บทที่ 86 ประชันฝีปาก
บทที่ 86 ประชันฝีปาก
แต่ที่นางคิดไม่ถึงเลยก็คือ แม้แต่กู้ฉวนโซ่วที่เป็นคู่ชีวิตก็ไม่ช่วยเหลือตัวเองด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ยิ่งทำให้นางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
เฉาซื่อกัดลงไปที่แขนของกู้ฉวนโซ่วแบบที่แทบไม่ต้องคิด ฟันบนและล่างสบเข้าด้วยกัน จนภายในปากรับรู้ถึงกลิ่นคาวสนิม นางก็ไม่คิดจะผ่อนแรงลงเลย
ฤดูหนาวในชนบทนั้นอากาศเย็นเยือก ทุกคนต่างก็สวมชุดหลายชั้น กู้ฉวนโซ่ววันนี้ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ก็ยังสวมเสื้อทับกันตัวแล้วตัวเล่า ทว่าชุดกันหนาวที่หนาถึงเพียงนี้ก็ยังไม่สามารถต้านทานแรงกัดอันดุดันของเฉาซื่อได้เลย
กู้ฉวนโซ่วที่ถูกกัดร้องโหยหวน “โอ๊ย!” เขาอยากกระชากแขนข้างที่ถูกกัดออกมา แต่เฉาซื่อคล้ายจะใส่ความโมโหทั้งหมดในวันนี้มาลงที่แขนข้างนั้นจึงกัดคล้ายจะกัดให้ตาย ทำให้กู้ฉวนโซ่วอยากจะดึงแขนกลับมาก็ดึงไม่ได้
ซุนซื่อมองอยู่อีกด้านด้วยสายตาเย็นชา หัวเราะเสียงเย็นมองสองสามีภรรยาแสดงละครกลยุทธทุกข์กาย* “นี่ พวกเจ้าสองคนถ้าจะตีกันก็ปิดประตูเสีย แสดงกลยุทธทุกข์กายของพวกเจ้าเช่นนี้ต้องการแสดงให้ใครดูกันแน่”
กู้ซินเถายืนมองอยู่อีกด้าน ยืนมองทั้งสองแสดงละครตบตีกันอย่างสนุกสนาน
เฉาซื่อได้ยินเสียงของซุนซื่อ เมื่อครู่นี้ในใจของนางกำลังเดือดจัด ไม่คิดมองใครเป็นใครก็กัดลงไปแล้ว ตอนนี้ได้ยินเสียงซุนซื่อก็ได้สติกลับมาและเห็นว่าคนที่ตัวเองกัดอยู่ก็คือสามีตน นางจึงรีบปล่อยปากทันทีและตะโกนเสียงดังว่า “ไสหัวไปให้พ้น!”
เฉาซื่อร้องเสียงดังลั่นจนน่ากลัวว่าเสียงตะโกนนี้จะทำให้เพื่อนบ้านทั้งซ้ายขวาได้ยินกันหมด อีกทั้งมันยังเป็นนิสัยของเฉาซื่อที่ติดมาจากครอบครัวเดิม คำที่ด่าว่ากู้ฉวนโซ่วก็ยิ่งระคายหูมากกว่าเดิม เสียงด่าแหลมสูงนี้เกรงว่าเพื่อนบ้านจะรู้กันหมดแล้ว จนกู้ฉวนโซ่วใจเต้นระส่ำ กู่ร้องในใจว่าแย่แล้ว ก่อนจะเห็นว่าพวกชาวบ้านทยอยพากันมาทางนี้
ในโลกนี้มีใครไม่ชอบเรื่องซุบซิบนินทาบ้าง ฤดูหนาวในชนบทไม่ต้องทำนา อยู่บ้านตะวันออกยาว บ้านตะวันตกสั้น* ทุกวัน ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจไปมากกว่าเรื่องพวกนี้แล้ว พอดีกับได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากบ้านตระกูลกู้ แต่ละคนก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา เจ้าเรียกข้า ข้าเรียกเจ้า ไป ๆ มา ๆ ก็ยกโขยงกันมาออหน้าบ้านตระกูลกู้แล้ว
*หมายถึง ซุบซิบนิทาชาวบ้าน
กู้ฉวนโซ่วกวาดตามองกลุ่มคน ซุนซื่อยกแขนกอดอก สีหน้าดูถูกมองเฉาซื่ออย่างเย็นชา กู้ซินเถาหลบตัวอยู่ไกล ๆ ดูเรื่องสนุกอีกด้านหนึ่ง สตรีสองคนในบ้านตัวเอง แม้แต่ประตูก็ยิ่งไม่กล้าออกมาดู หลบตัวเงียบอยู่ในห้อง ส่วนเฉาซื่อ…ก็ยังคงอยู่ในภวังค์แห่งความโกรธ
กู้ฉวนโซ่วกลัวว่าเรื่องจะใหญ่เกินไปจะมีจุดจบไม่ดี รีบดึงตัวเฉาซื่อพูดเสียงต่ำ กระซิบว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
เฉาซื่อที่มีเพลิงโทสะสุมทรวงอยู่เห็นบุรุษของตัวเองพูดแทนคนอื่น ทั้งยังเห็นสีหน้าเยาะเย้ยของซุนซื่อที่มองตัวเองอยู่ เพลิงโทสะในใจก็ยิ่งลุกโหม “ท่านมันบุรุษไร้ประโยชน์ ทำไมไม่ช่วยภรรยาตัวเองเล่า”
พอกู้ฉวนโซ่วได้ยินเฉาซื่อโมโหใส่ตัวเอง หัวใจก็เต้นตึกตัก มองเฉาซื่อที่กำลังโมโหอย่างหวาด ๆ พูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เสียงเบา “พวกเรากลับกันเถอะ เพื่อนบ้านเยอะขนาดนี้ น่าขายหน้าคนอื่น!”
เฉาซื่อมองท่าทางใจเสาะของสามีตัวเองก็ยิ่งทวีความฉุนเฉียว “ท่านมันบุรุษไร้ประโยชน์ มารู้สึกขายขี้หน้าคนอื่นอะไรตอนนี้? วัน ๆ มัวแต่เอาเงินไปซื้อเหล้า รู้จักหาเงินเข้าบ้านบ้างไหม?”
กู้ฉวนโซ่วร่างกายอ่อนแอจึงไม่สามารถหาเงินได้ อีกทั้งพอในบ้านมีเงินแค่หนึ่งก้วนเขาก็เอาไปซื้อเหล้ามาดื่ม ไม่ว่าจะเปลี่ยนอย่างไรก็เปลี่ยนไม่ได้ และก็เพราะเรื่องนี้เช่นกันที่ทำให้เฉาซื่อไม่ชอบใจเขา
“กลับกันเถอะ ๆ! อย่าทำตัวขายขี้หน้าคนอื่นเลย” กู้ฉวนโซ่วมองชาวบ้านที่มีแต่จะเพิ่มจำนวนเยอะขึ้น เขาก็รีบดึงตัวเฉาซื่อเข้าในบ้าน
เฉาซื่อที่สติหลุดแล้วกลับไม่ฟังเขาแต่อย่างใด ยื่นมือพลักกู้ฉวนโซ่วออกไป จากนั้นก็หันหลังมาหัวเราะเยาะซุนซื่อ “ก็ดี ชาวบ้านเยอะขนาดนี้ จะได้ให้ออกความคิดเห็น ใครไม่รู้บ้างว่าตอนที่แยกบ้านปีนั้น บ้านใหญ่ของพวกเจ้าไม่ต้องการบ้านหลังนี้เลย ทั้งยังเอาของใช้ส่วนมากไปด้วย เหลือไว้แค่บ้านผุ ๆ พัง ๆ หลังนี้หลังเดียว ตอนนี้บ้านหลังนี้ก็ตกมาเป็นของพวกเราบ้านสาม พวกเจ้ากลับมาอยู่ฉลองปีใหม่ ข้าอนุญาตให้อยู่หรือยัง? ถ้าจะมาพักก็ต้องจ่ายค่าเช่าไม่ใช่รึ? ไม่ให้ค่าเช่าก็ต้องให้เงินเล็กน้อยเหมือนกันนี้? ทุกปีพวกเจ้าซื้อแค่ของขวัญปีใหม่แค่ไม่กี่ก้วน ข้าก็อดทนมามากแล้วเหมือนกัน พวกเจ้ากลับมาเอาฟืน เอาข้าว เอาน้ำมันจากบ้านเรา แต่ข้าอยากได้แค่ของเล็กน้อย ๆ พวกเขากลับไม่มีให้ ข้าเฉาซื่อใจกว้างมากเลยใช่ไหมเล่า?”
คำพูดทีละคำที่ออกมาจากปากของเฉาซื่อล้วนทำให้ผู้อื่นคิดไม่ถึงว่าเฉาซื่อจะพูดแบบนี้ออกมาจากปากตน “ครอบครัวพวกเจ้ากลับมาก็อยู่นานตั้งครึ่งเดือน เช่นนั้นค่าเช่าบ้าน ค่าข้าว ค่าน้ำมัน แล้วก็ค่าจิปาถะต่าง ๆ นานา รวม ๆ แล้วครั้งหนึ่งก็สองก้วนไม่ใช่หรืออย่างไร? แล้วดูของปีใหม่ที่พวกเจ้าเอากลับมาแต่ละปีสิ มูลค่ากี่ก้วนกัน คนหายากแบบพวกเจ้า ข้าก็ไม่อยากจะเจออีกแล้วเหมือนกัน!”
ซุนซื่อเห็นเฉาซื่อสาดคำพูดอธิบายหาเหตุผลให้ตัวเองเช่นนี้ ก็ทำให้ไม่รู้จะกล่าวอะไรแก้ต่างได้เลย ได้เพียงเจ็บใจเงียบ ๆ
ชาวบ้านต่างครุ่นคิดอย่างรวดเร็วก็สามารถคาดเดาเรื่องราวเองได้ “จริงด้วย บ้านใหญ่กู้ทำงานเป็นเสมียนในโรงเตี๊ยมชื่อดังในเมือง สมเหตุสมผลที่จะมีเงิน ทำไมเงินแค่นี้พวกเขากลับไม่จ่าย!”
“จุ๊ ๆ เจ้าไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้เงินสินสอดของเฉาซื่อที่แต่งให้เจ้าสามก็มีเจ้ารองกู้เป็นผู้ออกให้ บ้านใหญ่กู้กลับไม่เห็นยื่นมือเข้ามาช่วย!” คนที่รู้เรื่องภายในการแต่งงานของเฉาซื่อกับกู้ฉวนโซ่วพูด
“จุ๊ ๆ โหดร้ายเสียจริง!” คนที่ได้ยินจิปากแล้วพูด “มิน่าเล่า พวกนางถึงได้ขี้งกเพียงนี้!”
“หึ เจ้าไม่รู้อะไร คนมีเงินน่ะนะยิ่งมีมากก็ยิ่งขี้งก! เจ้าดูปิ่นทองบนผมซุนซื่อสิ อย่างน้อยก็น่าจะสองก้วนได้ เพียงแต่ว่านางคงตัดใจให้ไม่ได้หรอก!”
“ใช่แล้ว ปิ่นทองอันหนึ่งก็เท่ากับเงินประทังชีพทั้งปีของพวกเราแล้ว ขี้งกกระทั่งน้องสะใภ้ตัวเองไม่พอ ยังกินอยู่บ้านคนอื่นอย่างเปล่า ๆ อีก”
ใบหน้าซุนซื่อชาวาบ มองคนชี้นิ้วว่าตัวเองก็เอ่ยละล่ำละลักว่า “เฉาซื่อ เจ้าอย่าพูดซี้ซั้ว ที่พี่ชายใหญ่เจ้าไม่ให้เงิน เพราะว่าสามีของเจ้านั่นแหละที่ทำให้พวกเจ้าดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ*”
*เป็นสำนวนเปรียบว่า อดยากจนต้องกินลมให้ท้องอิ่ม
คำพูดนั้นของซุนซื่อถูกครึ่งหนึ่งเช่นกัน เจ้าสามที่ปีหนึ่ง ๆ ไม่เคยทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาดื่มเหล้า กู้ฉวนโซ่วไม่ทำงานเลยในหนึ่งปี นอกจากเก็บค่าเช่าจากนาเป็นสิบ ๆ ผืน เฉาซื่อยิ่งแล้วใหญ่ นางเป็นคุณหนูคนหนึ่ง สิบนิ้วไม่เคยต้องใช้ซักผ้าถูบ้าน อีกทั้งครอบครัวของนางยังเลี้ยงลูกสาวยิ่งกว่าคุณหนูผู้หนึ่ง แล้วยังมีลูกชายที่กำลังเรียนต้องใช้เงินมาก บ้านของเจ้าสามจะเอาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหนเลี้ยงครอบครัวตัวเองได้กัน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขนมพอผสมกับน้ำยาล่ะว้า ว่าเขาแล้วตัวเองก็ไม่ได้ดีกว่าเขาเลย
ไหหม่า(海馬)