พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 2184.1 จุกตายกล้าหาญ หิวตายขี้ขลาด (1)

บทที่ 2184.1 จุกตายกล้าหาญ หิวตายขี้ขลาด (1)
ไม่ว่าจะเป็นฮวาอี้เทียนหรือฉวี่ฉางเทียนที่รบแพ้ การขอรับโทษคือสิ่งที่ควรทำ แต่ประมุขชิงก็ไม่สามารถลงโทษอีกฝ่ายได้ เพราะความพ่ายแพ้ของศึกนี้ไม่ได้เป็นเพราะแม่ทัพสองคนนั้น แต่เป็นเพราะผู้บัญชาการสูงสุดอย่างประมุขชิงตัดสินใจพลาด ส่งกองทัพใหญ่เข้าไปในกับดักของอีกฝ่ายแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่พูดว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจผลักความผิดซี้ซั้วให้ใครได้ในเวลานี้
ข้างหน้าเป็นประตูดวงดาวอีกแห่ง ทัพใหญ่ที่เป็นกองหน้าปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้ง มองข้ามทหารยามไป พอตะโกนบอกแล้วไม่ถอยก็บุกโจมตีทันที บังคับเปิดทางให้ราชันสวรรค์ที่อยู่ข้างหลัง ทิ้งการบาดเจ็บล้มตายเอาไว้บริเวณหนึ่ง ไม่สนเลยว่าจะเป็นกำลังพลของฝ่ายไหน
“ฝ่าบาท ทัพตะวันตกกับทัพเหนือกำลังระดมพลขนาดใหญ่ เริ่มกวาดล้างกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตทั่วทุกด้านแล้ว สู้กับพวกเราอย่างเป็นทางการ” อู๋ฉวี่รายงานข่าวไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง
สำหรับคนที่ปกครองใต้หล้า สิ่งใดที่เรียกว่าใต้หล้าวุ่นวายละ? ก็คือการที่มีข่าวร้ายส่งมาอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์เสียการควบคุมอย่างฉับพลัน ข่าวร้ายทยอยมาไม่ขาดสาย ตอนแรกทำให้ประมุขชิงโมโหจนกระหืดกระหอบจริงๆ แต่ตอนนี้กลับใจเย็นแล้ว ตั้งแต่ลงมือผิดพลาด ปฏิกิริยาของอ๋องสวรรค์โค่วและอ๋องสวรรค์ก่วงก็อยู่ในความคาดหมายของเขาแล้ว ไม่พอให้แปลกใจ ไม่จำเป็นต้องโมโหอีกเช่นกัน ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องแก้ปัญหาอย่างเยือกเย็น
“ฝ่ายศัตรูมีเยอะกว่าฝ่ายเรา สั่งให้กองทัพองครักษ์แต่ละแห่งรักษากำลังเอาไว้ อย่าใช้กำลังปะทะตรงๆ หนีเข้าไปซ่อนตัวในอาณาเขตดาวนิรนามก่อน รอให้ข้าไปถึงแล้ว ก็ค่อยปรากฏตัวและผนึกกำลังกับทัพใหญ่ของข้า” ประมุขชิงกล่าว
อู๋ฉวี่เข้าใจความหมายของเขา ฝ่าบาทต้องการจะถือโอกาสเก็บรวบรวมกำลังพลระหว่างทาง รักษาและสะสมกำลังเอาไว้ในระดับสูงสุด เขาเอ่ยรับคำสั่ง “รับทราบ!”
“มีแค่ทัพตะวันตกกับทัพเหนือที่เคลื่อนไหวหรอ? เถิงเฟยของ ทัพตะวันออกล่ะ?” ประมุขชิงถาม
“ทัพตะวันออกยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ” อู๋ฉวี่ตอบ
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “เถิงเฟยคิดจะนั่งดูเสือกัดกัน อยากจะเห็นทั้งสองฝั่งสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ค่อยออกมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ไม่หัดเจียมตัวเสียบ้าง ซ่างกวน เจ้าติดต่อไปคุยกับเถิงเฟยเดี๋ยวนี้ ให้เขาระดมพลมาฟังคำบัญชาการของข้า ข้าจะประกาศต่อทั้งใต้หล้าว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันออก ประธานรางวัลเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งร้อยล้านคัน รีบดึงเขามาเป็นพวกให้เร็วที่สุด ถ้าเขาไม่ยอม เจ้าก็บอกเขาไปว่า การต่อสู้ในอาณาเขตทัพใต้จบลงแล้ว ข้าสามารถเลือกลูกพลับอ่อนมาบีบได้ ทัพใหญ่สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปกำจัดเขาได้ทุกเมื่อ!”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ
ในที่สุดโพ่จวินที่อยู่ข้างกันก็กล่าวว่า “ฝ่าบาท ตอนนี้ยังมีปัญหาใหญ่ที่สุดที่ต้องแก้ไขอีก ใต้หล้ากำลังเปิดศึกทั่วทุกด้าน ประตูดวงดาวแต่ละแห่งถูกปิดไว้ คนทั่วไปไม่สามารถผ่านไปได้ตามปกติ แต่ละแห่งถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ทัพใหญ่แต่ละหน่วยล้วนอยู่ในการควบคุมที่เข้มงวด ไม่สามารถใช้ระฆังดาราติดต่อได้ตามปกติแน่นอน สำนักแต่ละแห่งก็หดหัวหลบภัย เกรงว่าสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายก็รายงานข่าวลำบาก แล้วก็เลิกหวังด้วยว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะให้การสนับสนุนอะไรอีก การรับข่าวของทัพใหญ่เป็นปัญหาหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเราจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝ่ายศัตรูระดมพลอย่างไร คงตามืดบอด เหมือนกับคนหูหนวกตาบอด ฝ่ายศัตรูรู้ความเคลื่อนไหวของเราได้ แต่พวกเรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ยังจะทำยังไงได้อีก?”
ประมุขชิงขานรับ “ซ่างกวน บอกสมาคมวีรชน ให้สมาชิกของสมาคมวีรชนที่ซ่อนอยู่ตามแต่ละพื้นที่เคลื่อนไหวทั้งหมด ให้ซ่อนตัวสังเกตการณ์ใกล้ๆ ทางผ่ายทุกแห่งในใต้หล้า รายงานความเคลื่อนไหวของกำลังพลแต่ละพื้นที่ขึ้นมาให้ทันเวลา แล้วก็ เกาก้วน ให้สมาชิกของหน่วยตรวจการขวาแต่ละแห่งเคลื่อนไหวพร้อมกันทั้งหมด ดำเนินการตามนี้”
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงกับเกาก้วนเอ่ยรับคำสั่งแล้วดำเนิน
ประมุขชิงไม่พูดอะไรอีก สีหน้าเรียบเฉย แต่อารมณ์กลับหนักหน่วงยิ่งขึ้น ความเสียหายของกำลังพลแปดร้อยล้าน หมายความว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดร้อยล้านคันตกอยู่ในมือกองทัพฝ่ายศัตรูแล้ว แค่นี้ก็เท่ากับจำนวนกำลังพลที่อยู่กับเขาตอนนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย
เมื่อผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพองครักษ์อย่างเขาบัญชาการผิดพลาดครั้งเดียว ปัญหายุ่งยากร้ายแรงที่ตามมาทำให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง
การประจันหน้าสนามแรกของกองทัพองครักษ์กับทัพกบฏจบลงแล้ว ภายใต้กับดักที่ฝ่ายศัตรูมีกำลังพลมากกว่า กองทัพองครักษแพ้ยับเยิน กำลังพลแปดร้อยล้านพินาศย่อยยับ
ทัพใต้ที่เก็บกวาดสนามรบก็กำลังตรวจนับความเสียหายเช่นกัน
หลังจากชิงเยว่สรุปความเสียหายของการรบแล้ว ก็มารายงานตรงหน้าเหมียวอี้ “ท่านอ๋อง กำลังพลห้าร้อยล้านฝ่ายศัตรูย่อยยับหมด ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาประมาณห้าร้อยล้านคัน ทรัพยากรอย่างอื่นยังไม่ได้นับ กำลังพลฝ่ายเราตรงประตูดวงดาวเสียหายไปเกือบหกสิบล้าน ศึกที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เสียหายไปเกือบสามร้อยล้าน เกินครึ่งเสียหายเพราะฝ่ายศัตรูใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีในตอนแรก รวมแล้วกำลังพลฝ่ายเราเสียหายสามร้อยหกสิบล้าน บาดเจ็บเกือบสองร้อยล้าน กำลังรวมกลุ่มรักษาบาดแผล ในจำนวนนั้นมีสามสิบล้านคนที่อาการสาหัส เกรงว่าคงรักษาให้หายไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ ร่วมรบต่อไปไม่ได้อีก ส่วนที่เหลือสามารถฟื้นฟูร่างกายโดยเร็วที่สุด”
เหมียวอี้พยักหน้า ภายใต้เงื่อนไขที่มีความได้เปรียบด้านกำลังทหารแบบนี้ แต่ก็ยังสูญเสียกำลังพลไปเยอะมาก พลังรบของกองทัพองครักษ์ห้าวหาญจริงๆ นับกำลังพลอาการสาหัสที่ยังรบต่อไม่ได้ การสู้กับกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านนี้ ฝ่ายเขาจ่ายราคาไปเป็นกำลังพลสี่ร้อยล้านแล้ว เรียกได้ว่าฝ่ายศัตรูเสียหายหนึ่งพันฝ่ายตัวเองเสียหายแปดร้อย แม้จะชนะก็เจ็บตัวเหมือนกัน
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ บอกว่า “กำลังพลด้านนอกให้ความร่วมมือกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลปราบกองทัพองครักษ์ไปประมาณสามสิบล้าน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียหายไปเกือบสองร้อยล้าน กำลังพลเดิมก็เสียหายไปเกินสิบล้านเช่นกัน”
“เฮ้อ!” เฉิงไท่เจ๋อถอนหายใจ “แม้ฝ่ายข้าจะกำจัดกองทัพองครักษ์ไปเกือบสามร้อยล้าน แต่กำลังพลของตัวเองกลับเสียหายไปเกือบห้าร้อยล้าน กำลังพลประมาณยี่สิบล้านที่นำโดยฮวาอี้เทียนฝ่าวงล้อมไปได้แล้ว ปล่อยให้เขาหนีไปได้แล้ว”
เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่ชาย คิดในแง่ดีหน่อย สาเหตุที่ข้าตัดสินใจว่าจะทำศึกนี้ให้ได้แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ก็เพราะเป็นศึกที่รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว เป็นศึกที่เปลี่ยนให้กำลังของฝ่ายเรากับฝ่ายศัตรูสูสีกันได้ด้วย มีความสำคัญมาก ตอนนี้พวกเราทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้ในมือมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์์เพิ่มมาเกือบแปดร้อยล้านแล้ว ทั้งยังรักษากำลังพลไว้ได้สามร้อยล้านกว่า ต่อให้ปะทะกับประมุขชิงซึ่งๆ หน้า เกรงว่าประมุขชิงก็อาจสู้พวกเราไม่ได้เหมือนกัน ศึกเดียวเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน อันตรายนี้คุ้มค่าที่จะเสี่ยง อย่าบอกนะว่าไม่มีค่าพอให้ดีใจ?”
เฉิงไท่เจ๋อกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอ๋องก็พูดถูก!” แต่ในใจกลับแอบพึมพำว่า กำลังของเจ้าเพิ่มขึ้นแล้ว แต่กำลังของข้ากลับลดลงหนึ่งในสาม ยิ่งทำได้เพียงต้องพึ่งพาเจ้ามากขึ้น
“ท่านอ๋อง ตอนนี้ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง กองทัพองครักษ์หลายร้อยล้านด้านนอกเริ่มหลบแล้ว ไม่ปะทะกับพวกเราอีก” หยางเจาชิงกล่าว
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ถ้าคนพวกนี้หลบซ่อนขึ้นมา เช่นนั้นก็เป็นปัญหาแล้วจริงๆ
หยางชิ่งที่อยู่ข้างกายบอกว่า “ถ้าหลบซ่อนขึ้นมา ก็เกรงว่าคงไม่ใช่แค่กองทัพองครักษ์ในทัพใต้แล้ว ข่าวที่กำลังพลจู่โจมฝั่งนี้รบแพ้จะต้องถึงหูประมุขชิงแล้วแน่นอน ถ้าจะให้กำลังพลหลายร้อยล้านที่กระจัดกระจายดันทุรังโจมตีช่วยเหลืออีก ก็ไม่มีความหมายแล้ว ไม่ต่างอะไรกับให้พวกเขาเอาชีวิตไปทิ้ง ทัพตะวันตกกับทัพเหนือก็เริ่มได้ชัยจากกองทัพองครักษ์แล้วเช่นกัน กำลังพลเล็กน้อยเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสองทัพเลย เกรงว่าจะซ่อนตัวแล้วเหมือนกัน พอเป็นแบบนี้ จุดประสงค์ของประมุขชิงก็ชัดเจนมาก เขาจะต้องพยายามรักษากำลังไว้แน่นอน พวกเราแค่จำจัดกำลังพลหนึ่งในสามส่วนของเขาเท่านั้น ในมือเขายังมีอีกหนึ่งในสาม ที่กระจัดกระจายอยู่แต่ละแห่งก็ไม่รู้ว่าเสียหายขนาดไหน คาดว่าคงเป็นหนึ่งในสามเหมือนกัน ขอเพียงรักษาและเก็บรวบรวมกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตของทัพฝ่ายต่างๆ ไว้ได้ ในมือเขาก็จะยังรักษากำลังพลไว้ได้เยอะมาก”
เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้า “ท่านบุรุษหยางพูดถูก ขอเพียงรวบรวมกำลังพลที่เหลือได้ ไม่ว่าประมุขชิงจะสู้กับฝ่ายไหนก็ไม่ต้องกลัว สามารถสู้ได้เลย! ตอนนี้ประมุขชิงนำทัพใหญ่เร่งตามมาแล้ว คาดว่าตามรายทางคงไม่มีใครกล้าดันทุรังปะทะกับกำลังพลแปดร้อยล้านของเขาแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะเก็บรวบรวมกำลังพลตามรายทางแล้ว คงใช้เวลาอีกไม่นาน กำลังพลที่รวมอยู่ในมือเขาเป็นทัพใหญ่เกินพันล้านได้เลย! กองทัพพระแปดร้อยล้านจากแดนสุขาวดีก็กำลังจะฝ่าด่านออกมาเหมือนกัน บวกกับจำนวนเดิมที่เคลื่อนพลออกมาแล้วห้าร้อยล้าน ประมุขชิงก็ถือว่าดุดันมากทีเดียว!”
ทุกคนฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาจริงจัง อำนาจแต่ละฝ่ายล้วนมีความคิดแตกต่างกันไป การรักษากำลังของตัวเองต้องมาเป็นอันดับแรก คาดว่าคงไม่มีใครรวบรวมกำลังพลไปปะทะกับประมุขชิงตามรายทางเพื่อสกัดให้ทัพใต้หรอก ประมุขชิงถูกบีบจนถึงขั้นนี้แล้วกลับต้องสู้สุดชีวิต ถ้าอยากจะเอาชนะประมุขชิง ก็เป็นเรื่องที่ลำบากมาก! ยากมาก!
“ถ้าสามารถกดกำลังพลของแดนสุขาวดีไว้ได้ แต่ละฝ่ายถึงจะตัดสินใจร่วมมือกันสู้กับประมุขชิงให้รู้ดำรู้แดง ไม่อย่างนั้นโค่วหลิงซวีคงเป็นคนแรกที่ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม เขาเป็นหนังหน้าไฟเผชิญกับทัพใหญ่แดนสุขาวดี ออกโจมตีสองสาย ทั้งท้องทั้งหลังล้วนรับข้าศึก ต้องสู้กับประมุขชิงกับประมุขพุทธะในเวลาเดียวกัน เขาไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก ความเป็นไปได้มากสุดก็คือปลีกตัวถอยออกไป!” หยางชิ่งเตือนอยู่ข้างๆ บอกใบ้เหมียวอี้ว่าควรเผยไพ่ที่ใช้รับมือกับแดนพุทธได้แล้ว
“ไม่รีบ! ทางฝั่งแดนพุทธข้ามีแผนอยู่แล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาลงมือ รอให้ทัพใหญ่ของประมุขพุทธะเคลื่อนพลออกจากแดนพุทธก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้โบกมือ แล้วเลิกคิ้วอีก “เถิงเฟยชักช้าไม่ยอมเคลื่อนพล เขาอยากจะนั่งบนกำแพงดูเสือกัดกัน นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด ถ้าเขาไปเข้าข้างฝั่งประมุขชิงเมื่อไร ปัญหาก็จะไม่ใช่น้อยๆ กำจัดภัยแฝงนี้ก่อน แล้วค่อยรวบรวมสมาธิมารับมืออย่างอื่น!”
“ท่านอ๋องหมายความว่า หลีกเลี่ยงคมดาบของประมุขชิงก่อน แล้วโจมตีเถิงเฟย?” เฉิงไท่เจ๋อถาม
หยางชิ่งตอบว่า “อาจไม่ต้องโจมตี กลยุทธ์ชั้นยอดคือบีบยอมแพ้ต่างหาก!”
เฉิงไท่เจ๋อบอกว่า “ในเมื่อเถิงเฟยตัดสินใจจะนั่งดูเฉยๆ เกรงว่าคงไม่ติดต่อกับท่านอ๋องง่ายๆ ถ้าท่านอ๋องบีบเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะเข้าไปหลบซ่อนในอาณาเขตดาวนิรนามก่อน”
หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ก็ต้องฉวยโอกาสบีบให้เขาไปหลบไกลๆ หน่อยถึงจะแก้ปัญหาได้สะดวก ต้องบีบให้เขาเข้าไปอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามด้วยถึงจะดีที่สุด”
“หมายความว่ายังไง?” เฉิงไท่เจ๋อสงสัย
หยางชิ่งมองไปที่เหมียวอี้ บางอย่างเขาไม่สะดวกจะพูด ต้องดูว่าเหมียวอี้จะเต็มใจพูดหรือเปล่า
เฉิงไท่เจ๋อเข้าใจ สายตามองตามไปที่เหมียวอี้เช่นกัน
[1] จุกตายกล้าหาญ หิวตายขี้ขลาด 撑死胆大的 饿死胆小的 หมายถึง คนที่กล้าเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย
พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท