดแห่งนี้ได้ ให้เริ่มจากระดับบนสุด
“เจ้า?” ลูกจ้างภายในร้านดูเหมือนจะไม่เชื่อ และมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างพิจารณา ก็พบแค่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ ซึ่งอาจจะอายุเจ็ดหรือ แปดปี นุ่งห่มผ้าขี้ริ้วและแบกตะกร้าใบใหญ่ไว้บนหลังของนาง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นด้วยตาของตนเองว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้หยิบเงินยี่สิบเหรียญจากกระเป๋าของนางมอบให้กับเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้ เพียงเพื่อซื้อปลาจี้ราคาถูกสักสองสามตัว เขาคงคิดว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังขออาหาร
“ใช่ ข้าเอง พี่ชาย ท่านไม่อยากให้ร้านนี้มีอาหารจานพิเศษหรือ? นอกจากนี้ มันยังเป็นอาหารอย่างเดียวในเมืองนี้ด้วย!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างหนักแน่น
“ว่าอย่างไร…นะ? เจ้า เจ้า เจ้าพูดใหม่สิ” เมื่อลูกจ้างภายในร้านได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นของกู้เสี่ยวหวานเพียงครั้งเดียว จึงคิดว่าตนเองได้ยินผิดและเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก
กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง “พี่ชาย โปรดพาข้าไปพบเถ้าแก่ร้านของท่าน บอกว่าข้าสามารถปรุงปลาจี้ที่ไม่มีใครกินนี้ให้เป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทั้งเมืองได้”
เสี่ยวเอ้อจึงตระหนักว่าตนเองได้ยินถูกต้อง เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างสงสัย ครั้นเห็นสายตาแน่วแน่ของนางจึงรู้สึกว่าเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ “เอาล่ะ เจ้ารอเดี๋ยว ข้าขอไปตามเถ้าแก่ของข้าก่อน” พูดจบก็รีบวิ่งหายเข้าไปในร้านอาหาร
กู้เสี่ยวหวานฉวยโอกาสนี้มองสำรวจร้านอาหารอย่างระมัดระวัง
ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า ‘จิ่นฝู’ มีสามชั้น ความสูงนี้ค่อนข้างสูงในสมัยโบราณ ผนังด้านนอกก่อด้วยอิฐประดับกระเบื้องสี และสร้างเป็นศาลาลอยฟ้ามีชายคาอันงดงามตระการตา กู้เสี่ยวหวานสงสัยเล็กน้อยว่าภัตตาคารหรูดังกล่าวสามารถเปิดในเมืองเล็ก ๆ นี้ได้อย่างไร ถึงกระนั้นกู้เสี่ยวหวานก็ไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เด็กหญิงเอาแต่จ้องมองเข้าไปด้านใน ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป
กิจการร้านอาหารดีจริง ๆ ภายในร้านอาหารเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย เสียงไอน้ำกำลังเดือด เสียงหัวเราะดังครื้นเครง และเป็นฉากการกินอาหารที่มีชีวิตชีวา
การตกแต่งที่ชั้นหนึ่งเป็นที่นิยม มันดูค่อนข้างเรียบง่าย และลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นคนมีเงินที่อยู่ในละแวกนี้ ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังรออยู่ นางก็ฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ดูจานอาหารบนโต๊ะพลางพยักหน้า อาหารแต่ละอย่างค่อนข้างประณีตและยังมีความหลากหลายมาก
หลังจากดูชั้นแรกเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นสอง แต่มองได้ไม่ชัด เห็นเพียงบันไดที่ทอดไปสู่ชั้นสองเท่านั้น ทว่ามันถูกตกแต่งอย่างหรูหรามากขึ้น ดูเหมือนว่าชั้นสองจะเป็นชั้นสำหรับคนที่มีฐานะสูงในเมืองนี้
ตำแหน่งที่นางยืนอยู่ไม่สามารถมองเห็นชั้นสามได้ชัด เนื่องจากมุมมองนี้ทำให้มองไม่เห็นภายในชั้นสามเลย จึงไม่อาจรู้ได้ว่าชั้นสามมีไว้เพื่ออะไร และไม่เห็นลูกค้าเลย
ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังมองดูอยู่นั้น ผู้ชายอายุสี่สิบปีก็เดินเข้ามา
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นและเดินไปหากู้เสี่ยวหวานอย่างหยิ่งผยอง
เขาหยุดฝีเท้าลงข้างหน้ากู้เสี่ยวหวาน เขามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตารังเกียจ ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก
อย่างไรก็ตาม ดูจากเสื้อผ้าของคนนี้แล้ว มันไม่ได้ดูดีมากนัก จึงไม่น่าจะเป็นเถ้าแก่ร้านนี้
ถึงกระนั้นเหมียวเอ้อร์ก็ไม่กล้าออกปากไล่พวกเขา แต่เขาเห็นด้วยตาตัวเองว่าเสี่ยวเซิ่งจื่อพาสาวน้อยสกปรกคนนี้เข้ามา
เสี่ยวเซิ่งจื่อคนนั้น เมื่อคิดถึงเขาแล้ว เหมียวเอ้อร์ก็เหลือบมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความรังเกียจ ในใจไม่กังวลเรื่องเสี่ยวเซิ่งจื่อมากนัก เพราะความสัมพันธ์แบบญาติกับผู้เป็นเจ้าของร้าน ซึ่งปกติแล้วจะไม่สนใจคนทำบัญชีคนนี้ พูดตามหลักเหตุผลก็คือถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มาทำงานที่นี่ก่อนเสี่ยวเซิ่งจื่อ แต่เขาก็แก่กว่ามาก ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นคนทำบัญชีในร้านอาหารนี้ หน้าที่ของเขาคือดูแลบัญชีการเงินในร้านอาหารนี้ แต่เสี่ยวเซิ่งจื่อนั้นเป็นแค่ลูกจ้างในร้าน เหมียวเอ้อร์จึงสูดหายใจอย่างเย็นชาและความคิดชั่วร้ายก็พลันปรากฏ
“ขอทานน้อย เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ไม่รู้หรือว่าที่นี่มีไว้เพื่ออะไร?” เหมียวเอ้อร์เยาะเย้ย
ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินคำพูดของคน ๆ นี้ เด็กสาวพลันรู้สึกไม่ชอบใจ และเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “พี่ชายท่านนี้พาข้าเข้ามา”
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเฉยเมยต่อเขา เหมียวเอ้อร์ก็ตะลึง ขอทานผู้นี้มีความมั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไร
“เรื่องในร้านแห่งนี้ขึ้นอยู่กับข้า!” เมื่อเห็นว่าขอทานตัวน้อยไม่ได้จริงจังกับเขา เหมียวเอ้อร์ก็รู้สึกเดือดดาล
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ยิ่งไม่ใส่ใจ นางเถียงกลับอย่างเกียจคร้าน และขยับไปด้านข้างสองสามก้าว
เหมียวเอ้อร์ไม่ชอบเสี่ยวเซิ่งจื่อตั้งแต่แรก เสี่ยวเซิ่งจื่อพาขอทานคนนี้เข้ามาโดยไม่ได้รายงานให้ตนเองรับรู้ด้วยซ้ำ!
ขอทานตัวน้อยคนนี้เข้ามาในร้านอาหารระดับหรูเช่นนั้นแล้ว หากสร้างปัญหาให้ลูกค้าและเถ้าแก่ร้านขึ้นมา เขาจะบอกว่าเป็นเสี่ยวเซิ่งจื่อที่พานางเข้ามา และดูกันว่าเขาแก้ตัวและจะอธิบายให้เถ้าแก่ของร้านฟังอย่างไร
เหมียวเอ้อร์ตัดสินใจไม่ไล่กู้เสี่ยวหวานออกไป หากแต่ยืนกอดอกและจ้องมองกู้เสี่ยวหวานราวกับว่ากำลังจ้องมองหัวขโมย
กู้เสี่ยวหวานหยุดมองเขา และมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น “ใช่สาวน้อยคนนี้หรือไม่?”
กู้เสี่ยวหวานหันไปรอบ ๆ และเห็นลูกจ้างภายในร้านเมื่อครู่นี้เข้ามากับชายวัยสามสิบปีผู้สีหน้าท่าทางน่าเคารพนับถือ
………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เป็นแค่คนทำบัญชีก็อย่าผยองให้มากนักค่ะ เกิดอะไร ๆ ไม่เป็นตามคาดแล้วจะเก็บเศษหน้าไม่ทันนะ
ไหหม่า(海馬)