บทที่ 163 วางใจลง
บทที่ 163 วางใจลง
“อื้ม ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้าจาง รบกวนท่านแล้ว!”
“เกรงใจอะไรกัน!” ท่านป้าจางเองก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน ในที่สุดกู้เสี่ยวอี้ก็เปิดปากพูด ศิลาภายในใจจะได้ปลดวางเสียที
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กู้เสี่ยวหวานกำลังกังวลเรื่องอะไร ท่านป้าจางกระจ่างแจ้งแก่ใจดี
ทั่วทั้งร่างของกู้เสี่ยวอี้เต็มไปด้วยบาดแผล แม้จะเป็นเพียงบาดแผลภายนอก แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บหรือไม่
นับตั้งแต่ท่านหมอหม่าบอกว่ารักษาไม่ไหว หรือแม้กระทั่งท่านหมอเหลยยังบอกอีกว่าอาการหนักมากและบาดเจ็บสาหัส พวกกู้เสี่ยวหวานต่างก็ตื่นตระหนกกันหมด
ชาติก่อนกู้เสี่ยวหวานเรียนสายวิชาเกษตรศาสตร์ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวิชาการแพทย์โดยสิ้นเชิง ตัวนางยิ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิชาทางการแพทย์เลย
ตลอดมาบาดแผลบนร่างกายของกู้เสี่ยวอี้กำลังตกสะเก็ด แต่อยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติ ยามนี้นอนพักบนเตียงมาสี่ห้าวันแล้ว น้อยครั้งที่นางจะฟื้นขึ้นมา
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกใจหายอย่างยิ่ง
ตอนหากู้เสี่ยวอี้พบ กู้เสี่ยวอี้ก็กำลังนอนสลบอยู่ตรงเชิงเขา แต่ในเวลานั้นเหลียงต้าเปากล่าวว่ากู้เสี่ยวอี้ถูกเขาหลอกให้ขึ้นภูเขา กู้เสี่ยวหวานจึงหวั่นกลัวว่าเป็นเพราะเสี่ยวอี้พลัดตกลงมาจากภูเขาหรือไม่ ถึงได้อยู่ในสภาพสลบไสลไม่ได้สติ
หลังจากจิตใจไม่สงบมาหลายวัน พอได้ยินว่ากู้เสี่ยวอี้ตื่นขึ้น ร้องเรียกนาง ส่งเสียงขอน้ำดื่ม ความกังวลทั้งหมดก็หมดไป
ขอแค่ไม่กระทบกระเทือนถึงสมอง ส่วนอื่นค่อย ๆ บำรุงรักษาได้ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
กู้เสี่ยวหวานใช้ช้อนตักน้ำเล็กน้อยแล้วป้อนใส่ปากของกู้เสี่ยวอี้อย่างระมัดระวัง กู้เสี่ยวอี้เองก็เปิดปากอย่างเชื่อฟังก่อนจะกลืนลงไป
หลังจากป้อนน้ำจนเสี่ยวอี้บอกว่าพอแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงวางชามลงแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวอี้ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
กู้เสี่ยวอี้พูดเสียงเบา “ท่านพี่ แค่ปวดหัวนิดหน่อยเจ้าค่ะ”
กู้เสี่ยวหวานลูบเรือนผมของกู้เสี่ยวอี้เบา ๆ ปลอบโยนว่า “เสี่ยวอี้พักผ่อนให้ดี พักสักสองสามวันก็ดีขึ้นแล้ว ดีหรือไม่?”
“อื้อ!” กู้เสี่ยวอี้ขานรับอย่างเชื่อฟัง “ท่านพี่ ข้าหิวแล้ว!”
ยามนั้นท่านป้าจางได้เข้ามาพร้อมกับข้าวต้ม เอ่ยขณะเดินไปว่า “มา ๆๆ ร้อนกำลังดี รีบป้อนให้เสี่ยวอี้เถอะ!”
กู้เสี่ยวหวานรีบรับมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มาเถอะ มากินข้าวกัน!”
นางป้อนให้กู้เสี่ยวอี้ทีละช้อนจนหมดชาม เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวอี้อยากอาหารขึ้นมาก ทั้งกู้เสี่ยวหวานกับท่านป้าจางต่างก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
รอจนกระทั่งกู้เสี่ยวอี้กินยาเสร็จเรียบร้อยและผล็อยหลับไปอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานจึงยุ่งกับงานอยู่พักหนึ่ง หลังจากกินอาหารแล้ว นางก็เอนกายนอนพักผ่อน
ท่านป้าจางทุบนวดบ่าของตน เมื่อเห็นสองพี่น้องหลับหมดแล้ว จึงคิดอยากจะไปเดินเล่นในลานบ้าน
ทันทีที่เปิดประตู นางก็เห็นเหลียงเหยาซื่อชะเง้อยืดคอมองเข้ามาด้านใน ท่านป้าจางมองดูท่าทางของนางพลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หันไปมองในบ้านแวบหนึ่ง แล้วมองเหลียงเหยาซื่ออย่างพินิจพิจารณา
เหลียงเหยาซื่อผู้นี้ดูเหมือนจะมีลับลมคมใน ยากจะคาดเดา คนประเภทนี้ อย่าว่าแต่กู้เสี่ยวหวานเลย แม้แต่ท่านป้าจางก็ไม่ใคร่อยากจะสนทนากับนาง
แม้จะบอกว่าเหลียงเหยาซื่อผู้นี้ยากแท้หยั่งถึง ทว่ายามกู้เสี่ยวอี้หายตัวไป สองสามีภรรยาช่างไม้เหลียงกับเหลียงเหยาซื่อก็ช่วยตามหาตลอดทั้งวัน ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหน ก็ทำได้เพียงยิ้มรับพร้อมเอ่ยว่า “น้องหญิงมาแล้ว!”
เหลียงเหยาซื่อกำลังมองสอดส่องข้างไปใน รออยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นใคร ลองเงี่ยหูฟังดี ๆ ถึงได้ยินเสียงพูดคุยของท่านป้าจางกับกู้เสี่ยวหวานแว่วมาจากภายในบ้าน เหลียงเหยาซื่อจึงตัดสินใจรอจนกว่าจะมีคนออกมา
คราวนี้เห็นท่านป้าจางออกมา เหลียงเหยาซื่อก็ดีใจ รีบถามว่า “เมื่อครู่เหมือนได้ยินเสียงของพวกท่าน เสี่ยวอี้ฟื้นแล้วหรือ?”
“อืม ฟื้นแล้ว กินข้าวต้มไปชามใหญ่ กินยาเสร็จก็หลับไปอีก!”
“แล้วเสี่ยวหวานเล่า…” เหลียงเหยาซื่อถาม
“เสี่ยวหวานก็หลับแล้วเหมือนกัน” ท่านป้าจางตอบ
“ช่วงหลายวันที่ผ่านมาลำบากเด็กคนนี้แล้วจริง ๆ!” เหลียงเหยาซื่อเอ่ยด้วยความปวดใจ
“ใช่ไหมเล่า วัน ๆ เอาแต่เฝ้าดูแลน้องสาว ข้าเป็นห่วงจะแย่ ดีที่วันนี้สดใสขึ้นหน่อย สาวน้อยคนนี้เลยผล็อยหลับไปเช่นกัน” ท่านป้าจางค่อนข้างเบิกบานใจจึงพูดมากขึ้นหน่อย
เหลียงเหยาซื่อได้ฟังก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตบหน้าอกด้วยความปีติยินดี พลอยมีความสุขตามไปด้วย “เป็นเช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี!” นางพูดสามครั้งติดต่อกัน
ท่านป้าจางมองเหลียงเหยาซื่ออย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อาจเป็นเพราะเหลียงเหยาซื่อมองเห็นความหมายโดยนัยในดวงตาของท่านป้าจาง จึงเกิดอาการกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ข้าแค่เป็นห่วงเด็กพวกนี้เท่านั้นแหละ!”
ท่านป้าจางมิใช่สตรีธรรมดาสามัญ เมื่อก่อนตอนท่านลุงจางยังร่างกายแข็งแรง วัน ๆ ท่านป้าจางจะไม่คิดทำอะไรก็ย่อมได้ ขอแค่จัดการตระเตรียมงานภายในบ้านให้เหมาะสมเป็นพอ แต่หลังจากท่านลุงจางเกิดอุบัติเหตุ ท่านป้าจางต้องหาเลี้ยงครอบครัว และดูแลท่านลุงจางที่พิการ ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เงิน จะเก็บหอมรอบริบอย่างไร จะติดต่อเจรจาค้าขายกับผู้คนอย่างไร ท่านป้าจางล้วนต้องเรียนรู้
ถ้อยคำของเหลียงเหยาซื่อยามนี้ ท่านป้าจางเชื่อเพียงสามส่วน
ท่านป้าจางสนิทชิดเชื้อกับครอบครัวของกู้เสี่ยวหวาน นับได้ว่านางเห็นเด็กเหล่านี้มาแต่เล็กจนโต พวกเขาสนิทสนมกับใคร หรือใครช่วยเหลือพวกเขา ท่านป้าจางรู้ชัดแจ้งทุกเรื่อง เดิมทีปกติพวกกู้เสี่ยวหวานก็ไม่เคยพบปะกับพวกเขาสักเท่าไร ถ้ามิใช่ตอนนั้นกู้เสี่ยวอี้หายตัวไปแล้วเหลียงเหยาซื่อกับช่างไม้เหลียงมาช่วยตามหา ทั้งหมดนี้คงถูกพูดถึงไปแล้ว
ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็ช่วยค้นหาเช่นกัน เป็นที่เข้าใจกันว่าคนในหมู่บ้านเดียวกันต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แต่ทว่า สำหรับคนอย่างเหลียงเหยาซื่อ ท่านป้าจางก็อดคิดมากไม่ได้
ตั้งแต่เริ่มช่วยกันตามหาอย่างใจจดใจจ่อ ต่อมาก็คอยมาแวะเวียนดูแลเอาใจใส่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ท่านป้าจางเกิดเคลือบแคลงสงสัย
เด็กพวกนี้ใช้ชีวิตอย่างยากลำเค็ญพอแล้ว ท่านป้าจางแทบอดไม่ไหวที่จะเป็นเหมือนแม่ไก่แก่คอยปกป้องลูกตัวน้อยเหล่านี้ไว้ใต้ปีกของนางให้ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี และไม่ยอมให้คนนอกมาทำร้ายให้เจ็บปวดใจ
ท่านป้าจางไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหลียงเหยาซื่อมีเจตนาอันใด จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิพึงมี การระวังผู้อื่นมิควรขาด เมื่อก่อนเหลียงเหยาซื่อไม่ได้สนิทสนมกับพวกกู้เสี่ยวหวาน ตอนนี้กลับมาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเช่นนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
ท่านป้าจางไม่มีทางรู้ได้
เหลียงเหยาซื่อมองเห็นถึงคำเตือนในสายตาของท่านป้าจาง ทว่านางไม่อาจหาเหตุผลที่จะพิสูจน์ตัวเองได้
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เสี่ยวหวานวางใจลงได้แล้วนะคะ น้องสาวก็ฟื้นแล้ว แถมตัวเองยังมีท่านป้าจางคอยปกป้องดูแลด้วย
นั่นสินะ เจตนาของเหลียงเหยาซื่อคืออะไร เป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
ไหหม่า(海馬)