บทที่ 287 อุ้มกลับบ้าน
เดิมทีเหมียวเอ้อร์เคยเรียนหนังสือมาก่อน แม้ว่าเขาจะไปร้านอาหารเพื่อเป็นคนทำบัญชี แต่เขาก็ยังหยิ่งผยองอยู่เสมอ เขายังถือว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น คราวนี้หลังจากได้ยินกู้เสี่ยวหวานกล่าวว่าตนเองเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ เหมียวเอ้อร์จึงก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ และใช้มีดชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวานพลางจ้องมองนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดอีกครั้งสิ!”
เมื่อเห็นท่าทางที่บ้าคลั่งของเหมียวเอ้อร์ หัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็สั่นเทา และฝ่ามือของนางมีเหงื่อไหลซึม แต่กู้เสี่ยวหวานกลับยืดหลังตั้งตรง และกล่าวออกไปโดยไม่แสดงร่องรอยของความขี้ขลาด
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานไม่สนใจเขา เหมียวเอ้อร์จึงกรีดร้องออกมาเสียงดัง มีดในมือของเขากวัดแกว่งไปมา กู้เสี่ยวหวานทำได้แค่หลบหลีกเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ามีดกำลังจะพุ่งมาหาตนเอง กู้เสี่ยวหวานจึงยกแขนมากันไว้ตามสัญชาตญาณ และจากนั้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแผ่กระจายขึ้นบริเวณแขนของนาง เมื่อก้มมองลงไปก็เห็นว่าบนแขนมีบาดแผลเกิดขึ้น บาดแผลไม่ลึก แต่เลือดก็ยังคงไหลออกมา
ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานซีดเผือด นางรีบปิดบาดแผลของตนเองโดยไม่รู้ตัว
แต่ไม่ว่านางจะปิดอย่างไร เลือดก็ยังไหลทะลักผ่านนิ้วมือของนาง
คาดว่าเลือดคงเป็นตัวกระตุ้นเหมียวเอ้อร์ เขายิ้มและก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และเล่นมีดในมือพลางกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า หลี่ฝานก็จะไม่มีคนทำบัญชีอีกต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็ต้องมาเชิญข้ากลับไป!”
กู้เสี่ยวหวานปิดแขนของนางและค่อย ๆ ก้าวถอยหลัง สีหน้าของเหมียวเอ้อร์มองดูแล้วน่าขนลุก
นับตั้งแต่ที่เสี่ยวหลีจื่อบอกเหมียวเอ้อร์ว่าหลี่ฝานได้ขอให้กู้เสี่ยวหวานเป็นคนทำบัญชีเป็นการส่วนตัว ทั้งยังจัดห้องรับรองสำหรับกู้เสี่ยวหวาน เหมียวเอ้อร์จึงได้วางแผนที่จะแก้แค้น
เหมียวเอ้อร์ได้สะกดรอยตามกู้เสี่ยวหวานอยู่หลายครั้ง แต่กู้เสี่ยวหวานนอกจากไปในเมืองก็จะอยู่แต่บ้าน เหมียวเอ้อร์ร้อนใจมากเพราะเขาไม่ได้มีโอกาสได้โจมตี
คราวนี้เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานออกไปข้างนอก เขาคิดว่าโอกาสมาถึงแล้วจึงได้ตามหลังกู้เสี่ยวหวานอยู่ตลอด
เมื่อพวกเขาไปถึงที่เปลี่ยว เหมียวเอ้อร์จึงแสดงให้เห็นเจตนาที่แท้จริง และลากกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในป่าทึบ
“แม้ว่าจักรพรรดิหยกจะมาในวันนี้ ก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้” เหมียวเอ้อร์ยิ้ม ในป่าอันเงียบสงบนี้รอยยิ้มนั้นช่างน่าขนลุก
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว กู้เสี่ยวหวานกังวลว่าถ้านางไม่หลบหนีในตอนนี้ นางจะต้องตายที่นี่ในวันนี้อย่างแน่นอน
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานรู้สึกถึงรสชาติของความหวาดกลัว
เหงื่อไหลซึมทั่วทั้งหัว เด็กหญิงผงะถอยหลังทีละก้าว ส่วนเหมียวเอ้อร์ก็ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวเช่นกัน
ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็สะดุดหินที่อยู่บนพื้น ทำให้นางล้มลง เมื่อเหมียวเอ้อร์เห็นนางล้มลงบนพื้น เหมียวเอ้อร์ดูตื่นเต้นมาก “เป็นอย่างไรบ้าง? รสชาติความรู้สึกใกล้ตายก็ไม่เลวใช่หรือไม่? คราวนี้ข้าจะส่งเจ้าไปโลกแห่งความสุขเอง*[1]!”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้า เงื้อมีดในมือขึ้นสูง กู้เสี่ยวหวานทำได้เพียงหลับตาและรอการมาถึงของเทพเจ้าแห่งความตาย แต่หลังจากรอเป็นเวลานานก็ไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นบนร่างกาย แต่ดูเหมือนมีอะไรเหนียว ๆ หยดลงมาบนใบหน้าของนาง
กู้เสี่ยวหวานลืมตาและเห็นเหมียวเอ้อร์ยืนอยู่ตรงนั้นในท่าเดิม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และมีดในมือยังคงเงื้อสูง ในขณะนี้ มีดของเขาจะไม่ตกอีกเพราะเขาถูกไม้ไผ่แหลมแทงทะลุ ผ่านร่างกายของเขา
“อา!” นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานเห็นคนตาย นางกรีดร้องด้วยความกลัวและถอยห่างออกไป นางรีบใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดเหนียวบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว
ร่างของเหมียวเอ้อร์ล้มลงต่อหน้านาง และข้างหลังของเขามีคนที่กู้เสี่ยวหวานคุ้นเคย
“ฉินเย่จือ!”
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้สามสิบปี แต่นางก็ไม่เคยประสบกับความมืดมิดเช่นการลักพาตัวและการฆาตกรรมมาก่อน ตอนนี้ สองสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน มันทำให้หัวใจดวงน้อยของนางแทบจะหยุดเต้น
ฉินเย่จือเพิ่งกลับมาถึงหมู่บ้านอู๋ซี และตรงไปยังบ้านของกู้เสี่ยวทันที แต่เขาไม่เห็นใครที่บ้านและไม่ได้จุดไฟ จึงคิดว่าพวกเขาออกไปข้างนอกจึงวางแผนที่จะไปรอที่ภูเขา
แต่เมื่อเขาเดินขึ้นไปบนภูเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังมาไม่ไกลจากที่เขาอยู่
เดิมทีเขาไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องผู้อื่น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขาได้ยินเสียงกรีดร้อง หัวใจของเขาพลันก็รู้สึกแปลกประกหลาด และวิ่งไปยังทิศทางของเสียงร้องที่ได้ยินเมื่อครู่นี้โดยไม่ลังเล
เมื่อเขามาถึง ก็พอดีกับมีดในมือของเหมียวเอ้อร์อยู่ห่างจากกู้เสี่ยวหวานเพียงปลายนิ้วก้อย ฉินเย่จือในตอนนั้นไม่ได้สนใจสิ่งใดอีกแล้ว เขาเตะไม้ไผ่จากพื้นขึ้นมาแล้วแทงเข้าไปที่หัวใจของเหมียวเอ้อร์โดยตรง
ฉินเย่จือรู้สึกกลัวเล็กน้อย ถ้าเขามาช้าไปกว่านี้เพียงครึ่งก้าว เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวหวาน เขารีบรุดขึ้นหน้าและกอดกู้เสี่ยวหวานที่สั่นสะท้านเอาไว้ “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ร่างกายของกู้เสี่ยวหวานสั่นระริกอย่างรุนแรง และบาดแผลบนแขนของนางก็ปวดร้าวขึ้นมา หลังจากการต่อสู้ที่รุนแรง กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่านางไร้เรี่ยวแรง จึงหลับตาลงและสลบไป
ฉินเย่จือยื่นมือออกและสำรวจลมหายใจของอีกฝ่าย นางยังคงหายใจปกติ และไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ที่หมดสติไปคงเพราะหวาดกลัวมากเกินไป
สีหน้าของฉินเย่จือมืดมนราวกับน้ำหมึก จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเมื่อมองไปที่ร่างไร้วิญญาณของเหมียวเอ้อร์และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “อาโม่”
ร่างของอาโมปรากฏตัวต่อหน้าเขา “นายท่าน”
“จัดการศพนี้ซะ” ชายผู้นี้กล้าหาญมากจากไหนถึงกล้าแตะต้องกู้เสี่ยวหวาน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวหวาน เขาจะสับร่างของคนผู้นี้ออกเป็นหลายหมื่นชิ้น ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานสลบไปแล้ว มือของนางยังคงบาดเจ็บอยู่ นี่คือเด็กหญิงอายุเพียงเก้าขวบ นางคงตกใจกลัวมากและไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะฟื้น เมื่อเขาคิดว่ากู้เสี่ยวหวานต้องบาดเจ็บจากชายน่าเกลียดผู้นี้ ฉินเย่จือก็โกรธมาก “โยนมันไปบนภูเขาให้เป็นอาหารหมาป่า!”
อาโม่พยักหน้าตอบรับ ในชั่วพริบตา อาโม่และร่างไร้วิญญาณของเหมียวเอ้อร์ก็หายไป
ฉินเย่จืออุ้มกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขน และรีบกลับไปที่บ้านครอบครัวกู้
ในขณะนี้ กู้หนิงผิงกำลังรออยู่ข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ อาหารของครอบครัวพร้อมแล้ว และเห็นได้ชัดว่าพี่สาวกลับมาบ้านแล้ว กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้รออยู่ที่บ้านสักพักหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่เห็นกู้เสี่ยวหวานกลับมาสักที
ข้างนอกมืดแล้ว แต่พี่สาวยังไม่กลับมา
ตามสัญชาตญาณ กู้หนิงผิงเดาว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่สาวแน่นอน ไม่เช่นนั้นพี่สาวคงไม่กลับมามืดค่ำเช่นนี้
โดยปกติพี่สาวมักจะสอนกู้เสี่ยวอี้อยู่เสมอว่าผู้หญิงต้องกลับบ้านก่อนมืดและไม่ควรอยู่ข้างนอกในเวลากลางคืน แต่เวลานี้มันมืดแล้ว แต่พี่สาวก็ยังไม่กลับมา ท่านที่ไปไหนกันแน่
กู้เสี่ยวอี้ยืนอยู่นอกบ้าน ชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ
*[1] เป็นคำอุปมาเรื่องความตาย