บทที่91 หาเงินจากบ้านสาม
บทที่91 หาเงินจากบ้านสาม
ซุนซื่อยิ่งรู้สึกดีใจ ส่วนกู้ฉวนลู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เช่นนั้นพวกเราซื้อบ้านในเมืองกันเถิด เดี๋ยวรอเทศกาลชิงหมิงค่อยกลับมาจุดธูปไหว้ท่านพ่อท่านแม่ ต่อไปพวกเราก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเลย ท่านทำงานที่โรงเตี๊ยม ข้าอยู่บ้านดูแลซินเถา ตอนที่เหวินเอ๋อร์เรียนหนังสือจะได้มีบ้านให้กลับเหมือนกัน โรงเตี๊ยมนั่นเสียงดังจะตาย กระทบกับการเรียนของเหวินเอ๋อร์มากนัก” ซุนซื่อพูดด้วยใบหน้าเป็นห่วงเป็นใย เสมือนว่านางกำลังทำเพื่อสานฝันให้กับเหวินเอ๋อร์
“ถ้าอีกสองสามปีข้างหน้า เหวินเอ๋อร์สอบซิ่วไฉได้แล้วสอบจวี่เหริน*ต่อได้ ซินเถาได้ดองกับครอบครัวดี ๆ บ้านของพวกเราก็จะยิ่งดีขึ้น” ซุนซื่อเพ้อฝันถึงตอนที่กู้จือเหวินสอบจวี่เหรินได้ อุปมาว่าตัวเองกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของขุนนาง
*จวี่เหริน คือรอบที่สองของการสอบจองหงวน เป็นการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค (มณฑล)
กู้ฉวนลู่ได้ยินซุนซื่อวาดฝันถึงอนาคต ลึก ๆ แล้วเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตนไม่มีความคิดนั้นเช่นกัน แน่นอนว่าซุนซื่อพูดได้ตรงใจของกู้ฉวนลู่อย่างจัง
ทั้งชีวิตนี้ของกู้ฉวนลู่ล้วนตั้งความหวังทั้งหมดไว้ที่กู้จือเหวิน ต้องบอกว่าเขาในวัยเยาว์เรียนไม่เก่ง สอบไม่ผ่านซิ่วไฉ แม้แต่อาจารย์สอนหนังสือก็ไม่สามารถเป็นได้ เป็นได้เพียงนายบัญชีในโรงเตี๊ยม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดีกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านอู๋ซีที่วัน ๆ ขาเปื้อนดินโคลนสามจั้ง* ซึ่งกู้ฉวนลู่พบว่าไม่มีใครไม่เรียกตัวเองว่านายท่านกู้เลย
*หมายถึง คนที่ทำไร่ทำนา
ถ้าเกิดว่ากู้จือเหวินสามารถสอบซิ่วไฉได้ ก็จะเติมเต็มความฝันของกู้ฉวนลู่ และเป็นเรื่องที่ดีมากอย่างแน่นอน
สามารถกล่าวได้ว่าใครที่มันกล้าขัดขวางความเจริญของบุตรชายเขา กู้ฉวนลู่จะเป็นคนแรกที่จะไม่ยอมปล่อยมันไป
ในใจของกู้ฉวนลู่รู้สึกพึงพอใจ เขาให้กู้ฉวนโซ่วรับผิดชอบให้บุตรชายตัวเองได้อ่านหนังสือ นั่นก็ต่อเมื่อเขาเห็นความสำคัญของบุตรชายเขา ถ้าหลังจากกู้จือเหวินสอบเป็นซิ่วไฉแล้ว ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะครอบครัวเป็นครอบครัวขุนนางได้
เห็นทีนี่คงจะเป็นควันสีเขียวจากหลุมศพบรรพชน*ตระกูลกู้เสียแล้ว หลังจากรอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มาถึงตระกูลกู้แล้ว และจะไม่มีใครไม่รู้จักนายท่านกู้ฉวนลู่คนนี้อีกต่อไป
*เป็นภาษาถิ่น ในอดีตเชื่อว่าควันสีเขียวที่หลุมศพบรรพชนเป็นลางสังหรณ์เรื่องดีหรือจะมีโชค
ถ้าตอนนั้นกู้จือเหวินรับราชการ ถ้ากู้ฉวนโซ่วรู้จักตีสนิทสักหน่อย กู้ฉวนลู่ยังคิดอยากจะให้กู้จือเหวินให้ผลประโยชน์กับกู้ฉวนโซ่วอีกด้วย แต่ถ้ากู้ฉวนโซ่วกล้าขัดขวางเส้นทางของบุตรชายตัวเองล่ะก็ เช่นนั้น…
กู้ฉวนลู่ลอบคิดในใจอย่างโหดร้าย กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปรากฏขึ้นหลังฝ่ามือ ถ้ากล้าถึงขั้นขัดขวางลูกชายตัวเอง เขาจะเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยกู้ฉวนโซ่ว ต่อให้เป็นน้องชายตัวเองเขาก็ไม่ยอม “เรื่องนี้ข้ากำลังคิดว่าตอนนี้บ้านเราต้องพึ่งงานบัญชีของข้าอย่างเดียวในการหาเงิน แบบนี้คงไม่พอให้เหวินเอ๋อร์แน่ หลังจากเหวินเอ๋อร์เรียนหนังสือ ไม่ว่าอะไรก็ต้องใช้เงิน เดิมทีเงินของพวกเราก็ไม่พออยู่แล้ว”
“แต่เจ้าสามไม่เหมือนกัน ในมือเจ้าสามมีบ้าน มีไร่นา พวกเขาเอาแต่อยู่ในบ้าน เอาไร่นาไปให้คนอื่นเช่า ปีหนึ่งหาเงินได้ไม่กี่ตำลึง” คิดถึงตรงนี้ ในใจของกู้ฉวนลู่หากบอกว่าไม่แค้นก็คงเป็นไปไม่ได้ “ที่ดินเป็นของพวกเขา ที่นาก็เป็นของพวกเขาเหมือนกัน ถ้าพวกเราจากไปทั้ง ๆ แบบนี้เกรงว่าจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาแน่”
คนอื่นจะหัวเราะเยาะหรือไม่กู้ฉวนลู่ไม่รู้ แต่ถ้าอะไรก็ไม่เอาสักอย่างและยกทุกอย่างให้ครอบครัวเจ้าสาม กู้ฉวนลู้คงเจ็บแค้นไปทั้งชีวิต
ได้ฟังแบบนั้น ซุนซื่อเองก็กัดฟันกรอด คล้ายกับถูกสะกิดแผลในใจ “ไม่รู้ว่าตาแก่ในฮวงซุ้ยนั่นต้องการจะทำอะไร บ้าน ที่นาถึงได้ให้เจ้าสามไปหมด แม้แต่เจ้ารองยังไม่ได้ส่วนแบ่งเลยสักส่วนเดียว มันน่าน้อยใจจริง ๆ!”
“ไม่ให้น้อยใจได้อย่างไร ตอนที่เฉาซื่อแต่งงาน งานแต่งนางต้องใช้เงินไปตั้งหลายสิบตำลึง เงินพวกนี้เพียงพอที่จะจัดงานแต่งในเมืองได้เลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับแต่งหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง” กู้ฉวนลู่พูดอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม
“หัวหน้าครอบครัว ถ้าท่านว่าเช่นนี้ พวกเราก็จะฟังท่าน! หลังจากนี้เหวินเอ๋อร์ต้องใช้เงินอีกมาก พวกเราควรได้อะไรบ้างสิ! อีกอย่างถ้าหลังจากนี้เหวินเอ๋อร์เรียนสูงขึ้นแล้ว ครอบครัวกู้ก็จะได้อานิสงส์ ผู้คนก็จะเลิกดูถูกพวกเขา!” ซุนซื่อเห็นกู้ฉวนลู่เริ่มไม่ชอบใจกู้ฉวนโซ่วกับเฉาซื่อแล้ว ในใจก็ลอบวางใจเช่นกัน
แม้ว่าตอนนี้จะต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเฉาซื่อสตรีแพศยานั่น แต่หลังจากที่ซุนซื่อทะเลาะกับเฉาซื่อเมื่อครู่ ในใจนางก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
“หึ ถ้าเขาสนับสนุนเส้นทางของลูกชายข้า ก็จะถือว่าพวกเขาโชคดีไป!” ซุนซื่อรำพึงในใจเสียงเย็น พอคิดว่าลูกชายมีอนาคตที่ดี นางก็ตื่นเต้นแล้ว ถ้าต่อไปบุตรชายได้เป็นขุนนาง นางก็จะมีศักดิ์เป็นมารดาของขุนนางด้วย หลังจากนี้นางก็จะรวยแล้ว ตอนนี้นางจะตระหนี่ไปทำไมล่ะ!
คิดถึงตรงนี้ซุนซื่อกับกู้ฉวนลู่ทั้งสองคนก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมถึงอนาคตข้างหน้า เขาสองในอนาคตจะต้องมีชีวิตที่ดีได้แน่!
ภายในห้องอีกห้องหนึ่งนั้นพวกเขาไม่รู้เลยว่ากู้ฉวนลู่กับซุนซื่อคิดแผนการลับ ๆ อะไรบ้าง
ภายในห้องใหญ่ เฉาซื่อนั่งรอมาครึ่งวันแล้ว กำลังรอท่านหมอหม่าหมอคนเดียวในหมู่บ้านที่อยู่ระหว่างเดินทาง เขาอยากมาดูว่าผู้ป่วยเป็นอย่างไรบ้าง
แต่คนที่มากลับเป็นกู้ซุ่นสีลูกชายคนโตของกู้ฉวนโซ่ว และเพิ่งจะอายุเจ็ดขวบเท่านั้น หลังฟังเรื่องหัววัวไม่ตรงกับปากม้า*ครึ่งวัน ไม่ได้ลงลึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับบิดาของเขาชัดเจนนัก สุดท้ายก็รีบวิ่งมาถึง เด็กชายหอบหายใจอย่างโมโหว่า “ท่านแม่เตะท่านพ่อทำไม พ่อข้าเจ็บแค่ไหนท่านรู้ไหม!”
*หมายเรื่อง เรื่องราวไม่ปะติดปะต่อหรือไม่ถูกต้อง
ทันทีที่ท่านหมอหม่าได้ข่าวว่ามีภรรยาเตะสามีตัวเอง และตรงที่นางเตะมันก็เจ็บปวดอย่างไม่ต้องสงสัย!
ท่านหมอหม่าไม่แม้แต่จะคิดก็รู้ว่าเฉาซื่อเตะกู้ฉวนโซ่วที่ไหน จึงรีบหอบเอากล่องยาวิ่งไปบ้านตระกูลกู้พร้อมกับเด็กน้อยกู้ซุ่นสี
เมื่อมาถึง เฉาซื่อก็กำลังร้อนรนจนเดินไปเดินมา มองเห็นท่านหมอหม่ามาแล้วก็เหมือนเห็นยาวิเศษช่วยชีวิตได้ก็ไม่ปาน รีบตรงไปข้างหน้าดึงมือท่านหมอหม่าด้วยสภาพน้ำหูน้ำตาไหล “ท่านหมอหม่า รีบมาดูสามีข้าเร็วเจ้าค่ะ เรื่องใหญ่แล้ว!”
ท่านหมอหม่าได้ยินกู้ซุ่นสีขยายความเมื่อกี้ ก็พอจะเดาต้นสายปลายต้นของเรื่องราวได้ทั้งหมดแล้ว
ท่านหมอหม่ามองกู้ฉวนโซ่วที่นอนเหม่อเสมือนคนตายไปแล้วด้วยสายตาสงสาร มือค่อย ๆ เปิดผ้าที่ปิดช่วงล่างอย่างช้า ๆ และก็ตกใจที่เห็นส่วนนั้นของกู้ฉวนโซ่วช้ำจนกลายเป็นสีม่วง กระทั่งสียังออกดำคล้ำเล็กน้อยด้วย เฉาซื่อมองสายตาของท่านหมอหม่าด้วยความตื่นตระหนก ถามอย่างอดไม่อยู่ว่า “ท่านหมอหม่า สามีข้าสรุปว่าเป็นอะไรเจ้าคะ!”
เฉาซื่อตอนนี้ตอนนี้อยากร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตาแล้ว เมื่อครู่นางไม่ได้ลงแรงหนักอะไรเลย เหตุใดกู้ฉวนโซ่วถึงบาดเจ็บขนาดนี้! โดยไม่รู้ตัวเลยว่าแรงเตะตอนที่ตนบันดาลโทสะนั้นมันแรงมากขนาดไหน
“เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจเถอะ! นี่น่ะ…เกรงว่าจะใช้ไม่ได้แล้ว” ท่านหมอหม่าห่มผ้าให้กู้ฉวนโซ่วดี ๆ พอมองเห็นสิ่งที่เขาเพิ่งปิดไป เขาก็ได้แต่พูดด้วยความเสียใจ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เตะกล่องดวงใจสามีจนช้ำขนาดนั้นเกรงว่าจะใช้งานไม่ได้แล้วล่ะ มาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้วนังเฉาซื่อเอ๊ย
ไหหม่า(海馬)