บทที่ 116 หอหนังสืออวี้
บทที่ 116 หอหนังสืออวี้
“ร้านนี้เป็นของท่านลุงของข้า ด้านหน้าที่ติดริมถนน เขาใช้เปิดเป็นร้านหนังสือ ส่วนด้านหลังคือที่ที่เขาอาศัยอยู่ ท่านลุงกับท่านป้าของข้าปกติไม่มีอะไรทำเลยมาขายหนังสือ ขายกระดาษและพู่กัน ท่านลุงและลูกพี่ลูกน้องคนโตของข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องข้างหลัง และถ้าคนรู้จักมาหาท่านลุง ทั้งสองคนจะได้เรียนรู้จากกันและกันที่นี่” เสี่ยวเซิ่งจื่อแนะนำร้านหนังสือสั้น ๆ
“สาวน้อยกู้ พวกเจ้าดูได้ตามสบาย ข้าจะไปเรียกป้าสะใภ้มา” หลังจากเสี่ยวเซิ่งจื่อพูดจบ เขาก็วิ่งไปด้านหลัง
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า เมื่อไปที่ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือ นางก็เหลือบมองชั้นหนังสือที่เรียงรายอย่างเรียบร้อย หนังสือหลายเล่มเป็นบทกวีและบทเพลง เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการ บันทึกการเดินทาง และอื่น ๆ กู้เสี่ยวหวาน หยิบหนังสือบทกวีและบทเพลงออกมา แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน และดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของก่อนราชวงศ์นี้
กู้เสี่ยวหวานเลือกหนังสือที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายและวางแผนที่จะใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อสอนพวกกู้หนิงอันถึงวิธีอ่านและเขียน สำหรับความหมายของบทกวีนี้ เมื่อไปสถานศึกษาแล้วจะมีอาจารย์เป็นผู้สอนพวกเขาเอง
“ท่านพี่ ท่านต้องการซื้อหนังสือหรือ?” ทันทีที่กู้หนิงอันเข้าไปในร้านหนังสือ ทุกคนก็สงบและเคร่งขรึมมากขึ้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาลองอ่านหนังสือบนชั้นหนังสือหลายแถว เมื่อเห็นพี่สาวหยิบหนังสือออกมาและถือไว้ในมือ กู้หนิงอันก็ระงับความตื่นเต้นในใจของเขาและเอ่ยปากถาม
“อือ ซื้อกลับไปสักเล่ม แล้วข้าจะสอนพวกเจ้าอ่าน” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
“สาวน้อยรู้วิธีอ่านหรือ? ” ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานพูดจบ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังร้านหนังสือ
เสี่ยวเซิ่งจื่อเดินตามชายวัยกลางคนและออกมา “ท่านป้าของข้าออกไปซื้อของ ไม่อยู่บ้าน ดีที่ท่านลุงอยู่พอดี”
ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปี มีเครา คิ้วหนา และตาโต ส่งกลิ่นอายของบัณฑิตออกมา “สาวน้อย เจ้ารู้วิธีอ่านหรือ?”
“ข้าพอรู้อยู่บ้างเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างสุภาพ “เมื่อตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ในช่วงปีแรก ๆ เขาอ่านหนังสือบางเล่มและอ่านออกบางคำ และเขายังสอนข้าด้วย”
“เป็นเช่นนั้นเอง!” เมื่อสักครู่ฟังการแนะนำสั้น ๆ ของเสี่ยวเซิ่งจื่อแล้ว สวีเซียนหลินก็นึกแปลกใจที่พ่อของกู้เสี่ยวหวานถึงแก่กรรมก่อนกำหนด “หายากจริง ๆ ที่สาวน้อยจะรู้วิธีอ่านหนังสือ!”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าต้องการซื้อพู่กันและกระดาษให้น้องชายฝึกเขียน?” สวีเซียนหลินมาที่ด้านหลังของโต๊ะและนำกระดาษบางส่วนออกจากตะแกรงที่ด้านหลัง กระดาษนี้ธรรมดามากและคนทั่วไปก็ใช้กัน
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่ามีกระดาษอื่น ๆ วางอยู่บนตะแกรง แต่มันดูดีกว่ากระดาษประเภทนี้มาก แต่ราคาคงไม่ถูกแน่นอน จากนั้นสวีเซียนหลินก็หยิบกระดาษกับหยิบพู่กันออกมาสองสามอัน และสุดท้ายก็หยิบแท่นฝนหมึกออกมา หลังจากรวบรวมทุกอย่างแล้ว วางมันลงบนโต๊ะ กู้เสี่ยวหวานก็นำหนังสือในมือของเธอมาวางบนนั้น “ท่านลุงเจ้าคะ ช่วยคำนวณให้หน่อยเจ้าค่ะว่าทั้งหมดนี้ราคาเท่าไร?”
จากนั้น สวีเซียนหลินก็เหลือบมองหนังสือ และพูดว่า “รวมทั้งหมดยี่สิบเหรียญ?”
“ยี่สิบเหรียญ?” กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะได้ยินผิดและพูดซ้ำ “ท่านลุง ท่านคิดผิดหรือเปล่าเจ้าคะ!”
“ถูกต้อง มันคือยี่สิบเหรียญ!”
“สาวน้อยกู้ เจ้าจ่ายยี่สิบเหรียญเถอะ ท่านลุงของข้าปกติก็เป็นแบบนี้ ถ้าคนอื่นที่รักหนังสือมาซื้อหนังสือ ท่านลุงของข้าเพียงสบตาเขา เขาจะไม่รับเลยสักเหรียญ” เสี่ยวเซิ่งจื่อคนนั้นไม่ประหลาดใจและเกลี้ยกล่อมกู้เสี่ยวหวานให้ยอมจ่ายเงินไป
“แต่ ……” กู้เสี่ยวหวานเป็นคนที่เอาเปรียบคนอื่นไม่ได้ นางเอาของไปมากมาย ทั้งพู่กันกับกระดาษ รวมถึงหนังสือเมื่อสักครู่ อ่านป้ายราคาแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีราคายี่สิบเหรียญ แน่นอนว่า พู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกเหล่านี้ล้วนเป็นของขวัญ
เสี่ยวเซิ่งจื่อคนนี้รู้สถานการณ์ของนางดี นางไม่มีอะไรจะหลอกลวงผู้คนแน่
เมื่อดูจากลักษณะของท่านลุงคนนี้แล้ว เขาคงไม่โกหกนางหรอก เขาคงเป็นคนในเมืองมีบ้านหลังใหญ่
“อาจารย์ ……” เมื่อกู้เสี่ยวหวานกำลังจะให้เงิน เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับถือหนังสืออยู่ในมืออย่างกระตือรือร้น
“หลี่เซิง เกิดอะไรขึ้น?” สวีเซียนหลินเห็นว่าเป็นศิษย์ของเขาที่เข้ามา เขาจึงไม่สนใจที่จะพูดคุยกับกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ และรีบเดินออกจากหลังโต๊ะ
ชายที่ชื่อหลี่เซิงกำลังถือหนังสืออยู่ในมือ และคิ้วของเขาขมวด “ท่านอาจารย์ ข้าไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้!”
อาจารย์? ท่านลุงคนนี้เป็นอาจารย์หรือ?
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกประหลาดใจและรออย่างเงียบ ๆ รอให้สวีเซียนหลินสอนนักเรียนของเขาเสร็จ เมื่อเห็นว่านักเรียนไม่เข้าใจ สวีเซียนหลินก็พูดซ้ำหลายครั้งจนนักเรียนพูดอย่างรวดเร็วว่าเขาเข้าใจ จากนั้นจึงส่งนักเรียนออกไป แต่สวีเซียนหลินก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนสองคนอยู่ข้างหลังเขา
หนึ่งคือกู้เสี่ยวหวาน นางวางแผนที่จะส่งกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงไปที่สำนักศึกษาหลังปีใหม แต่นางไม่รู้ว่าสำนักศึกษาตั้งอยู่ที่ไหนและควรเข้าสำนักศึกษาที่ไหนดี ผู้คนมากมายในหมู่บ้านไม่เคยเรียนหนังสือ ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่รู้จักใครเลยในเมือง หากเจอโรงเรียนดี ๆ ก็ดีไป แต่ถ้าส่งไปโรงเรียนแย่ แล้วครูทำให้เด็กหลงทางก็ไม่คุ้มกับการสูญเสีย
อีกคนที่ตื่นเต้นคือกู้หนิงอัน เขาไม่นึกเลยว่าท่านลุงตรงหน้าผู้นี้มีราศีความเป็นบัณฑิตอยู่ เขาเป็นอาจารย์จริง ๆ กู้หนิงอันถึงกับอิจฉาเมื่อเขาเห็นว่าขณะนี้เด็ก ๆ สามารถเข้าสถานศึกษาได้แล้ว อย่างไรก็ตาม แต่คิดไปคิดมาก็สลดใจไปทันที ตอนนี้ทั้งครอบครัวได้รับการสนับสนุนโดยพี่สาวของเขาเพียงคนเดียว เขาเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว และเขาควรช่วยพี่สาวของเขาดูแลทั้งครอบครัว เขาไม่สามารถฟุ่มเฟือยได้
แต่กู้เสี่ยวหวานไม่คิดอย่างนั้น
ในตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในชนบท หากพวกเขาต้องการกระโดดข้ามประตูมังกร ทางเดียวที่ทำได้คือการศึกษา การเรียนสามารถเปลี่ยนคนได้ การเรียนสามารถทำให้คนโดดเด่นและไม่ถูกรังแกอีกต่อไป แม้ว่ากู้หนิงอันจะไม่ได้รับตำแหน่งในอนาคตก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาทำงานหนัก ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นเป็นเพียงเรื่องรอง
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานมองดูตนเองอย่างมีความหวัง สวีเซียนหลินก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับดวงตาของเด็กน้อย “สาวน้อย เจ้า……”
กู้เสี่ยวหวานดึงกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงมาคุกเข่าลงและเรียก “อาจารย์ ……”
เมื่อเห็นเด็กทั้งสามคุกเข่าคำนับเขา สวีเซียนหลินก็รีบดึงพวกเขาขึ้นด้วยอาการงุนงงเล็กน้อย “พวกเจ้าคือ ……”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจอผู้ที่พอจะเป็นอาจารย์ได้แล้ว ต่อไปต้องมาขอเรียนกับอาจารย์คนนี้อีกแน่เลย
ไหหม่า(海馬)