บทที่ 205 อาจารย์มีความสุขแล้ว
บทที่ 205 อาจารย์มีความสุขแล้ว
คาดว่าเวลาเลิกเรียนใกล้มาถึงแล้ว ฮูหยินสวีจึงสั่งให้สาวใช้ไปแจ้งให้เด็กในห้องเรียนทราบว่าอาหารถูกจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อย หลังจากวางตะเกียบกับถ้วยไว้บนโต๊ะแล้ว สวีเซียนหลิน สวีเฉิงเจ๋อ และกู้หนิงอันก็เดินเข้ามาพร้อมกัน
ฮูหยินสวีกำลังพูดอยู่กับกู้เสี่ยวหวาน เมื่อครู่เห็นกู้เสี่ยวหวานปรุงอาหารด้วยความคล่องแคล่ว ฮูหยินสวีทั้งประทับใจทั้งชื่นชอบ เด็กหญิงคนนี้ดูเพียงอายุไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งใดนางสามารถทำได้หมด สตรีตัวคนเดียวดูแลเรื่องในบ้าน ทั้งหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งยังต้องดูแลน้องชายน้องสาว ช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กผู้หญิงคนนี้สามารถเข้าครัวทำอาหารได้ด้วย
ฮูหยินสวียิ่งมองก็ยิ่งชมชอบ
นางจึงดึงตัวกู้เสี่ยวหวานมาพูดคุยไม่หยุด ตอนที่พวกสวีเซียนหลินกำลังเดินเข้ามา พวกเขาก็มองเห็นฮูหยินสวีกับกู้เสี่ยวหวานจับจองที่นั่งหัวโต๊ะสองตัวอยู่ก่อน และกำลังพูดคุยกันอย่างชื่นมื่น
พอกู้เสี่ยวหวานเห็นพวกเขาเดินเข้ามา นางก็รีบลุกทำความเคารพสวีเซียนหลิน “คารวะอาจารย์สวี อาจารย์น้อยสวี”
กู้หนิงอันรู้ว่าตัวเองอยู่บ้านคนอื่นไม่สามารถปล่อยตัวเหมือนบ้านตัวเองแบบนั้นได้ เขามองกู้เสี่ยวหวานแล้วก็พลันรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ เด็กชายเดินมาใกล้กู้เสี่ยวหวานแล้วเรียกพี่สาวเสียงหนึ่ง
กู้เสี่ยวหวานมองกู้หนิงอันด้วยสายตาพึงพอใจ เด็กคนนี้พอเข้าเรียนแล้วกิริยาก็ยิ่งสุขุมขึ้นมาก
สวีเซียนหลินหัวเราะอยางอารมณ์ดี “แม่นางน้อยผู้นี้ ไม่ได้เจอกันเสียนาน ครอบครัวเจ้าสบายดีใช่หรือไม่”
พอกู้เสี่ยวหวานได้ยินก็เดาว่าสวีเซียนหลินน่าจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับครอบครัวของตัวเอง นางรีบบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
สวีเซียนหลินพยักหน้ายิ้ม ๆ “ดีก็ดีแล้ว ต่อไปหากครอบครัวเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ให้มาบอกพวกข้า ไม่ต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว”
กู้เสี่ยวหวานได้ยินสวีเซียนหลินพูดเช่นนั้นก็ซาบซึ้งในใจ
ฮูหยินสวีได้ฟังแล้วก็รีบพูดต่อว่า “ใช่แล้ว เมื่อครู่ข้าก็เพิ่งบอกกับนางเช่นนี้ ต่อไปหากในครอบครัวเจ้าเดือดร้อนอันใด ก็สามารถมาบอกพวกข้าได้เสมอ”
กู้เสี่ยวหวานกับกู้หนิงอันได้ยินแบบนั้นก็รีบพยักหน้าขอบคุณ
สวีเฉิงเจ๋อมองกู้เสี่ยวหวานในใจก็แอบตื่นเต้นเล็กน้อย ในตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เขาก็ลอบมองนางอย่างละเอียด ใบหน้าของเด็กคนนี้มีเลือดฝาดมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก แต่ก็เหมือนจะคล้ำกว่าเดิมเช่นกัน ส่วนสูงก็ดูจะสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“แม่นางกู้ วันนี้มาที่นี่ได้อย่างไร” ตั้งแต่วันที่พบกันที่หมู่บ้านอู๋ซีคราวก่อน ก็ผ่านมาหลายสิบวันแล้ว เดิมทีเขาวางแผนว่าหากกู้หนิงอันกลับบ้านไปรอบนี้ เขาก็จะตามกลับไปกินข้าวด้วย
หากแต่ไร้ทางเลือก เขาจำต้องจัดการงานของผู้เป็นพ่อก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทิ้งไปได้ ในใจจึงรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก กินข้าวไม่ลง ครั้นไม่ได้เห็นเด็กหญิงคนนี้ ในใจก็รู้สึกเสียใจยิ่ง
ตอนเลิกเรียนได้ยินสาวใช้บอกว่ากู้เสี่ยวหวานมาหา สวีเฉิงเจ๋อก็ตื่นเต้นเสียจนรีบลากแขนกู้หนิงอันมาที่นี่ จนได้พบเด็กหญิงผู้มีสีหน้าแดงระเรื่อ สวีเฉิงเจ๋อจากเดิมยังคงรู้สึกหดหู่ใจ ก็พลันอารมณ์สดใสขึ้นมาทันตา
“อาจารย์น้อยสวี” กู้เสี่ยวหวานยิ้มพลางเรียกอีกฝ่าย
“เสี่ยวหวานเข้าเมืองมาเพราะจะเอาของมาขายน่ะ” ฮูหยินสวีพูด แล้วรีบเอ่ยต่อ “มานั่งเถอะ กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว”
หลังจากทยอยกันนั่งลง สาวใช้ที่ยืนด้านข้างก็เติมข้าวให้ทีละคน ฮูหยินสวีชี้กับข้าวที่กู้เสี่ยวหวานผัดเมื่อครู่นี้ พลางเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าลองชิมดู นี่เป็นของที่เสี่ยวหวานนำมา และยังลงมือทำด้วยตัวเองเชียวนะ รีบชิมเร็วเข้า”
สวีเซียนหลินได้ยินก็ดีใจมาก “โอ้ คือสิ่งใดหรือ”
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม “เป็นผักป่าที่เก็บมาจากในนาเจ้าค่ะ เห็ดตี้มู่”
เห็ดตี้มู่
สวีเฉิงเจ๋อไม่พูดอันใดให้มากความ พอได้ยินว่าเป็นกับข้าวที่แม่นางกู้ปรุงเอง กับข้าวอย่างอื่นก็คล้ายจะไร้ตัวตนในทันที จึงได้เป็นคนที่คีบขึ้นมากินคำแรก
หลังจากสวีเฉิงเจ๋อกินคำหนึ่งก็ชมว่าอร่อย สวีเซียนหลินกับฮูหยินสวีจึงกินตาม หลังจากชิมไปแล้วก็ชมว่าอร่อยเช่นเดียวกัน
ฮูหยินสวีเอ่ยชมนางยกใหญ่ “เสี่ยวหวาน อาหารฝีมือเจ้ารสชาติไม่เลวเลยจริง ๆ”
เห็ดตี้มู่มีเนื้อหนาและนุ่มลิ้น เมื่อกินเข้าไปจะให้ความรู้สึกคล้ายกับอาหารทะเล เชื่อว่าไม่มีใครไม่ชอบรสชาติเจ้าสิ่งนี้แน่
เพราะแบบนี้ กู้เสี่ยวหวานจึงตัดสินใจจะนำไปขายในเมือง มันจะต้องขายได้ในราคาสูงอย่างแน่นอน
หลังจากครอบครัวของสวีเซียนหลินขยับตะเกียบกินข้าวแล้ว กู้เสี่ยวหวานกับกู้หนิงผิงถึงได้เริ่มกินบ้าง ขณะกินข้าว กู้เสี่ยวหวานก็มองสวีเฉิงเจ๋อซึ่งไม่แตะกับข้าวอย่างอื่นเลย เอาแต่กินเห็ดตี้มู่ผัดไข่ของตัวเอง ในใจก็คิดว่าอีกเดี๋ยวนางจะมอบให้พวกเขาเพิ่มอีกสักหน่อย
ตอนกินข้าวเที่ยง สวีเฉิงเจ๋อไม่แตะกับข้าวอย่างอื่นเลยสักนิดเดียว เอาแต่คีบกับข้าวของกู้เสี่ยวหวาน
ฮูหยินสวีนั่งสังเกตอยู่อีกด้านหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ต้องได้ยินสวีเฉิ่งเจ๋อพูดว่ากับข้าวไม่อร่อยแล้ว ทว่าเขาไม่ได้คีบกับข้าวที่พ่อครัวทำเลยสักคำเดียว คีบแต่เห็ดตี้มู่จานนั้น
ฮูหยินสวีพบว่าเจ้าเด็กคนนี้ปากช่างเลือกไม่เบา เขากินเฉพาะของที่ไม่เคยกิน เหมือนกับหน่อไม้เมื่อคราวก่อน
เพียงแค่ว่าหลังจากที่ซื้อหน่อไม้แห้งกลับมา เจ้าเด็กคนนี้ก็กินแค่สองครั้งแล้วก็ไม่กินอีก
หรือว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้
ฮูหยินสวีมองบุตรของตัวเองที่กินเหมือนหมาป่ากินเสือขย้ำ[1]นั่น ไม่ผิด เหมือนหมาป่ากินเสือขย้ำไม่มีผิด
ปกติเด็กคนนี้จะกินข้าวอย่างมีมารยาทตลอด เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทางการกินอย่างในตอนนี้แล้ว เรียกว่าเหมือนหมาป่ากินเสือขย้ำอย่างแน่นอน นางจึงได้แต่มองลูกชายตัวเองกินข้าวอย่างทำอะไรไม่ถูก
“เฉิงเจ๋อ กินช้า ๆ หน่อยเถิด ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอกนะ” มองท่าทางนั้นของลูกชายตัวเองแล้ว ฮูหยินสวีก็ทั้งโกรธทั้งขำ
สวีเฉิงเจ๋อได้ยินมารดาเตือนสติแบบนั้นจึงได้สติกลับมา เมื่อมองกับข้าวจานนั้นอีกครั้งมันก็เหลืออีกเพียงน้อยนิดเท่านั้นแล้ว ยิ่งมองคนที่นั่งข้างกันมองตัวเองอยู่ เขาก็พลันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ใบหน้าขึ้นสีลามไปถึงใบหู เมื่อครู่ดูเหมือนตัวเองจะเสียกิริยาเกินไปหน่อย
ว่าแล้วก็อดอารมณ์เสียกับตัวเองไม่ได้ ปกติเขาจะมีมารยาทและสุภาพเรียบร้อยตลอด เหตุใดวันนี้ถึงได้เสียอาการเช่นนี้
ยิ่งเห็นกู้เสี่ยวหวานมองตัวเองยิ้ม ๆ สวีเฉิงเจ๋อก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว
ฮูหยินสวีราวกับไม่เคยเจอลูกชายตัวเองเป็นแบบนี้มาก่อน นางรีบถามเกี่ยวกับเขาทันที “เฉิงเจ๋อ เจ้าเป็นอันใด เหตุใดหน้าแดงเช่นนั้นเล่า”
กู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทางดูกระอักกระอ่วนมากของสวีเฉิงเจ๋อ ก็รีบกลั้นขำเอาไว้
ชายหนุ่มคนนี้เขินอายง่ายเกินไปแล้ว ใบหน้าขึ้นสีแดงแบบนั้นยากที่จะเห็นจากชายหนุ่มผู้หนึ่ง
กู้เสี่ยวหวานคิดในใจ แต่สวีเฉิงเจ๋อไม่รู้ ทว่ารอยยิ้มของกู้เสี่ยวหวานที่มองตัวเองก็ทำให้เขารู้ตัวแล้วว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้มีท่าทางสุภาพเรียบร้อยเลยสักนิด แต่เหมือนหมาป่ากลืน เสือกลืนแบบนั้นมากกว่า ทำให้นางหัวเราะ แล้วในใจเขาก็รู้สึกหดหู่ทันที
[1] หมาป่ากินเสือขย้ำ เป็นสำนวน หมายถึง กินแบบตะกละตะกลาม