ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 300 ขึ้นโรงศาล 2

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 300 ขึ้นโรงศาล 2

บทที่ 300 ขึ้นโรงศาล 2

ทันทีที่ซุนซีเอ๋อร์ได้ยินกู้เสี่ยวหวานก่นด่าตนเอง นางก็ก้าวไปข้างหน้าและกำลังจะตบไปที่หน้าของกู้เสี่ยวหวาน แต่ถูกข่งฟางผลักออกไป นางเดินเซจนเครื่องประดับบนศีรษะของนางสั่น ซุนซีเอ๋อร์ชี้หน้ากู้เสี่ยวหวานละก่นด่า “เจ้าเด็กขี้โกหก ใครกันแน่ที่ไม่มีความรู้สึกละอาย เห็นได้ชัดว่านี่เป็นที่ดินของข้า แต่กลับถูกเจ้าแย่งไป และตอนนี้ที่ข้าต้องการมันกลับมา แล้วจะทำไม?”

เสียงผู้คนในศาลผสมปนเปราวกับหม้อโจ๊ก เสียงแหลมของซุนซีเอ๋อร์ดังก้องไปทั่วศาล นางไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้พูดเลย ซุนซีเอ๋อร์ชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวานและก่นด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันทั้งหยาบคายและไม่น่าฟัง

กู้เสี่ยวหวานหน้าแดงด้วยความโกรธ ซุนซีเอ๋อร์ที่เป็นผู้อาวุโสกลับกำลังหมิ่นประมาทตนเอง นางมองไปรอบ ๆ และชาวบ้านบางกลุ่มกำลังมองดูอยู่ เมื่อเห็นซุนซีเอ๋อร์เอะอะโวยวายและตะโกนอย่างไร้ยางอาย พวกเขาทั้งหมดก็ชี้นิ้วมาที่นางและเริ่มซุบซิบกัน

กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการจะโต้กลับ จึงทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินคำหมิ่นประมาทของซุนซีเอ๋อร์ นางยืนตัวตรงและก้มหน้าเล็กน้อยโดยไม่สนใจคำก่นด่านั้นเลย

ฉินเย่จือที่อยู่ไม่ไกลกำลังเฝ้าดูสถานการณ์โดยไม่กะพริบตา เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานสามารถรักษาภาพลักษณ์ของนางภายใต้การล่วงละเมิดของซุนซีเอ๋อร์ได้โดยไม่ต้องโต้เถียงกลับ เขาก็แอบพยักหน้าในใจ

ซุนซีเอ๋อร์ยังคงก่นด่าอยู่ ในขณะที่หลิวจือเสี้ยนเดินออกมาที่ศาลด้านบนและเห็นหญิงชนบทส่งเสียงดังโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของนาง หลิวจือเสี้ยนจึงเคาะค้อนประธาน*[1] และตะโกนเสียงดังว่า “เงียบ!”

ซุนซีเอ๋อร์ที่กำลังด่ากราด ครั้นได้ยินเสียงค้อน ซุนซีเอ๋อร์ก็ตกใจสะดุ้งและปิดปากเงียบทันที และมองขึ้นไปบนชั้นศาลอย่างสั่นเทา นางเห็นดวงตาคู่นั้นของหลิวจือเสี้ยนกำลังจ้องมามองที่ตนเอง นางก็คุกเข่าลงไป และตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

เหลยต้าเซิ่งเห็นว่าเมื่อได้ยินเสียงค้อน ซุนซีเอ๋อร์ก็คุกเข่าลง เขาก็หัวเราะในใจ หญิงผู้นี้ทั้งขี้ขลาดและไร้ความสามารถเสียจริง

กู้เสี่ยวหวานกับข่งฟางคุกเข่าลง และทักทายหลิวจือเสี้ยน

หลังจากนั้น ศาลก็เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก

เมื่อเห็นว่าศาลกลับมาเงียบสงบแล้ว หลิวจือเสี้ยนก็เคาะค้อนประธานอีกครั้งและกล่าวเสียงดังว่า “ใครคุกเข่าอยู่ใต้ศาล?”

เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานเป็นโจทก์ กู้เสี่ยวหวานจึงเป็นคนแรกที่ได้พูดแนะนำตัวเองก่อน จากนั้นชี้ไปที่เหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์โดยบอกว่าพวกเขาได้แย่งที่ดินห้าสิบหมู่ของนางไป ตอนนี้นางมาที่นี่เพื่อเอาที่ดินคืน

หลิวจือเสี้ยนเคยเห็นใบร้องเรียนนี้แล้ว แต่เมื่อกู้เสี่ยวหวานกล่าวออกมา เขาจึงรู้สึกแปลกและเอ่ยถามว่า “พ่อแม่ของเจ้าไม่มาหรือ? พวกเขาถึงได้ส่งเจ้ามาที่นี่แทน?”

นางผู้นี้อายุเพียงแปดเก้าขวบเท่านั้น แต่หลังจากได้ฟังคำถามเมื่อสักครู่ นางก็ตอบคำถามทีละคำอย่างมีสติและมีมารยาท อีกทั้งยังพูดจาคล่องแคล่วยิ่งนัก

“ครอบครัวของข้า พ่อแม่เสียชีวิตไปนานแล้ว ทิ้งพวกข้าสี่คนพี่น้องไว้ตามลำพัง ข้าเป็นพี่คนโตในครอบครัว ดังนั้นแล้วข้าจึงต้องออกมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง” กู้เสี่ยวหวานอธิบาย

หลิวจือเสี้ยนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าและเอ่ยถามเหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์อีกครั้ง

สิ่งที่พวกเขากล่าวนั้นตรงข้ามกับคำพูดของกู้เสี่ยวหวานโดยสิ้นเชิง พวกเขากล่าวว่าตนเองซื้อที่ดินมาจากผู้อื่น แต่ไม่รู้ว่าทำไมกู้เสี่ยวหวานถึงมีโฉนดอยู่ในมือ ในตอนสุดท้าย เขาชี้ไปที่ข่งฟาง โดยบอกว่าข่งฟางกับกู้เสี่ยวหวานนั้นร่วมมือกันและยังมีซ่งลี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอร่วมมือกับพวกนางอีก เขากล่าวว่าซ่งลี่คดโกงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยร่วมมือกับข่งฟางและกู้เสี่ยวหวานเพื่อแย่งชิงที่ดินของพวกเขาไป

คำพูดเช่นนี้เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับข่งฟาง เขาโต้กลับทันที “นายท่าน คนพวกนี้กำลังพูดเรื่องไร้สาระ ที่ดินผืนนี้สาวน้อยกู้เป็นผู้ที่ซื้อก่อน จากนั้นจึงไปจดทะเบียนที่ที่ว่าการอำเภอ แล้วออกโฉนดทางการ! นายท่าน พวกเขาโกหก!”

เหลยต้าเซิ่งจึงโต้กลับทันที ทั้งสองฝ่ายจึงโต้เถียงกันไปมา เจ้าด่ามา ข้าด่ากลับ

แต่กู้เสี่ยวหวานที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง นางมีข้อสงสัยในคำพูดของเหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์

คำกล่าวของทั้งสองคนดูเหมือนจะเตรียมไว้แล้ว เชื่อมโยงกันทุกรายละเอียดและทุกคนที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นคนรู้จักของกู้เสี่ยวหวานทั้งนั้น เหตุใดพวกเขาถึงพูดเช่นนั้น?

หลิวจือเสี้ยนตะโกนให้ทุกคนเงียบ จากนั้นศาลก็กลับมาเงียบอีกครั้ง หลังจากฟังคำให้การของโจทก์และจำเลยแล้ว หลิวจือเสี้ยนก็มองไปที่พวกเขา และกำลังคิดอะไรบางอย่าง

ในเวลานี้เหลยต้าเซิ่งจึงกล่าวว่า “นายท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะกู้เสี่ยวหวานเป็นผู้นำ ข้ากับซุนซื่อล้วนต้องการฟ้องร้องนางและคนอื่น ที่แย่งที่ดินของข้ากับซุนซื่อไป อายุยังน้อยแท้ ๆ แต่มีความคิดชั่วร้ายเช่นนี้ นายท่านต้องตระหนักไว้!”

หลิวจือเสี้ยนพยักหน้าและกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าผู้นี้จะตรวจสอบให้ชัดเจน” หลิวจือเสี้ยนไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และถามกู้เสี่ยวหวาน “สาวน้อยกู้ เจ้ามีหลักฐานอะไรที่จะพิสูจน์ว่าที่ดินผืนนี้เป็นของเจ้า? โฉนดทางการนี้ทุกคนก็ล้วนมีคนละฉบับ” หลิวจือเสี้ยนชี้ไปที่โฉนดทางการในมือของเขา และกล่าวว่า “โฉนดที่ทุกท่านนำมาเป็นโฉนดของจริงทุกฉบับ”

ข่งฟางมองออกไปข้างนอกและไม่เห็นซ่งลี่มาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล เมื่อเห็นหลิวจือเสี้ยนถามสาวน้อยกู้อีกครั้งว่านางมีหลักฐานหรือไม่ เขาจึงกล่าวทันทีว่า “นายท่าน เรามีหลักฐาน ซ่งลี่เป็นเจ้าหน้าที่ที่จดทะเบียนที่ดิน เขามีทะเบียนที่บันทึกว่า สาวน้อยกู้ซื้อที่ดินเมื่อไร จดทะเบียนเมื่อไร และมีรายละเอียดทั้งหมดของที่ดิน มันจะดีกว่าที่จะให้ซ่งลี่แสดงสมุดทะเบียนให้นายท่านดู ความจริงย่อมปรากฏออกมาเองตามธรรมชาติ”

กู้เสี่ยวหวานยังเสริมอีกว่า “นายท่าน ข้าก็ได้ไปดูทะเบียนนั้นด้วย ในนั้นมีเพียงชื่อของข้าเท่านั้น ไม่มีบันทึกการจดทะเบียนชื่อของเขาทั้งสองคนในนั้นเลย”

ครั้นเหลยต้าเซิ่งได้ยินว่ากำลังรอซ่งลี่มา เขาก็พ่นลมอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “หืม จะขอให้ซ่งลี่เอาสมุดสมุดทะเบียนมาให้ดูหรือ นี่พวกเจ้ากำลังพยายามทำให้นายท่านสับสนอยู่หรือเปล่า?”

“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลิวจือเสี้ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวต้าเซิ่ง

“นายท่าน…” เหลยต้าเซิ่งรายงาน “วันนี้เมื่อตอนที่ข้ากับซุนซื่อมาที่เมืองรุ่ยเสียน เราบังเอิญผ่านที่ว่าการอำเภอ และข้าได้ยินว่าในที่ว่าการอำเภอเกิดเพลิงไหม้ เป็นเพราะในตอนกลางคืนซ่งลี่ดื่มเหล้ามากเกินไป และบังเอิญทำให้ตะเกียงน้ำมันหก สะเก็ดไฟได้กระเด็นไปถูกน้ำมันตะเกียงหกอยู่ จึงเกิดเป็นเปลวไฟแผดเผาสมุดเล่มเล็กและลามไปที่สมุดทะเบียนทั้งหมดที่ได้รับการจดทะเบียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”

“ว่างอย่างไรนะ?” ข่งฟางตะลึงงัน มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ?

เขาบอกซ่งลี่ไปแล้วว่าเขาต้องการให้ซ่งลี่มาที่นี่และแสดงหลักฐานเพื่อเป็นพยานให้กู้เสี่ยวหวาน แต่เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น และทะเบียนก็ถูกไฟไหม้?

กู้เสี่ยวหวานคุกเข่าอยู่ที่นั่นโดยไม่กล่าวอะไรเลย ตอนที่นางได้ยินเหลยต้าเซิ่งเล่าเรื่องของซ่งลี่ นางก็เข้าใจทุกอย่างทันที

*[1] บล็อกไม้ที่ผู้พิพากษาใช้เคาะโต๊ะเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือออกคำสั่ง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คนพวกนี้ช่างชั่วร้ายและต่ำช้าเสียจริง ๆ ทำได้แม้กระทั่งเด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท