พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 2189 จะรบหรือจะยอม

บทที่ 2189 จะรบหรือจะยอม
ท่ามกลางความเงียบวิเวก สตรีอาภรณ์ขาวลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ในดวงตางามเผยความสงบเงียบและอ่อนโยนดีงาม
นางหยิบระฆังดาราขึ้นมา หลังจากติดต่อได้สักครู่หนึ่ง ก็เงยหน้ามองศีลแปดที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่เบื้องบน ก่อนจะเก็บระฆังดาราและประนมมือหลับตาอีกครั้ง…
อู๋ฉางที่อยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามทำสีหน้างุนงงเหม่อลอย แล้วค่อยๆ ระฆังดาราไว้
เมื่อเห็นว่าผ่านไปนานแล้วแต่เขายังไม่หายเหม่อลอยเสียที หั่วเจินจวินที่อยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างสงสัยว่า “อู๋ฉาง ปฏิกิริยานี้ของเจ้าหมายความว่าอะไร?”
อู๋ฉางเอามือจับหน้าผาก แล้วเงยหน้าบอกว่า “ไป๋เหนียงจื่อบอกว่านางออกบวชแล้ว”
“บวชแล้ว?” หั่วเจินจวินกับอินเอ้อร์หลางถามเป็นเสียงเดียวกัน อินเอ้อร์หลางถามเสริมอีกว่า “นางหลงตัวมาแต่ไหนแต่ไร จะไปบวชได้ยังไง?นี่ข้าฟังผิดไป หรือว่าเจ้าโดนขังนานจนลิ้นแข็งยังไม่หาย?”
ประมุขของสิบปราสาทดำเนินมองหน้ากันเลิกลั่ก สงสัยเช่นกันว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วหรือเปล่า
อู๋ฉางกล่าวด้วยสีหน้าสับสน “ไม่ผิดหรอก นางบอกว่านางออกบวชแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่ถามเรื่องบุญคุณความแค้นเหล่านั้นอีก ทั้งยังบอกอีกว่ากำลังติดตามฝึกตนอย่างเงียบสงบอะไรสักอย่าง ในภายหลังหากมีวาสนาค่อยพบกันอีก”
“อาจารย์?” หั่วเจินจวินกับอินเอ้อร์หลางถามเป็นเสียงเดียวกันอีก ทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าคนแบบไหนที่จะมาเป็นอาจารย์ให้ไป๋เหนียงจื่อได้
จากนั้นทั้งสองก็ต่างกันต่างหยิบระฆังดาราออกมาอีก ทั้งสองคุยกันและแบ่งงานกันทำ คหนนึ่งติดต่อไป๋เหนียงจื่อ อีกคนติดต่อคุณชายไป๋
หลังจากหั่วเจินจวินวางระฆังดาราแล้ว ก็ส่ายหน้ากล่าวอย่างกลุ้มใจ “ไป๋เหนียงจื่อไม่แยแสข้าเลย” หันกลับมาถามอู๋ฉางอีกว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเมื่อครู่นี้เจ้าต่อได้แล้ว?”
อู๋ฉางกลอกตา “เจ้าคิดว่าข้าโง่รึไง?”
อินเอ้อร์หลางวางระฆังดาราแล้วบอกว่า “คุณชายไป๋บอกว่าเขาก็ไม่รู้สถานการณ์ของไป๋เหนียงจื่อชัดเจนเหมือนกัน ส่วนเสิ้นหมีก็ถูกคุณชายไป๋จัดการไปแล้ว”
ตอนนี้เอง ลี่หัวกล่าวเสียงเย็นว่า “พวกปีศาจเฒ่าเสร็จธุระกันหรือยัง? ถ้าไม่ไป พวกเราไปก่อนนะ”
ทั้งสามสบตากัน จากนั้นก็หันกลับมาพร้อมกัน แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ผู้หญิงโดนทิ้ง!”
ลี่หัวเกรี้ยวกราดทันที ชี้พวกเขาพลางตวาด “พวกเจ้าพูดอีกทีสิ!”
“…” เมื่อเห็นลี่หัวทำท่าจะอาละวาด ประมุขปราสาทที่เหลือก็รีบเข้ามาห้ามให้ใจเย็นลง
เวินหวนเจินทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ลี่หัว ช่างเถอะ มีงานสำคัญต้องรีบทำ!”
ลี่หัวสะบัดแขนเสื้อ แล้วถลันตัวเหาะขึ้นฟ้าไป บรรดาประมุขปราสาทเหาะตามไปติดๆ จากนั้นปีศาจเฒ่าทั้งสามก็หัวเราะเยาะอยู่ข้างหลัง…
“ท่านอ๋อง สายลับส่งข่าวมา บอกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะต่างก็นำกำลังพลเข้ามาในเขตทัพตะวันออกขอรับ”
ในดาราจักรที่มีสีสันแพรวพราว หยางเจาชิงที่ยืนอยู่หลังหัวมังกรดำหน้าตาดุร้ายถือระฆังดารา กำลังรายงานเหมียวอี้ที่กำลังจับเขามังกรดำ
เหมียวอี้พยักหน้า บอกว่าเข้าใจแล้ว
“พวกเราเข้ามาในอาณาเขตดาวนิรนามผืนนี้แล้ว ต่อให้พวกเขามาแล้วก็หาพวกเราไม่เจออยู่ดี!” เฉิงไท่เจ๋อกล่าว
หยางเจาชิงเตือนอีกว่า “ฝั่งโค่วหลิงซวียังไม่ขัดขวางทัพใหญ่สามร้อยล้านของประมุขพุทธะ ปล่อยคนเข้ามาโดยตรงเลยขอรับ”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “มีแต่คนอยากเห็นข้ากับพวกเขาสู้กันจนเสียหายทั้งสองฝ่าย แล้วค่อยออกมาชุบมือเปิดอีกที”
แม่ทัพคนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเหาะเข้ามา แล้วใช้สองมือยื่นลูกแก้วพลังปรารถนาให้เหมียวอี้ “ท่านอ๋อง เจออีกเม็ดแล้วขอรับ เส้นทางน่าจะไม่ผิด”
“ไปต่อ! เมื่อเห็นลูกแก้วพลังปรารถนาที่มีความเสียหายก็ลดความเร็วทันที อย่าไปข้างหน้าสุ่มสี่สุ่มห้าอีก” เหมียวอี้กล่าว
“ขอรับ!” แม่ทัพคนนั้นเอ่ยรับแล้วไปข้างหน้า
เฉิงไท่เจ๋อที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้เองกับตาแอบสายหน้า แอบถอนหายใจแทนเถิงเฟย เบื้องล่างมีหนอนบ่อนไส้แบบนี้ วางกับดักให้คนตายได้เลย ตระกูลเซี่ยโห้วช่างทำให้คนป้องกันไม่ชนะจริงๆ ไม่รู้ว่าในบรรดากำลังพลคนสนิทของตัวเองจะมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่หรือเปล่า
สิ่งที่ทำให้เขาสะท้อนใจจริงๆ ก็คือ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ทั้งสองสู้กันเกือบตายแล้วจะมีความหมายอะไร?
ระหว่างทาง เมื่อพบลูกแก้วพลังปรารถนาหนึ่งพันกว่าเม็ดตามบันทึก กำลังพลกลุ่มข้างหน้าถึงได้ผ่อนความเร็วลง แล้วนำลูกแก้วพลังปรารถนาที่มีร่องรอยความเสียหายยื่นให้มือเหมียวอี้
ตอนกำลังพลที่สำรวจทางอยู่ข้างหน้านำนำลูกแก้วพลังปรารถนาที่มีความเสียหายเกินครึ่งส่งให้ เหมียวอี้ก็ยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้กำลังพลเดินหน้าต่อ
เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาไว้ในมือแล้วหลับตาลง รอยนูนแดงตรงตรงหว่างคิ้วขยายแยกออกอย่างช้าๆ แล้วก็ลืมตาขึ้นโดยตรง ดวงตาที่สามพลันยิงเสาแสงสีรุ้งระยิบระยับสายหนึ่งออกมา ตรวจไปยังดาราจักรที่อยู่ข้างหน้า
พวกเฉิงไท่เจ๋อที่ไม่รู้ความจริงตกใจมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาส่วนใหญ่ของเหมียวอี้ก็ได้เห็นเป็นครั้งแรกเช่นกันว่าท่านอ๋องมีพลังอภินิหารนี้ แต่ละคนประหลาดใจสงสัย
หยางชิ่งแอบถอนหายใจ เถิงเฟยคงจะพ้นเคราะห์ได้ยาก เขาจินตนาการได้เลย ถ้ามีแค่หนอนบ่อนไส้ปรากฏตัวข้างกายก็อาจจะล้อมเถิงเฟยไว้ไม่ได้ บริเวณรอบๆ จุดที่เถิงเฟยซ่อนตัวอยู่จะต้องมีหน่วยรักษาการณ์ลับอยู่แน่นอน ถ้าพบสิ่งที่น่าสงสัย ก็จะต้องหลบหนีต่อไปแน่ ฝั่งนี้จับตัวอีกฝ่ายที่อาณาเขตดาวนิรนามได้ยากมาก แต่คู่ต่อสู้ที่เจอกลับเป็นเหมียวอี้ที่ใช้ตาทิพย์ แล้วทีนี้จะเล่นอย่างไรได้อีกล่ะ?
ถึงแม้หยางชิ่งจะไม่รู้ว่าเหมียวอี้ได้ของพวกนี้มาอย่างไร แต่ก็เดาออกว่าใครกำลังเพิ่มต้นทุนให้เหมียวอี้อย่างเงียบเชียบ
อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ตอนนี้ การใช้ตาทิพย์ไม่ได้เปลืองแรงอะไรเลย กอปรกับระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ ทั้งยังมีการนำทาง ไม่นานตาทิพย์ก็เพ่งเจอสถานที่ซ่อนตัวของพวกเถิงเฟยแล้ว เป็นในหุบผาชันของดาวเคราะห์รกร้างตัวหนึ่ง เห็นชัดเจนแม้กระทั่งว่าข้างกายเถิงเฟยมีคนอยู่เท่าไร
ตาทิพย์เบนออกจากตรงนั้น เริ่มสำรวจอาณาเขตดาวบริเวณรอบๆ เขารู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เถิงเฟยจะกระจายสายลับเอาไว้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากตามหา เขาต้องการหาพิกัดดาวที่อยู่รอบๆ ขณะที่ค้นหาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์บันทึกลงแผ่นหยกที่อยู่ในมือด้วย
หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็เก็บเสาแสงสีรุ้งตรงหว่างคิ้ว ปิดตาทิพย์ลง หันตัวลอยไปในดาราจักร เรียกรวมแม่ทัพจากแต่ละหน่วยที่กำลังทำศึกเข้ามา แจกจ่ายพิกัดทิศทางให้แต่ละคน หลังจากอธิบายชัดเจนแล้วก็กำชับว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สายลับของฝ่ายตรงข้ามพบ ต้องอ้อมบริเวณนี้ไปค่อนข้างไกล จำไว้ หลังจากได้รับคำสั่งก็ให้เร่งไปล้อมจุดศูนย์กลางไว้ทันที หลีกเลี่ยงไม่ให้เถิงเฟยหนี ไปเถอะ ไปปฏิบัติเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!” บนนดาแม่ทัพเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นนำลูกน้องของตัวเองแยกย้ายกันอ้อมไปทางบนล่างซ้ายขวาสี่ทิศ
คนแยกย้ายกันไปห้าทิศทาง ยังมีอีกสายที่อ้อมไปด้านหลังของเป้าหมายด้วย
เมื่อคนพวกนี้ออกเดินทาง เหมียวอี้ก็เปิดใช้งานตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วอีกครั้ง จับตาดูความเคลื่อนไหวของกำลังพลทั้งห้าสาย ทั้งยังสังเกตปฏิกิริยาของพวกเถิงเฟยในหุบผาชันด้วย จะได้สังเกตเห็นได้สะดวกกว่าพวกเถิงเฟยรู้ตัวหรือเปล่า
สมาชิกที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเขาต่างก็เงียบไว้ สังเกตดูตรงหน้าเป็นระยะ บางครั้งก็แอบสำรวจตาทิพย์ข้างนั้นของเหมียวอี้
เมื่อเราไปได้สักพัก กำลังพลห้าสายก็ส่งข่าวกลับมา ชิงเยว่รายงานว่า “ท่านอ๋อง ทั้งหมดเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว”
เหมียวอี้ขานรับ แล้วส่งสัญญาณมือ ชิงเยว่ออกคำสั่งทันที ทัพใหญ่หกร้อยล้านเผยตัวออกมา ทำงานพร้อมกับกำลังพลห้าสายนั่น รวมเป็นกำลังพลหกสายที่มีจำนวนสามร้อยหกสิบล้าน มุ่งหน้าไปล้อมเป้าหมายไว้อย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้จับเขามังกร ยืนอยู่บนตัวมังกรดำ ตาทิพย์สังเกตปฏิกิริยาของเถิงเฟยอยู่ตลอด จนกระทั่งฝั่งเถิงเฟยเกิดความอลหม่าน เหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าถูกสายลับของอีกฝ่ายพบแล้ว จึงออกคำสั่งทันที “รีบล้อมให้เร็วที่สุด!”
ชิงเยว่ถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที
ส่วนเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติตต่อเถิงเฟย
ท่ามกลางความโกลาหล เถิงเฟยที่อยู่ในหุบผาชันหยิบระฆังดาราออกมา
เหมียวอี้ : พี่เถิง กระโดดขึ้นกระโดดลงอยู่ในหุบผาชันสนุกมั้ย?
เถิงเฟยตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด รีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ
เหมียวอี้ : ไม่ต้องเหลียวซ้ายแลขวา มือซ้ายถือระฆังดารา ยืนอยู่บนก้อนหินที่น้ำตาลแดงก้อนหนึ่ง ทางซ้ายมือคนยืนอยู่ห้าคน ด้านขวามีคนยืนอยู่เจ็ดคน ด้านหลังก็มีคนยืนอยู่เจ็ดคน ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าอยู่ในการจับตาดูของข้าหมดแล้ว โดนทัพใหญ่หลายพันล้านของข้าล้อมไว้หมดแล้ว เจ้ายังคิดจะหนีไปไหนอีก?
เถิงเฟยมองดูระฆังดาราในมือซ้าย ก้มมองใต้เท้าตัวเอง แล้วก็มองข้างซ้ายข้างขวาและข้างหลังอีก เขาแทบจะเหงื่อแตก รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะเข้าใกล้ตัวเองขนาดนี้โดยที่ตัวเองมองไม่เห็น แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจ้องตัวเองอยู่ไม่ไกล ข้างกายก็ไม่มีใครใช้ระฆังดาราส่งข่าวด้วย ต่อให้ใช้ระฆังดาราส่งข่าว แต่ก็ไม่น่าจะรายงานข่าวเร็วจนทันเวลาขนาดนี้สิ? ในใจเขาเริ่มหนาวจนขนลุกแล้ว ถามว่า : เจ้ารู้ได้ยังไง?
เหมียวอี้ : ไม่ทราบว่าพี่เถิงเคยได้ยินเรื่องตาทิพย์มาก่อนหรือเปล่า? ต่อไปถ้าพี่เถิงอยากเห็น น้องชายจะตั้งใจแสดงให้พี่เถิงดูเลย แน่นอน เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือในมือข้ามีทัพใหญ่หลายพันล้าน ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งพันล้านคัน พี่เถิงอยากจะตายหรืออยากจะรอดล่ะ?
ตาทิพย์? เถิงเฟยพึมพำในใจว่า ตอนนี้เห็นรางๆ แล้วว่ามีเงาของทัพใหญ่ล้อมเข้ามา
“ท่านอ๋อง เหตุใดยังลังเลอยู่อีก?” แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ถาม
เถิงเฟยโบกมือด้วยสีหน้าขื่นขม “สายไปแล้ว!”
เขาถามกลับไปทางระฆังดาราอีก : น้องชาย ตายแล้วยังไง เป็นแล้วยังไง?
เหมียวอี้ : จะรบหรือจะสร้างผลงาน พี่เถิงเลือกได้เลย ไม่มียังอื่นให้เลือกแล้ว!
เถิงเฟยเผยรอยยิ้มน่าเวทนา เขาเห็นหมียวอี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าไอ้สารเลวนั่นจะหามังกรมาขี่ได้ ไปหามาจากไหนกัน?
ทั้งยังมีเสาแสงบนหน้าผากเหมียวอี้อีก เขาเห็นแล้ว มีตาทิพย์จริงๆ…ตอนแรกเขาก็นึกว่าข้างกายตัวเองมีสายลับ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะหาที่นี่เจอได้อย่างไร? ตอนนี้ ในหัวเขาเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ยังคิดจะหลบอีกฝ่ายเพื่อรักษากำลังไว้ ผลปรากฏว่าเจอกับตาทิพย์ แบบนี้ตัวเองไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ?
หารู้ไม่ ว่าความกว้างใหญ่ของดาราจักรนี้ ตาทิพย์ของเหมียวอี้ก็ไม่อาจมองได้อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นกัน เมื่อข้ามผ่านประตูดวงดาวไปแล้ว มักจะเป็นระยะที่ตาทิพย์ของเหมียวอี้ไม่อาจมองไปถึง
พี่แต่ตอนนี้เถิงเฟยนับว่าเข้าใจแล้ว เรื่องรบไม่ต้องพูดถึงแล้ว การที่พูดคำว่า ‘สร้างผลงาน’ ออกมาได้ ความหมายก็ชัดเจนแล้ว อีกฝ่ายอยากจะฮุบกำลังพลของเขา
แน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจ ตัวเองพยายามทุ่มเทความคิดรักษากำลังเอาไว้เพื่ออะไรล่ะ?
ทว่าเมื่อเห็นกำลังพลจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆ เขายังมีทางเลือกอีกเหรอ? ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมีสิทธิ์ที่จะถามเจ้าว่า อยากจะตายหรืออยากจะอยู่
เห็นได้ชัดว่ากำลังพลของเขาจบเห่แล้ว ศึกนี้ไม่มีทางสู้ได้เลย แค่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมืออีกฝ่ายก็สามารถให้ทุกคนในกองทัพของเขาได้แล้ว
“ในบรรดาพวกเรามีหนอนบ่อนไส้ ไม่อย่างนั้นจะตามหาที่นี่เจอได้ยังไง?” มีคนมองไปรอบๆ พร้อมตะโกน
เถิงเฟยถอนหายใจแล้วโบกมือ “ไม่เกี่ยวอะไรกับหนอนบ่อนไส้ เห็นดวงตาที่สามบนหน้าผากไอ้สารเลวนั่นหรือยัง มันคือตาทิพย์!”
ในจำนวนนั้น ลั่วฉางเฟิงที่ทำหน้าตึงแต่ในใจรู้สึกกินปูนร้อนท้องสุดๆ เขาชำเลืองไปที่เหมียวอี้แวบหนึ่ง นับว่าโล่งใจแล้ว
อำนาจที่อยู่ที่เบื้องหลังบอกเขาว่าไม่ต้องหนี บอกว่าจะแก้ไขสถานการณ์ให้เขา ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจความหมายแล้ว ตาทิพย์?
“ตาทิพย์?” คนอื่นๆ ก็จ้องดวงตาที่เป็นเสาแสงสีรุ้งยิงจากเหมียวอี้เช่นกัน
เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ให้พวกเขาเชยชมไม่จบไม่สิ้นเช่นกัน เขาปิดดวงตาทิพย์ คาดว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายคงเห็นแล้ว เขาก็แค่อยากจะปกป้องสายลับเท่านั้นเอง รู้ว่าการที่สายลับทิ้งร่องรอยไว้ตลอดทางนั้นเสี่ยงอันตรายมาก คนคนนี้มีผลงาน! ถ้าสามารถฮุบกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านนี้ไว้ได้อย่างราบรื่น ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่มาก!
เถิงเฟยพูดต่อว่า”หนิวโหย่วเต๋อถามว่าพวกเราจะสู้หรือจะยอมแพ้!”
บรรดาแม่ทัพทำสีหน้าแตกต่างกันไป มีคนไม่น้อยก้มหน้าเงียบๆ…
…………………………
พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท