บทที่ 232 กระดากอาย
บทที่ 232 กระดากอาย
เดิมทีกู้เสี่ยวหวานอยากจะด่าว่าคนผู้นี้หน้าหนา แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของฉินเย่จือที่มีผิวเนียนละเอียดและงดงามมากจนน่าตกใจ ดวงตาของเขาล้ำลึกราวกับสระน้ำสีดำและแฝงไว้ด้วยคับข้องใจ กลับทำให้นางหน้าแดงและหัวใจเต้นแรง
อสุรกาย อสุรกายแน่นอน!
ทำให้ตนเองดูเหมือนคนโง่จริง ๆ!
เมื่อเห็นท่าทางที่ตกใจของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็กัดฟันด้วยความเสียใจ สวรรค์! นี่นางพูดอะไรออกไป นางรู้สึกอายแทบตาย นางพูดแบบนี้ไปได้อย่างไร ร่างกายของนางอายุแค่เก้าขวบ แม้ว่าคนโบราณจะโตเร็ว แต่ก็ไม่โตก่อนวัยอันควรเช่นนี้
แม้ว่าคนตรงหน้าจะงดงามราวกับดอกไม้ แต่นางก็ไม่ใช่คนประเภทที่ตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตา
อุทิศชีวิตให้หรือ? นางพูดเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร อ๊ากกกก คืนกลับมา เอาคืนกลับมา!
ฉินเย่จือร่างกายแข็งเป็นหินทันที และดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินคนรอบตัวเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะระงับเสียงหัวเราะ
“นั่น … นั่นข้า … ข้าพูดเล่นน่ะ ขอโทษนะ” กู้เสี่ยวหวานรีบหันหน้ามา หวังว่านางจะตบหน้าตนเอง
ร่างกายอายุเก้าขวบและจิตวิญญาณอายุสามสิบปีจะถูกล่อลวงโดยชายหนุ่มอายุสิบห้าหรือสิบหกปีคนนี้ได้อย่างไร
จนกระทั่งเขาได้ยินคำขอโทษอย่างรวดเร็วของกู้เสี่ยวหวาน จึงได้สติกลับมา หลังจากได้สติแล้วและมองดูเด็กหญิงที่ยังโตไม่เต็มที่ หน้าอกก็ยังไม่มี ก้นก็ยังไม่มี ทั้งตัวราวกับกระดานซักผ้า เมื่อเทียบกับแม่นางผู้อื่นแล้ว นางยังเด็กเกินไป
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ฉินเย่จือลูบจมูกของเขา มองขึ้นไปบนท้องฟ้า และแสร้งทำเป็นไม่เป็นไม่รู้สึกอะไรและกล่าวว่า “ข้าเป็นคนจรจัด ถ้าแม่นางไม่ไม่รังเกียจ ข้าก็ไม่มีปัญหา”
หลังจากพูดแบบนี้ ใบหน้าของฉินเย่จือก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที
คนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมองดู ปิดปากและหัวเราะอย่างลับ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนายท่านของเขาหน้าแดง
มีผู้คนมากมายในโลกนี้ที่ไม่กลัวความตาย และกล้าที่จะให้นายท่านของเขาอุทิศชีวิตให้
นายท่านคงไม่ตำหนิเด็กหญิงอายุแปดเก้าขวบผู้นี้หรอก นางยังไม่โตเต็มที่เลยด้วยซ้ำ นายท่านของข้าคงคิดว่าเด็กน้อยเช่นนี้ไม่เป็นอันตรายถึงตาย
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่แม้แต่กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าใบหูของนางแดงก่ำ
นางกลับมารู้สึกตัวทันที จะกลัวอะไรเล่า ร่างกายนี้อายุแค่เก้าขวบ จะอายไปทำไมกัน!
กู้เสี่ยวหวานกระแอมสองครั้งและทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกอีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา นางพูดอย่างเคร่งขรึม “เมื่อสักครู่ข้าล้อเล่น เจ้ารับแหวนหยกวงนี้ไปเถอะ แล้วเจ้าก็รีบไปได้แล้ว!”
กู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิงที่อยู่ในห้อง เฝ้าดูสิ่งที่พี่สาวพูดกับคนที่งดงามราวกับดอกไม้ กู้เสี่ยวอี้อยากรู้อยากเห็นอย่างมาก “ท่านพี่ สัญญาแต่งงานหมายความว่าอย่างไร!”
“น่าจะเป็นสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับการเป็นคนรับใช้!” กู้หนิงผิงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน การผูกมัดซึ่งกันและกัน การเป็นคนรับใช้ก็คงมีความหมายไม่ต่างกันนักหรอก
ฉินเย่จือถูกกู้เสี่ยวหวานผลักออกไปด้วยความโกรธ
“แม่นาง แม่นาง เจ้ารอก่อน เจ้ารอข้าก่อน” ฉินเย่จือไม่คาดคิดมาก่อนว่ามือของหญิงสาวจะแข็งแกร่งขนาดนี้ และเขาไม่ได้คิดที่จะเปิดเผยความแข็งแกร่งของเขา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงให้กู้เสี่ยวหวานผลักออกไปเท่านั้น
“เจ้าไปเถอะ” แหวนหยกที่เขาไม่ยอมรับกลับคืนไป ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงปล่อยมันทิ้งไป นางโยนแหวนหยกลงบนพื้นเบา ๆ “นี่ของเจ้า รีบเอาไปเร็ว”
ฉินเย่จือต้องการที่จะเดินมาข้างหน้าและพูดอะไรบางอย่าง แต่กู้เสี่ยวหวานกระแทกปิดประตูลานบ้าน ฉินเย่จือทำได้เพียงเฝ้าดูกู้เสี่ยวหวานที่เข้าไปในห้องและปิดประตู
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานกำลังหลบหนี ฉินเย่จือก็เม้มปากและยิ้มอย่างพอใจ
สาวน้อยคนนี้น่าสนใจจริง ๆ เดิมทีเขาอยากจะเข้ามาและเอาแหวนหยกออกไป แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าสาวน้อยคนนี้ได้กระตุ้นความสนใจของเขา ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาอยากจะเป็นคนรับใช้อยู่ที่นี่สักพักจริง ๆ
เขาหยิบแหวนหยกขึ้นมาจากพื้นและเหลือบมองที่บ้านของกู้เสี่ยวหวานพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
ลมกระโชกแรงพัดไปรอบ ๆ และเมื่อมองดูดี ๆ ก็เห็นร่างสีดำหายลับเข้าไปในป่า
อาโม่รออยู่ที่นี่ แต่ใบหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนักเพราะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตนเองหัวเราะออกมา
“เจ้าอยากหัวเราะนักใช่หรือไม่?” ฉินเย่จือพูดอย่างโกรธจัดเมื่อเห็นท่าทีของอาโม่ “เจ้าอยากหัวเราะก็หัวเราะไปเถอะ”
นี่เป็นเรื่องน่าอับอาย!
ตั้งแต่โตขึ้นมา มีแต่ตนเองเท่านั้นที่ปฏิเสธผู้หญิงคนอื่น และไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธตนเองเลย
เดิมทีมีเพียงผู้หญิงที่ยึดมั่นในตัวเขาและเชื่อว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธตนเองแน่
แม้ว่าจนถึงตอนนี้ ฉินเย่จือไม่เคยแสดงความโปรดปรานต่อผู้หญิงคนใด
แต่ในวันนี้ ทั้งหมดนั่นถูกทำลายโดยเด็กหญิงที่อายุเพียงเก้าขวบคนนี้
อาโม่ยังคงกลั้นหัวเราะจนร่างกายของเขาสั่นไม่หยุดเพราะไม่กล้าที่จะทำให้ตนเองหัวเราะเสียงดังเกินไป ก่อนที่นายท่านจะมา เขาอดไม่ได้และหัวเราะออกไป แต่เมื่อนายท่านมาถึง เมื่อเห็นนายท่านและนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายท่านในวันนี้บ้าง เขาก็ควบคุมมันไม่ได้จริง ๆ
ฉินเย่จือผู้เป็นเจ้าแห่งความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ ยังมีวันที่เขาต้องยอมรับความพ่ายแพ้!
“หัวเราะพอแล้วหรือยัง?” ฉินเย่จือเห็นว่าอาโม่กล้าที่จะหัวเราะเยาะตัวเองจริง ๆ ใบหน้าของเขามืดมนลงเล็กน้อย “อาโม่ ผิวของเจ้าคันนักใช่ไหม?”
หลังจากพูดแล้ว เม็ดเกาลัดก็ลอยไป
อาโม่ไม่อาจหลบทัน มันจึงกระดอนไปโดนหัวของเขาเข้าอย่างจัง อาโม่กุมศีรษะ “โอ๊ย นายท่าน”
“เกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่ข้าให้เจ้าไปตรวจสอบ!”
ทันทีที่อาโม่ได้ยินเรื่องนี้ เขาก็หยุดหัวเราะทันที ยืนตัวตรงและกล่าวด้วยความเคารพว่า “นายท่าน ข้าได้ตรวจสอบแล้ว”
“ครอบครัวนี้ประกอบด้วยพี่น้องสี่คน พ่อและแม่ของพวกเขาเสียชีวิตไปแล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน เด็กหญิงผู้นั้นชื่อกู้เสี่ยวหวานเป็นพี่สาวคนโตอายุเก้าขวบ มีน้องชายฝาแฝดอายุเจ็ดขวบ คนโตชื่อกู้หนิงอัน ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ที่หอหนังสืออวี้ในเมืองหลิวเจีย คนน้องชื่อกู้หนิงผิงก็คือคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น และน้องสาวคนสุดท้องชื่อกู้เสี่ยวอี้อายุห้าขวบ ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้กู้เสี่ยวอี้เคยป่วยหนัก แม่นางกู้จึงใช้เงินหกร้อยตำลึงเงินเพื่อไปพบหมอ”
เมื่อได้ยินว่าต้องเสียค่ารักษาถึงหกร้อยตำลึงเงิน ฉินเย่จือก็ขมวดคิ้ว “ป่วยอะไร เหตุใดถึงใช้เงินเยอะเช่นนี้!”
“ได้ยินมาว่าตกจากภูเขา” อาโม่ตอบ “นายท่าน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม่นางผู้นี้มีเงินมากมายจริง ๆ”
ฉินเย่จือขมวดคิ้ว หกร้อยตำลึงเงินมากขนาดนั้นเลยหรือ?
แต่เมื่อมองดูบ้านที่ทรุดโทรม สาวน้อยผู้นี้มีเงินถึงหกร้อยตำลึงเงินก็คงไม่น้อยสินะ?