บทที่ 104 ความคิดของเหล่าเหลียงโถว
บทที่ 104 ความคิดของเหล่าเหลียงโถว
เมื่อพูดอย่างชัดเจนแล้วแต่ซุนซื่อยังคงไม่เข้าใจ กู้ฉวนลู่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดต่อ “เหวินเอ๋อร์ของพวกเราปีนี้อายุแปดขวบ ในอีกสองถึงสามปีก็จะเข้าร่วมสอบระดับจังหวัดแล้ว หากสอบซิ่วไฉได้ นี่ไม่ใช่ความรุ่งโรจน์ของหมู่บ้านอู๋ซีหรอกหรือ? หากในอนาคตเหวินเอ๋อร์สามารถสอบจวี่เหรินได้ เขาจะกลายเป็นขุนนางอย่างแน่นอน หัวหน้าหมู่บ้านจึงรีบมาประจบประแจงพวกเรา!”
ขณะที่กู้ฉวนลู่พูด เขารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เหวินเอ๋อร์คนนี้คือความหวังของเขา ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเป็นข้าราชการอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจึงตั้งตรงขึ้น
“หัวหน้าหมู่บ้านช่างมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล!” เมื่อได้ยินว่ามีคนมาประจบประแจงพวกเขาเพราะลูกชายที่มีค่าของพวกเขา ซุนซื่อก็รู้สึกตื่นเต้น เรือนฝั่งตะวันตกอันทรุดโทรมหลังนี้จะคู่ควรกับขุนนางในอนาคตได้อย่างไร “สามี ข้าคิดว่าสิ่งที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดนั้นถูกต้อง ลองคิดดู เรือนหลังนี้ไม่มีแดดและอับชื้นเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเหวินเอ๋อร์ของพวกเราอ่านหนังสือที่นี่ เกรงว่าจะป่วยได้ ถ้าเกิดเหวินเอ๋อร์ไม่สบายขึ้นมาจะเป็นอย่างไร? หากเราได้เข้าอยู่ในบ้านใหญ่ ข้าคิดว่าเราสู้เพื่อมันได้! หลังจากนี้เราก็จะซื้อบ้านในเมือง พอเรากลับมาบ้านเพื่อไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อกับแม่ เราก็จะได้มีที่พักดี ๆ ใช่หรือไม่? ถ้าในอนาคตเหวินเอ๋อร์กลายเป็นขุนนางแล้วเพื่อนร่วมงานรู้ว่าเขาอยู่ในเรือนฝั่งตะวันตกล่ะ? มันจะเหมาะสมอย่างนั้นหรือ”
ด้วยการโน้มน้าวใจของซุนซื่อเมื่อไม่กี่วันก่อน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนของเหล่าเหลียงโถ่วในวันนี้และปัญหาในบ้านของน้องสามตระกูลกู้ หัวใจของกู้ฉวนลู่ก็ค่อย ๆ ถูกเกลี้ยกล่อม ถ้าเขาไม่อยู่ในเรือนหลัก คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือเหวินเอ๋อร์ ในหัวใจของเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่สามารถปล่อยให้สิ่งใดมากระทบต่ออนาคตและโชคชะตาของเหวินเอ๋อร์ของเขาได้
“เราต้องหาวิธีที่แน่นอนในการพูดคุยกับครอบครัวของเจ้าสามและโน้มน้าวใจคนในหมู่บ้าน” กู้ฉวนลู่ตัดสินใจแล้ว เพื่อเห็นแก่เหวินเอ๋อร์ พวกเขาจะตัดสินใจอยู่ในเรือนหลักของบ้านเก่าตระกูลกู้
“ไม่ต้องห่วง สามี เมื่อเกวียนจบพบทางอ้อมเมื่อไปถึง เราจะยึดบ้านหลักและที่ดินที่เป็นของเรากลับคืนมาได้” ซุนซื่อกล่าวด้วยความมั่นใจ
เหตุการณ์ในวันนี้แพร่กระจายไปทั้งหมู่บ้าน ผู้คนต่างมาห้อมล้อมอยู่รอบบ้านเก่าของครอบครัวกู้ทีละคนอย่างความกระตือรือร้นและความริษยา และเล่าเรื่องของกู้ฉวนโซ่วในวันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะหย่าร้างจะไม่สำเร็จ แต่ก็เป็นข่าวที่สะเทือนทั่วทั้งหมู่บ้านอู๋ซี
ต่อให้ครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการที่จะรู้ พวกเขาก็ถูกบังคับให้ต้องรู้
กู้เสี่ยวหวานรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร นั่นเริ่มจากกู้หนิงอันที่ไปตักน้ำในแม่น้ำ
ถังน้ำภายในบ้านไม่เหลือน้ำสักหยด กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงสองพี่น้องจึงไปที่แม่น้ำพร้อมกับถัง ขณะนั้นใกล้ถึงเวลาทำอาหารกลางวัน ริมแม่น้ำจึงมีสตรีบางคนกำลังล้างผักอยู่ ล้างไปพูดคุยกันไป เป็นการสนทนาที่มีชีวิตชีวา ปากก็พูดไปส่วนมือก็ไม่หยุดขยับ
ผู้คนในหมู่บ้านไม่สนใจครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการตายของกู้ฉวนฟู่และภรรยาของเขา คนในหมู่บ้านจึงมองว่าเด็กทั้งสี่คนนี้เป็นภาระ กลัวว่าถ้ายื่นมือเข้าไปจะช่วยก็จะสลัดออกไปไม่ได้เหมือนกอเอี๊ยะหนังสุนัข ดังนั้น ในวันธรรมดาคนอื่นจึงไม่ค่อยคุยกับพวกเขามากนัก
ไม่รู้ว่าเพราะสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นน่าตื่นเต้นเกินไปหรือไม่ หรือเพราะเห็นพี่น้องฝาแฝดตระกูลกู้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ในวันนี้ ในหมู่พวกเขาก็มีหญิงคนหนึ่งมาล้างผักด้วย นางคือกุ้ยซื่อที่น่ารำคาญ เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องฝาแฝดจากครอบครัวกู้ปรากฏตัว และยังสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม กุ้ยซื่อก็ไม่คิดเลยว่าเด็กสองคนที่แต่งตัวมอมแมมเหมือนขอทานเมื่อสองสามวันก่อนจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงได้ในวันนี้
เดิมทีแล้วกู้ฉวนฟู่เป็นคนหน้าตาดี และยังถูกมองว่าเป็นบุรุษที่หล่อเหลาในหมู่บ้าน เด็กสองคนนี้จึงมีองค์ประกอบบนใบหน้าที่ดีเช่นกัน
กุ้ยซื่อตกตะลึง นางไม่ตอบสนองจนกระทั่งกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงเข้ามาใกล้จึงเกิดความคิดขึ้นมาในใจ ดูเหมือนว่ากู้เสี่ยวหวานจะมีวิธีหาเงินได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะหาเงินจากไหนมาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเขากัน?
ดวงตาของกุ้ยซื่อฉายแววอิจฉาเล็กน้อย แต่นางไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานใช้วิธีไหนหาเงิน ดังนั้น นางจึงอยากจะพูดกับเด็กสองคนนี้
“เฮ้ สองหนุ่มน้อยตระกูลกู้ มาที่นี่เพื่อตักน้ำหรือ?” กุ้ยซื่อยิ้มอย่างประจบสอพลอ
เมื่อได้ยินกุ้ยซื่อพูดคุยกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว กู้หนิงอันก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและตอบรับเบา ๆ หนึ่งคำ
กู้หนิงผิงเกลียดสตรีผู้นี้มาก นางเป็นสตรีปากยื่นปากยาว ชอบนินทาทุกอย่างในหมู่บ้าน เมื่อก่อนเวลาเห็นตนเอง กุ้ยซื่อคนนี้ก็มักเรียกพวกเขาว่าขอทาน ดังนั้น กู้หนิงผิงจึงไม่ชอบกุ้ยซื่อมากนัก
เมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของพี่น้องทั้งสอง นางก็ไม่สนใจและกล่าวต่อ “เสื้อผ้าของพวกเจ้าสวยมาก พวกเจ้าซื้อมาจากไหน? ”
สองพี่น้องมองหน้ากันและรู้สึกระแวดระวังในใจ แทนที่จะตอบคำถามของกุ้ยซื่อ พวกเขากลับรีบตักน้ำและวางแผนที่จะกลับบ้าน ไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับกุ้ยซื่อมากเกินไป
กุ้ยซื่อไม่ยอมปล่อยเด็กทั้งสองไป นางใช้ร่างอ้วนท้วนของตนขวางพี่น้องทั้งสองแล้วมองหน้า “โอ้ ทำไมพวกเจ้าโชคดีอย่างนี้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ตัดใหม่?”
กู้หนิงผิงรู้สึกคลื่นไส้ที่เห็นใบหน้าใหญ่ ๆ ของกุ้ยซื่อและพูดอย่างอารมณ์เสีย “ไม่ใช่เรื่องของท่าน!”
“แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องของข้า” กุ้ยซีเปลี่ยนสีหน้าทันทีและพูดอย่างดุร้าย “แต่ถ้านี่เป็นเงินที่พวกเจ้าขโมยมา มันจะเป็นเรื่องของทางการ!”
“ท่านกำลังพูดไร้สาระ เราไม่ได้ขโมยมัน!” กู้หนิงผิงโต้กลับอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินว่ากุ้ยซื่อกล่าวหาพวกเขาอย่างผิด ๆ ว่าขโมยเงิน
“เจ้าพูดว่าไม่ได้ขโมยหรือ? ใครจะไปเชื่อ!” กุ้ยซื่อเดาะลิ้นสองที จากนั้นนางก็ถามกับหญิงที่ล้างผักอยู่ข้างหลังว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่?”
เช่นเดียวกับสิ่งต่าง ๆ ผู้คนต่างถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม สตรีเป็นสหายกับกุ้ยซื่อก็ไม่ใช่คนดี หญิงคนนั้นก็ขี้อิจฉาเช่นกัน เมื่อเห็นพี่น้องสองคนของครอบครัวกู้สวมเสื้อผ้า กางเกง และรองเท้าใหม่เอี่ยม ความริษยาก็ผุดขึ้นมาในหัวใจ ครอบครัวกู้มีโชคแบบไหนกัน แม้แต่ข้าวพวกเขาก็แทบไม่มีจะกิน แล้ววันนี้จะมีเงินทำเสื้อผ้าใหม่ได้อย่างไร?
น่าสงสัย น่าสงสัยยิ่งนัก!
“ใช่ ครอบครัวของเจ้าจะมีเงินทำเสื้อผ้าใหม่ได้อย่างไ? ขโมยมาหรือเปล่า?” หญิงอ้วนคนหนึ่งเยาะเย้ย “การขโมยเงินมันผิดกฎหมาย แล้วเจ้าจะต้องติดคุก!”
โชคดีที่ผู้หญิงข้าง ๆ มาตักน้ำบอกว่า “พวกเจ้าอย่าหาเรื่องเด็กพวกนี้เลย ผ้าบนตัวเด็กพวกนี้ก็ถูกที่สุดในร้านขายผ้า ใช้เงินแค่ไม่กี่อีแปะก็ซื้อได้ หรือบางทีมันอาจเป็นผ้าส่วนที่เจ้ารองกู้และภรรยาของเขาเหลือทิ้งไว้ ดังนั้น อย่าหาเรื่องเด็กพวกนี้เลย!”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หาเรื่องอะไรอีกนังกุ้ย เห็นเด็ก ๆ มีความเป็นอยู่ดีหน่อยไม่ได้เลยนะ เอาเวลาห่วงเด็ก ๆ ไปห่วงตัวเองเถอะ
ไหหม่า(海馬)