บทที่ 342 ใจเต้นอย่างอธิบายไม่ได้
บทที่ 342 ใจเต้นอย่างอธิบายไม่ได้
หลังจากพูดคุยเรื่องนี้แล้ว ฉินเย่จือก็พยักหน้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “นี่เป็นวิธีที่ดี ท่านลุงจางและคนอื่น ๆ เกรงว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอู๋ซีแห่งนี้ไปตลอดชีวิต หากพวกเขาทำให้หัวหน้าหมู่บ้านและชาวบ้านขุ่นเคือง ข้าเกรงว่าในอนาคตจะต้องเดือดร้อนอีกแน่”
กู้เสี่ยวหวานตอบรับ และรีบไปบ้านลุงจางในเวลากลางคืนเพื่อแบ่งปันความคิดของนางแก่พวกเขา ลุงจางไม่ใช่คนขี้เหนียวและขาดความเมตตา แม้ว่าพวกเขาจะหาเงินได้ด้วยตนเอง แต่ในใจก็ยังคิดว่าพวกเขาได้เอาทรัพย์สินของหมู่บ้านไปและต้องการคืนให้กับหมู่บ้าน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตกลง “ตกลง สาวน้อยเสี่ยวหวาน พรุ่งนี้พวกเราไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพูดคุยด้วยกันเถอะ”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือกลับบ้าน แต่คืนจัทร์เต็มดวงได้ผ่านไปแล้ว ข้างนอกจึงไม่มีแสงอะไรเลยแม้แต่น้อยและมันก็มืดมาก ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินกลับ ฉินเย่จือก็ถือตะเกียงและมีกู้เสี่ยวหวานตามติดอย่างใกล้ชิด
ลมหนาวพัดมาอย่างกะทันหัน ลมนั้นพัดผ่านช่วงคอของกู้เสี่ยวหวาน จึงทำให้นางหนาวสั่น
“เป็นอะไรไป?” ฉินเย่จือมองกู้เสี่ยวหวานอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่านางจะล้มลงไป และเมื่อเขาเห็นว่านางตัวสั่นจึงรีบเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินจึงรีบส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไร แค่หนาวนิดหน่อย”
เมื่อฉินเย่จือได้ยินจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาเปลี่ยนมือที่ใช้ถือตะเกียงจากมือขวาไปมือซ้าย จากนั้นจึงถือโอกาสใช้มือข้างที่เหลือกุมมือซ้ายของกู้เสี่ยวหวานไว้
กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงครู่หนึ่ง และยืนนิ่งอยู่กับที่พลางเงยศีรษะขึ้นมองไปที่ฉินเย่จือด้วยสีหน้าสับสน
นี่คือการจับมือใช่หรือไม่?
โตมาขนาดนี้ นางยังไม่เคยจับมือกับผู้ชายมาก่อนเลย?
สายตาของนางมองสลับไปมาระหว่างมือและใบหน้าของฉินเย่จือด้วยสีหน้าที่สับสน
ฝ่ามือของฉินเย่จือใหญ่และมีความหยาบกร้านอยู่เล็กน้อย ในตอนที่เขาจับมือของกู้เสี่ยวหวานไว้นั้น ความอบอุ่นจากฝ่ามือก็ทำให้ร่างกายของนางอบอุ่นขึ้น
นางรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูกและนางก็ไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป แม้ลมหนาวในยามค่ำคืนจะพัดผ่านใบหน้าก็ตาม
นางมองไปที่ฉินเย่จือ และฉินเย่จือก็มองมาที่นาง
ภายใต้แสงสลัวของตะเกียงจึงทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกแปลก ๆ และเมื่อนางกลับมารู้สึกตัวก็พบว่าตนเองมีความรู้สึกดี ๆ ให้ชายหนุ่มตรงหน้าที่มีอายุมากกว่าตนเองหกถึงเจ็ดปี ตัวของกู้เสี่ยวหวานก็เปลี่ยนเป็นสีแดงตั้งแต่หัวจรดเท้า
โชคดีที่แสงของตะเกียงไม่ได้สว่างมากนักจึงทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
นี่นางกำลังคิดอะไรอยู่? กู้เสี่ยวหวานอยากจะตบบ้องหูตัวเองสักที
นางเพิ่งอายุสิบขวบเองนะ?
เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่ตนเองมีความคิดแปลก ๆ
แม้ว่าร่างกายของนางจะอายุสิบขวบ แต่จิตใจของนางอายุเกือบสามสิบปีแล้ว
กู้เสี่ยวหวานทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกเมื่อสักครู่นี้ของนางรู้สึกได้ถึงความต่างออกไปจริง ๆ
นางไม่เคยใจเต้นกับใคร จึงไม่รู้ว่าการใจเต้นนั้นมีความรู้สึกเช่นไร
ไม่เคยเห็นหมูวิ่ง แต่กลับเคยกินเนื้อหมู*[1]
ในโทรทัศน์และนิยายได้ถ่ายทอดความรู้สึกใจเต้นออกมา
มันจั๊กจี้คล้ายกับการที่มีกรงเล็บของลูกแมวมาข่วนใจ
กู้เสี่ยวหวานกัดฟันแน่นและรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย นางไม่มองหน้าฉินเย่จืออีกต่อไปและต้องการดึงมือที่เขาจับเอาไว้ออกมา แต่ฉินเย่จือกลับจับไว้แน่นเสียจนนางไม่มีโอกาสจะดึงให้หลุดเลย
“ปล่อยมือนะ!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวออกมาอย่างโกรธเคือง “เจ้ากำลังทำอะไร?”
ฉินเย่จือไม่เคยเห็นกู้เสี่ยวหวานตกใจและโกรธเช่นนี้มาก่อน มันเหมือนกับแมวเชื่องที่ถูกรังแกจนเพิกเฉยต่อไปไม่ไหวและระเบิดอารมณ์ออกมา
ปากของฉินเย่จือโค้งขึ้นอย่างสวยงามและแอบขบขัน แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา “เป็นอะไรไป? ที่นี่มืดและมีลมแรง ข้ากลัวว่าเจ้าจะหนาวและกลัวว่าเจ้าจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ข้าจึงจะจับมือเจ้าเดินไปด้วยกันอย่างไรล่ะ!” หลังจากที่เห็นกู้เสี่ยวหวานหลบตาสองสามครั้ง เขาก็เริ่มหยอกล้ออีกครั้ง “เป็นอะไรหรือ? มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”
กู้เสี่ยวหวานส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่มี ๆ รีบไปกันเถอะ!”
ฉินเย่จือตอบรับเบา ๆ กู้เสี่ยวหวานที่ได้ยินก็อยากจะฟาดตัวเองสักที
ตอนนี้นางอายุยังน้อยอยู่ ทำไมถึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้ ถ้าคนผู้นี้รู้เข้าเกรงว่าเขาจะหัวเราะเยาะตนเองเป็นแน่
เมื่อนึกถึงในตอนนั้นที่เขาเคยล้อเลียนว่านางหน้าตาไม่ดี กู้เสี่ยวหวานก็โกรธมาก ในโลกนี้มีกี่คนที่ดูดีกว่าเขาบ้างล่ะ!
“ชั่วร้ายจริง ๆ!” กู้เสี่ยวหวานพึมพำ ด้วยลมยามกลางคืนที่พัดแรงและเสียงของนางที่เบา เดิมทีนางคิดว่าฉินเย่จือจะไม่ได้ยิน แต่นางไม่คาดคิดว่ามุมปากของฉินเย่จือจะโค้งมากขึ้นไปอีก แต่เขากลับแสร้งไม่เข้าใจและเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เสี่ยวหวาน เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
กู้เสี่ยวหวานกลอกตาใส่เขาหนึ่งทีอย่างหมดคำจะพูด “ไม่มีอะไร รีบไปกันเถอะ!”
ฉินเย่จือจับมือกู้เสี่ยวหวานและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ด้วยการจับมือฉินเย่จือทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ว่าทางข้างหน้าจะขรุขระหรือจะมืดแค่ไหน แต่มือของฉินเย่จือที่อบอุ่นกุมมือของนางไว้ ทำให้หัวใจของกู้เสี่ยวหวานที่ผ่านขวากหนามมาเป็นเวลานานได้รับการปลอบโยนไปชั่วขณะหนึ่ง
ฉินเย่จือรับรู้ได้ถึงความในใจของกู้เสี่ยวหวาน และรอยยิ้มในดวงตาของเขาสว่างไสวกว่าดวงดาวเสียอีก
ระหว่างทางทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก แต่ความอบอุ่นที่ฝ่ามือก็ค่อย ๆ ทำให้หัวใจของกู้เสี่ยวหวานอบอุ่นไปด้วยเช่นกัน
วันรุ่งขึ้น ป้าจาง ฉือโถว กู้เสี่ยวหวาน และคนอื่น ๆ ถือตะกร้าขนมและไข่ไก่ยี่สิบฟอง อีกทั้งกู้เสี่ยวหวานยังนำผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าไหมสองผืนไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงด้วยกัน
ในตอนแรกกู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการไปที่นั่น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวอี้ในคราวนั้นทำให้นางรู้สึกแย่กับหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงมาก ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงทำ ไม่เป็นไปตามความรับผิดชอบของหัวหน้าหมู่บ้านเลย แม้ว่าในใจของนางจะไม่ชอบ แต่เพื่อเรื่องของครอบครัวจาง ไม่ว่าอย่างไรกู้เสี่ยวหวานก็ต้องไปกับพวกเขา
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงไม่เคยช่วยเหลือพวกนาง แต่ลุงจางและป้าจางไม่เคยหยุดช่วยเหลือพวกนางเลย!
กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ มาที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน และบังเอิญว่าภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ที่ห้องโถงพอดี แต่เมื่อนางเห็นพวกกู้เสี่ยวหวานเข้ามาก็มีสีหน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันที
ในตอนนั้นกู้เสี่ยวหวานอยู่ที่นี่และบังคับให้นางพาเหลียงต้าเปาออกมา ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านยังคงจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ ดังนั้นนางจึงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “สาวน้อยกู้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ท่านป้า พวกเรามาคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน” กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ต้องขอโทษด้วย สามีของข้าป่วย ตอนนี้กำลังนอนอยู่ในบ้าน ถ้ามีเรื่องอะไรก็มาวันอื่นเถอะ!” ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านชักสีหน้าและขับไล่พวกนางอย่างเย็นชา
*[1] หมายถึง ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องต่าง ๆ มาก่อน แต่เคยได้ยินหรือได้เห็นมาบ้าง จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ เพียงเล็กน้อย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หัวหน้าเหลียงและชาวบ้านน่าเกลียดไปหรือเปล่า อยากได้เงินก็ไปข่มขู่ผู้อื่นอย่างนี้น่ะเหรอ?
ไหหม่า (海馬)