บทที่ 271 รับเสี่ยวอี้เป็นศิษย์
พี่ฝูแกล้งขอให้กู้เสี่ยวอี้ช่วยวัดขนาด และกู้เสี่ยวอี้ก็ให้ร่วมมืออย่างดี
กู้เสี่ยวหวานไม่คุ้นเคยกับเสื้อผ้าโบราณเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไร แต่คิดว่าตอนนี้เป็นฤดูร้อน หลังจากอาบน้ำแล้ว นางควรสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายและหลวมเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงเลือกผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มเพื่อทำกางเกงและเสื้อซึ่งแขนยาวเป็นแบบเดียวกับชุดชั้นใน แต่หลวมกว่า
พี่ฝูตอบรับและไม่ได้เรียกเก็บเงินจากกู้เสี่ยวหวานมากเกินไป โดยคำนวณจากราคาต้นทุนและค่าฝีมือ หลังจากจ่ายเงินแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงตัดสินใจออกไปก่อน เพราะยังมีสิ่งที่ต้องทำที่ร้านจิ่นฝู
เมื่อนางกำลังจะบอกให้กู้เสี่ยวอี้ออกไป นางเห็นกู้เสี่ยวอี้จ้องมองที่ผ้าเช็ดหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ กู้เสี่ยวหวานร้องเรียกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใด ๆ ดังนั้นนางจึงเดินตามสายตาของกู้เสี่ยวอี้ไป และเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักด้วยดอกท้อสีชมพูสองสามดอก กิ่งก้านและใบไม้สีเขียวซึ่งดูเหมือนจริง
“ท่านพี่ นี่ดูดีมาก!” กู้เสี่ยวอี้ชี้ไปที่ลายปักบนผ้าเช็ดหน้า และกล่าวด้วยความชื่นชม
“อืม ดูดีมาก” เมื่อเห็นว่าน้องสาวของนางชอบ กู้เสี่ยวหวานจึงกล่าวว่า “ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะซื้อให้”
กู้เสี่ยวอี้ส่ายหัว การซื้อผ้าเช็ดหน้านี้ต้องใช้เงิน แต่นางใช้เงินอีกไม่ได้แล้ว “ท่านพี่ ข้าแค่ดู ข้าจะไม่ซื้อมัน”
เมื่อพี่ฝูได้ยินจึงกล่าวว่า “เสี่ยวอี้ ถ้าเจ้าชอบพี่ฝูจะให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แก่เจ้า ข้าปักผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้ไว้เยอะ ถ้าเจ้าชอบก็เอาไปได้เลย!”
กู้เสี่ยวหวานส่ายหัวและปฏิเสธ “ขอบคุณสำหรับความกรุณาของพี่ฝู ท่านดูแลพวกเราอย่างดีแล้ว เรารับไม่ได้!”
“เฮ้อ พวกเจ้า…” เมื่อเห็นการปฏิเสธของกู้เสี่ยวหวาน พี่ฝูจึงกล่าวอย่างโกรธเคือง “ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนมีราคาเพียงสิบเหรียญ ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไร”
หลังจากที่นางกล่าวจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายดอกท้อออกจากตู้ คุกเข่าลง ยื่นมันให้กู้เสี่ยวอี้ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มาสิ เสี่ยวอี้ มารับไว้”
“พี่ฝู ขอบคุณท่านมาก” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย พี่ฝูได้ลดราคาให้มากแล้ว คราวนี้นางให้ผ้าเช็ดหน้าแก่กูเสี่ยวอี้โดยไม่คิดเงินอีกด้วย กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกขอบคุณมาก
“ขอบคุณอะไร นี่ไม่ใช่สิ่งมีค่ามากอะไร ตราบใดที่เด็กผู้นี้ชอบ วันพรุ่งนี้ข้าค่อยปักอีกสองสามผืนก็ได้” เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานเกรงใจมาก พี่ฝูจึงกล่าวอย่างรวดเร็ว เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินพี่ฝูกล่าวเช่นนั้นนางจึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เสี่ยวอี้รับผ้าเช็ดหน้านั้นมาราวกับสมบัติล้ำค่า แม้แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นก็เปล่งประกาย
เด็กหญิงตัวน้อยลูบผ้าเช็ดหน้า สัมผัสซ้ายขวา ท่าทางเบิกบานใจยิ่งนัก
ครั้นเห็นว่าน้องสาวชอบผ้าเช็ดหน้านี้มาก กู้เสี่ยวหวานก็มีความสุขมากเช่นกัน
พี่ฝูที่อยู่ด้านข้างรู้สึกดีใจเมื่อเห็นว่ามีเด็กชอบฝีมือการปักของนางเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกพึงพอใจ ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างออก สีหน้าจึงเปลี่ยนไป นางคุกเข่าอีกครั้งและจับมือกู้เสี่ยวอี้ไว้ และเอ่ยถาม “เสี่ยวอี้ เจ้าชอบสิ่งนี้มากใช่หรือไม่?”
กู้เสี่ยวอี้พยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ เสี่ยวอี้ชอบเจ้าค่ะ”
พี่ฝูตื่นเต้นเล็กน้อย และเอ่ยถามอีกครั้ง “อย่างนั้นเสี่ยวอี้อยากเรียนปักผ้าเช่นนี้หรือไม่?”
เมื่อกู้เสี่ยวอี้ได้ยิน ดวงตาก็เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม และนางก็พยักหน้าแรงขึ้นไปอีก “อยาก อยาก เสี่ยวอี้อยากเรียน!”
กู้เสี่ยวอี้ตอบว่าอยากสามครั้งติดต่อกัน ดูแล้วนางคงจะอยากเรียนการปักผ้ามานานแล้ว เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินกู้เสี่ยวอี้ตอบเช่นนั้น และเมื่อเห็นแววตาเป็นประกายของน้อง นางก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเมื่อพี่ฝูให้เชือกถักและถุงหอมมา นางจึงชอบมันมากขนาดนั้น ถือมันไว้ในมือทุกวันและมองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเพราะนางชอบมากนี่เอง
กู้เสี่ยวหวานเห็นดังนั้นก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย น้องสาวที่อาศัยอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่นางกลับไม่รู้ว่าน้องสาวชอบอะไรมากที่สุด กลับกันพี่ฝูมองแค่แวบเดียวก็สามารถเห็นสิ่งที่กู้เสี่ยวอี้ชอบได้ จริง ๆ คือ…
พี่ฝูจูงกู้เสี่ยวอี้ไว้ในมือข้างหนึ่ง เดินไปข้าง ๆ กู้เสี่ยวหวาน และกล่าวว่า “สาวน้อยเสี่ยวหวาน หายากที่เด็กจะชอบงานปักขนาดนี้ ข้าจะปรึกษากับเจ้าสักหน่อย ถ้าข้าจะรับเสี่ยวอี้เป็นลูกศิษย์ เจ้าจะว่าอย่างไร?”
กู้เสี่ยวหวานตกตะลึง “พี่ฝู… ท่าน…”
พี่ฝูเหลือบมองกู้เสี่ยวอี้และกล่าวเบา ๆ ว่า “ข้าชอบเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น และหายากที่เด็กเช่นนี้จะชอบงานปัก ข้าไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน นี่จะเป็นการเติมเต็มความฝันของข้าในการเป็นอาจารย์ สาวน้อยเสี่ยวหวานมองเช่นนี้คงไม่ได้หมายความว่าเจ้าคิดว่าข้าความไร้ความสามารถหรอกนะ?” ประโยคสุดท้ายของพี่ฝูกล่าวติดตลก
กู้เสี่ยวหวานรีบส่ายหัว “พี่ฝู ดูสิ่งที่ท่านพูดสิ ท่านรับเสี่ยวอี้เป็นลูกศิษย์เช่นนี้ ข้าจึงซาบซึ้งใจจนพูดไปออก ข้าจะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ตอนนี้ข้าเพียงแค่ตกใจเท่านั้น”
อันที่จริง นางรู้สึกประหลาดใจที่กู้เสี่ยวอี้ต้องการจะเรียนมากกว่า
นางรู้สึกว่าตนเองใส่ใจเกี่ยวกับความชอบของเด็ก ๆ เหล่านี้น้อยไป ในอดีต นางสนใจเพียงแค่ทำให้พวกเขาอิ่มท้อง ได้รับอาหารเพียงพอ แต่งกายดี และอบอุ่น แต่ไม่ได้สนใจว่าเด็กเหล่านี้ชอบอะไร
ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่ากู้หนิงผิงไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ก็ยังเกลี้ยกล่อมให้เขาไปเรียน นางก็ยังไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ชอบอะไร และคิดว่าเป็นการดีที่จะให้พวกเขาเรียนหนังสือ แต่นางไม่ได้สนใจว่าพวกเขาต้องการทำอะไรมากที่สุด
ตอนนี้กู้เสี่ยวอี้ก็เป็นเช่นนี้ เดิมทีนางคิดว่ากู้เสี่ยวอี้ยังเด็กอยู่ ในวันธรรมดาตอนที่นางสอนกู้หนิงผิงให้อ่านและเขียน นางก็ได้สอนกู้เสี่ยวอี้ให้จำคำศัพท์บ้าง แต่กู้เสี่ยวอี้ไม่สนใจมากนัก และมักหยิบเชือกถักและถุงหอมออกมาดูเป็นครั้งคราว นางจึงคิดว่าเด็กหญิงคนนี้เพียงแค่ชอบสิ่งของที่สวยงาม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะอยากเรียนรู้ด้วย
กู้เสี่ยวหวานแอบตำหนิตนเอง นางจะคัดค้านเสี่ยวอี้ที่อยากเรียนรู้การเย็บปักถักร้อยได้อย่างไร?
พี่ฝูต้องการรับกู้เสี่ยวอี้เป็นลูกศิษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถร้องขอได้ เพราะฝีมือของพี่ฝูนี้ได้เรียนรู้การเย็บปักถักร้อยจากสาวใช้ในวัง
นับเป็นโชคดีของกู้เสี่ยวอี้ที่พี่ฝูต้องการสอนนาง เมื่อนึกถึงสิ่งนี้กู้เสี่ยวหวานจึงดึงมือกู้เสี่ยวอี้และกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวอี้ เร็วเข้า คำนับอาจารย์เร็ว”
เมื่อกู้เสี่ยวอี้ได้ยินกู้เสี่ยวหวานกล่าวเช่นนั้น จึงคุกเข่าลงและทำตามคำแนะนำของกู้เสี่ยวหวาน นางมองไปทางพี่ฝูและกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “คาระวะท่านอาจารย์”
ครั้งที่แล้วที่พี่ชายทั้งสองไปที่หอหนังสืออวี้เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ กู้เสี่ยวอี้ที่เคยเห็นพวกพี่ชายคำนับอาจารย์ นางจึงเรียนรู้และทำตามนั้น ดูไปแล้วก็เหมือนการคำนับในครั้งนั้นจริง ๆ