บทที่ 216 ออกเดินทาง
บทที่ 216 ออกเดินทาง
คิดไม่ถึงว่ากู้หนิงอันที่อายุเพียงเท่านี้ก็มีความรู้เช่นนี้ ไม่ต้อยต่ำไม่สูงส่ง*[1]หาได้ยากจริง ๆ
อีกหลายปีหลังจากนี้สวีเซียนหลินที่แก่ชราแล้ว คงจะสอนหนังสือที่เมืองหลิวเจียเป็นบางครั้งบางคราว เพียงแต่ว่าผู้คนเมื่อพูดถึงหอหนังสืออวี้ก็จะเคารพนับถือสวีเซียนหลิน
“หอหนังสืออวี้เป็นสถานที่ที่เคยปรากฏไจ่เซี่ยง*[2]มาก่อน”
แน่นอนนี้เป็นเรื่องในอนาคต และกู้หนิงอันก็กลายเป็นศิษย์ที่สวีเซียนหลินเคยสอนและประสบความสำเร็จที่สุดผู้หนึ่ง
เมื่อรู้ว่าในวันถัดไปจะต้องตื่นเช้า พวกกู้เสี่ยวหวานจึงรีบทานข้าวเย็น ล้างหน้าล้างเท้าแล้วเข้านอนทันที
ในเช้าวันถัดมาเด็ก ๆ ทั้งหมดก็ตื่นกันหมดแล้ว
พวกเขาต้องรีบลุกขึ้นมาแต่เช้า ถ้าเกิดไปสายพวกเขากลัวว่าสวีเฉิงเจ๋อจะไม่รอตัวเอง
กู้เสี่ยวหวานหวังว่าตัวเองจะเป็นคนไปรอคนอื่น มากกว่าให้คนอื่นมารอตัวเอง
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ กู้เสี่ยวหวานก็ออกเดินทางทันที
สามพี่น้องเดินมาจนใกล้ถึงเมืองหลิวเจีย ท้องฟ้าก็ยังคงมืดสลัวอยู่
จนกระทั่งเดินมาถึงเมืองหลิวเจีย ท้องฟ้าก็เพิ่งจะสว่าง
กู้เสี่ยวหวานที่เพิ่งมาถึงหอหนังสืออวี้ก็มองเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตูใหญ่ มองเห็นคนรับใช้คนหนึ่งท่าทางเหมือนกำลังติดรถม้ากับที่นั่งด้านหลังรถอยู่
ยังดีที่ไม่ได้ให้พวกเขารอ กู้เสี่ยวหวานลอบยินดีในใจ
คนรับใช้คนนั้นเมื่อเห็นพวกกู้เสี่ยวหวานมาแล้ว ก็รีบทักทาย “แม่นางกู้ พวกเจ้ามาแล้วหรือ คุณชายของข้ากับคุณนายกำลังรอพวกเจ้าอยู่เลย”
พูดจบเขาก็นำกู้เสี่ยวหวานไป
รอจนกระทั่งเข้ามาในบ้าน ครอบครัวของสวีเซียนหลินและกู้หนิงอันก็กำลังทานข้าวเช้ากันอยู่ เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานมาแล้วก็รีบลุกขึ้นถาม “เสี่ยวหวานมาแล้วหรือ มากินอะไรก่อนออกเดินทางเถอะ”
หลังจากกู้เสี่ยวหวานทำความเคารพพวกเขาทีละคนและพูดว่า “อาจารย์สวี ฮูหยินสวี พวกข้ากินข้าวมาแล้วเจ้าค่ะ พวกท่านกินเถอะ”
กู้หนิงอันวางตะเกียบแล้วลุกขึ้น เขารั้งกู้เสี่ยวอี้ขึ้นมากอด พลางพูดอย่างดีใจว่า “เสี่ยวอี้ คิดถึงพี่ชายเจ้าหรือไม่!”
“คิดถึงเจ้าค่ะ เสี่ยวอี้คิดถึงท่านพี่!”
ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว เมื่อเจอครอบครัวของตนไม่ต้องบอกเลยว่ากู้หนิงอันตื้นตันเพียงไหน
ปกติกู้หนิงอันมักจะมีท่าทางที่สุขุมไม่แสดงอารมณ์นัก แท้จริงแล้วเขาก็มีด้านที่อ่อนไหวเช่นกัน
ถึงฮูหยินสวีจะได้ยินว่านางกินข้าวมาแล้ว แต่ก็ยังดึงแขนกู้เสี่ยวหวานมานั่งที่โต๊ะกินข้าวอยู่ดี พลางตักเตือนว่า “กินอีกก็ได้ พวกเจ้าต้องเดินทางไกลเพียงนั้น อย่างไรก็ต้องหิวอยู่แล้ว เข้าไปในเมืองใช้เวลาตั้งหลายชั่วยาม”
กู้เสี่ยวหวานพอได้ยินแล้วก็เห็นด้วย จึงนั่งลงกินข้าวบ้าง น้องชายและน้องสาวพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง กู้หนิงอันก็อุ้มกู้เสี่ยวอี้มานั่งบนตักแล้วเริ่มกินข้าว
หลังจากกินข้าวเล็กน้อย รถม้าก็เตรียมจัดเสร็จพอดี ในเมื่อวันนี้นำของไปขายในเมือง ของทั้งหมดจึงถูกวางไว้บนรถม้าเรียบร้อยแล้ว
สวีเซียนหลินและฮูหยินสวีมาส่งพวกเด็ก ๆ ขึ้นรถม้า พร้อมกับกำชับสวีเฉิงเจ๋อสองสามประโยค “เจ้าอายุมากที่สุด ต้องดูแลน้อง ๆ ให้ดี”
สวีเฉิงเจ๋อพยักหน้ารับตอบว่า “ท่านแม่วางใจเถิด ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
กู้เสี่ยวหวานได้ยินแล้วก็รู้สึกเกรงใจไม่น้อย แต่ก็รู้สึกปล่อยวาง คำพูดของฮูหยินสวีเมื่อครู่ความหมายคือ ฮูหยินสวีเห็นพวกนางเป็นคนของตัวเองแล้ว ยิ่งหันกลับไปมองครอบครัวสวี ในใจของกู้เสี่ยวหลานก็ยิ่งเต็มไปด้วยความตื้นต้นใจ
พอสิ่งของทั้งหมดถูกจัดเตรียมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินสวีก็กำชับพวกเขาสองสามคำ สวีเซียนหลินเองก็กำชับพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน บอกให้สวีเฉิงเจ๋อเดินทางอย่างระมัดระวัง เหนื่อยก็พัก ถ้าวันนี้กลับมาไม่ได้จริง ๆ ก็ให้พากู้เสี่ยวหวานพักในเมืองสักคืน ห้ามเดินทางในตอนกลางคืนเด็ดขาด
สวีเฉิงเจ๋อพยักหน้าตอบรับ กู้เสี่ยวหวานบอกพวกเขาว่าไม่ต้องกังวล แล้วรถม้าก็ออกเดินทาง
สายตาของสวีเซียนหลินและฮูหยินสวีมองรถม้าที่ค่อย ๆ วิ่งออกไปไกล
คนบนรถม้าแต่ละคนรู้สึกตื่นเต้นมาก
กู้เสี่ยวหวานตื่นเต้นที่สามารถเข้าเมืองไปดูว่ากิจการร้านค้านั้นทำมาค้าขายกันอย่างไร
“อาจารย์น้อยสวี เมืองนี้ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ” กู้เสี่ยวหวานถามอย่างประหลาดใจ นางอยากจะรู้ว่าสถานที่ที่จะไปนั้นมีคนกี่คนกันแน่ แล้วมีกำลังทรัพย์อย่างไร
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สวีเฉิงเจ๋อเข้าเมือง เขาเคยไปในเมืองมาแล้วสิบกว่าครั้งจึงได้คุ้นชินกับเมืองนี้มาก
หลังจากสอบผ่านซิ่วไฉ เขาก็ได้เล่าเรียนอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลานานหลายปีทีเดียว
“เมืองนี้มีชื่อว่าเมืองรุ่ยเสียน มีคนจำนวนหลายหมื่นคน เมืองนี้มีขนาดใหญ่กว่าเมืองหลิวเจียของเรามาก”
หลายหมื่นคน…มีคนมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ กู้เสี่ยวหวานอุทานอย่างแปลกใจ
ในยุคสมัยโบราณมีอัตราการเกิดค่อนข้างต่ำ จำนวนประชากรไม่ได้มากมายมหาศาลเท่าในยุคปัจจุบัน ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งก็มีคนหลายหมื่นคนแล้ว
เมืองหลิวเจียรวมทั้งหมดแล้วก็มีคนแค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ในเมืองที่มีคนหลายหมื่นคนนับว่าเป็นเมืองที่ใหญ่มาก
“แล้วธุรกิจที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
“ธุรกิจคืออันใดหรือ” สวีเฉิงเจ๋อเคยได้ยินแค่ กิจการ หรือทำการค้า ธุรกิจนี้คืออันใดกัน
ไหนเลยกู้เสี่ยวหวานจึงใช้ทำศัพท์โบราณประหลาด ๆ นั่นได้เล่า ทำให้สวีเฉิงเจ๋อประหลาดใจแล้ว
“อืม” กู้เสี่ยวหวานคิดแล้วพดว่า “ธุรกิจก็คือ มาจากกิจการของร้านค้าอย่างหนึ่ง ในนั้นสามารถมีทั้งร้านอาหาร ร้านขนม โรงพนันอะไรแบบนั้น ข้าอยากจะถามว่า ในเมืองรุ่ยเสียนนั้นมีสภาพแวดล้อมของธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง แล้วคนในเมืองนั้นส่วนมากเป็นคนเช่นไร”
“อ่อ!” นางต้องการจะถามว่ากิจการในเมืองเป็นเช่นไรนี้เอง
“คนที่อาศัยอยู่ในเมืองได้นั้น ส่วนมากเป็นผู้มีเงิน มีอำนาจมากกว่าคนของเมืองหลิวเจียของเรา เมืองนี้ใหญ่นัก คนก็เยอะ คนมีเงินมีอำนาจก็เยอะมากเช่นเดียวกัน และแน่นอนว่าธุรกิจในเมืองรุ่ยเสียนนั้นก็หรูหรามากเช่นกัน” สวีเฉิงเจ๋อที่เคยเรียนคำ ๆ หนึ่งมาแล้วก็สามารถใช้มันได้อย่างไหลลื่น
“เป็นระดับใดหรือ ร้านจิ่นฝูของเมืองหลิวเจียเป็นลำดับใดกันของเมืองรุ่ยเสียน” กู้เสี่ยวหวานถามอย่างแปลกใจจริง ๆ
“เมืองหลิวเจียของเรามีคนไม่เยอะนัก ร้านจิ่นฝูถือว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดของเมืองเรา แต่เมื่อเทียบกับเมืองรุ่ยเสียนแล้วแน่นอนว่าร้านนั้นเล็กกว่ามาก ข้าได้ยินเสี่ยวเซิ่งจื่อบอกว่าร้านจิ่นฝูที่เปิดในเมืองรุ่ยเสียนนั้นใหญ่กว่าของเมืองหลิวเจียสี่เท่า”
“โอ้” ครั้นกู้เสี่ยวหวานได้ยินคำกล่าวถึงความใหญ่โตของเมืองรุ่ยเสียนแล้ว ในใจก็ตื่นเต้นเล็กน้อย นางลูบสิ่งของที่นำมาพร้อมกับใจเต้นระรัว สิ่งของเหล่านี้น้อยเกินไปจริง ๆ ดูอย่างไรก็คงไม่พอ
…………………………………………………………………………………………………………………………
*[1] ไม่ต้อยต่ำไม่สูงส่ง หมายถึง ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ
*[2] ไจ่เซี่ยง หมายถึง ข้าหลวงปกครอง หรือตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี