บทที่ 363 มื้อดึก
บทที่ 363 มื้อดึก
“จานนี้ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร!” เฉาซื่อเรออีกครั้งและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“หมูตุ๋นนี้เนื้อน้อยเกินไป กินแล้วมันติดฟัน” เฉาซื่อเริ่มตำหนิ “ปลาตัวนี้ยังมีกลิ่นคาวโคลน ไม่อร่อยสักนิด และอันนี้ก็ทอดนานเกินไป…”
เฉาซื่อทำเป็นเก่งในเรื่องนี้ และเริ่มวิจารณ์เกี่ยวกับอาหารบนโต๊ะโดยไม่สนใจใบหน้าที่มืดหม่นลงเรื่อย ๆ ของซุนซื่อ
นี่เป็นอาหารที่เมื่อวานนางใช้เวลาเตรียมของทั้งวัน ตั้งแต่บ่ายของเมื่อวันจนถึงบ่ายของวันนี้ นางทำอาหารออกมาเต็มโต๊ะ แต่ตอนนี้เฉาซื่อกลับบอกว่ามันไร้ค่า
กู้ซินเถาที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวอย่างไม่พอใจแทนซุนซื่อ “ท่านอา อาหารจานนี้ไม่อร่อย แต่ท่านกลับกินไม่เหลือแม้แต่คำเดียวเลยนะ!”
เมื่อกู้ฉวนลู่เห็นเฉาซื่อตำหนิอาหารของซุนซื่อ เขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เฉาซื่อผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง เมื่อมองดูรูปลักษณ์ตอนนี้ของนางในฐานะผู้หญิงในชนบท นางไม่รักษาภาพลักษณ์ใด ๆ เลยสักนิด ไม่น่าแปลกใจเลยที่กู้ฉวนโซ่วจะอยากหย่ากับนาง
“ข้าก็แค่พูด เจ้าไม่เห็นจะต้องมาใส่อารมณ์เช่นนี้เลย!” เฉาซื่อเหลือบมองกู้ซินเถา แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “จานนี้ปรุงไม่สุกดีก็ไม่อนุญาตให้พูดอย่างนั้นหรือ!”
เฉาซื่อมีสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม และดูเหมือนว่าคนที่ทานอาหารบนโต๊ะเมื่อครู่จะไม่ใช่ตัวนางเอง และนางก็ดูรังเกียจมัน
ซุนซื่อรู้สึกไม่สบายใจ อาหารเหล่านี้นางทำออกมาอย่างตั้งใจ เมื่อนางมองไปที่กู้ฉวนลู่ เขาก็กำลังมองไปที่เฉาซื่อด้วยท่าทางไม่พอใจ
ในเวลานี้ ซุนซื่อกล่าวว่า “ถ้าเจ้าทำอาหารอร่อย หลังจากนี้เจ้าก็ทำอาหารเองแล้วกัน ตั้งแต่พรุ่งนี้เริ่มไปเยี่ยมญาติ ถ้าญาติมา เจ้าก็รับผิดชอบในการทำอาหารแล้วกัน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉาซื่อก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สะใภ้ ท่านล้อเล่นหรือ ข้าก็ต้องกลับไปบ้านพ่อแม่เช่นกัน แล้วปีใหม่แล้วข้าจะมีเวลาทำอาหารได้อย่างไร!”
กู้ซุ่นสีที่อยู่ข้าง ๆ ก็กล่าวว่า “ท่านแม่ หมูตุ๋นติดฟันของข้า” หลังจากเอาเศษหมูออก กู้ซุ่นสีก็พึมพำ “หมูตุ๋นนี้ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของที่พี่เสี่ยวหวานทำเลย!”
กู้ซินเถาที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินแล้วจึงตำหนิอย่างดุดัน “กู้ซุ่นสี เจ้ากำลังพูดถึงอะไร! ถ้าใครทำอาหารอร่อย เจ้าก็ไปกินกับมันเสียสิ จะมากินที่บ้านของข้าทำไม พวกข้าก็ไม่ได้ขอให้มาเสียหน่อย”
กู้ฉวนลู่พ่นลมหายใจและเหลือบมองไปที่กู้ซินเถา เมื่อนางเห็นเช่นนั้นจึงรีบหุบปากทันที
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า และบ้านของเฉาซื่อก็ไม่มีอาหาร พวกนางจึงมาที่นี่เพื่อรับประทานอาหาร อย่างไรก็ตาม เฉาซื่อมีนิสัยแย่เกินไปหน่อย กินก็กินแล้ว ดื่มก็ดื่มแล้ว หลังจากอิ่มแล้วก็ยังมาบอกว่าพวกเขาทำอาหารได้ไม่ดีอีก
“เฉาซื่อ ซุ่นสีเพิ่งพูดว่าอะไรนะ?” กู้ฉวนลู่จ้องที่เฉาซื่อและเอ่ยถาม
“สองวันมานี้ เด็กเหล่านี้ไปบ้านกู้เสี่ยวหวานเพื่อกินข้าวไม่ใช่หรือ? เกรงว่าอาหารที่บ้านกู้เสี่ยวหวานคงจะถูกปาก” ซุนซื่อที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะออกมา แต่คำพูดของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา
ดวงตาของซุนซื่อค่อย ๆ เย็นชาลง ก่อนที่เฉาซื่อจะกลับมา ซุนซื่อรู้ว่าพวกกู้ซุ่นสีไปกินข้าวที่ไหน พวกเขาเอาชามใบใหญ่ออกไปวันละสามรอบและกลับมาหลังจากนั้นสักพัก ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในชาม ต่อมาซุนซื่อก็เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามจนรู้ว่าพวกเขาไปบ้านของกู้เสี่ยวหวานมา
ซุนซื่อจึงไม่สนใจอีกต่อไป ครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานก็ต้องกินข้าว และกู้เสี่ยวหวานที่เป็นพี่โตสุด ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะรู้วิธีทำอาหาร ดังนั้นซุนซื่อจึงไม่ใส่ใจ อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้คิดว่ากู้ซุ่นสีจะบอกว่ากู้เสี่ยวหวานปรุงอาหารได้ดีกว่านาง
เมื่อมองไปที่กู้ถิงถิงและเฉาซื่ออีกครั้ง เฉาซื่อก็มีสีหน้ารังเกียจเช่นกัน ดูเหมือนว่านางคงจะกินอาหารจากบ้านของกู้เสี่ยวหวานในตอนเที่ยงวันนี้ด้วย
“พี่สะใภ้ คำพูดของเขาไม่ผิด อาหารบ้านกู้เสี่ยวหวานอร่อยจริง ๆ หมูตุ๋นชิ้นอวบอ้วนแต่ไม่เลี่ยน ละลายในปาก แถมยังอร่อย ไม่เหมือนกับที่ท่านทำเลยสักนิด แถมยังติดฟันอีกด้วย” เสียงของเฉาซื่อเบาลงเรื่อย ๆ เพราะนางสังเกตเห็นว่าใบหน้าของกู้ฉวนลู่เริ่มบึ้งตึงขึ้นเรื่อย ๆ
“ฉวนโซ่วล่ะ? เหตุใดเขาถึงไม่กลับมาในวันส่งท้ายปีเก่านี้?” กู้ฉวนลู่บ่นอย่างเย็นชา
ครั้นเฉาซื่อได้ยินเรื่องนี้ นางก็ร้องไห้ออกมาทันทีและตะโกนบอกกู้ฉวนลู่ “ท่านพี่ใหญ่ ข้าไม่ทราบว่าฉวนโซ่วหายไปไหนถึงยังไม่กลับบ้าน และไม่มาฉลองปีใหม่ด้วยกันอีก ท่านลองพูดมาสิว่าตอนนี้มีตรงไหนบ้างที่เหมือนครอบครัวเดียวกัน!”
เฉาซื่อคับแค้นใจ และน้ำหูน้ำตาพลันไหลทะลัก
กู้ฉวนลู่และซุนซื่อมองหน้ากัน และดูเหมือนว่าเฉาซื่อจะไม่รู้ว่ากู้ฉวนโซ่วไปที่หอนางโลม นี่เป็นวันส่งท้ายปีเก่าและทุกคนต้องกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว หอนางโลมก็คงปิดด้วย แต่เหตุใดกู้ฉวนโซ่วยังไม่กลับมาอีก?
กู้ฉวนลู่ที่เห็นการร้องไห้ของเฉาซื่อ ขณะที่เขากำลังจะกล่าวออกมาก็มีเสียงมาจากข้างนอก “ท่านพี่ใหญ่ ท่านพี่สะใภ้ ท่าน…พวกท่านกลับมาแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียงก็มีร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้ปีกฝั่งตะวันตก
ก่อนที่เขาจะเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นเหล้าโชยมาจากตัวเขา ซึ่งนั่นทำให้กู้ฉวนลู่เวียนหัว
เมื่อเฉาซื่อเห็นกู้ฉวนโซ่วกลับมา นางทั้งโกรธทั้งเกลียดชัง จึงรีบคว้าแขนเสื้อของกู้ฉวนโซ่วไว้และก่นด่า “กู้ฉวนโซ่ว ยังรู้จักกลับมาอีกหรือ!”
ทันทีที่กู้ฉวนโซ่วได้ยินเสียงของเฉาซื่อ เขาก็สะบัดแขนอย่างรุนแรงทันที เฉาซื่อที่ถูกเหวี่ยงจนเซถอยหลังไปสองสามก้าว ดวงตาของเขาแดงก่ำและใช้มือขวาชี้ไปที่เฉาซื่อพลางตะโกนอย่างหยาบคาย “เฉาซินเหลียน เจ้าอย่ามาแตะต้องตัวข้า”
ใบหน้าของกู้ฉวนโซ่วขึ้นสีแดง และเดินโซซัดโซเซ ไม่รู้ว่าไปดื่มสุรามาจากไหน
เมื่อกู้ฉวนลู่เห็นว่ากู้ฉวนโซ่วกลับมาหลังอาหารเย็นในคืนที่สามสิบของวันส่งท้ายปีเก่า และยังคงมีกลิ่นสุราโชยมาจากตัวอีก เขาจึงกล่าวอย่างไม่ชอบใจในทันที “ฉวนโซ่ว เจ้าไปกินข้าวที่ไหน เหตุใดถึงเมามายเช่นนี้!”
“ท่านพี่ใหญ่ ข้ามีความสุขมากเลยดื่มไปอีกสองแก้ว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” กู้ฉวนโซ่วยังคงเคารพพี่ชายของเขา “ท่านพี่ใหญ่ ข้าจะกลับไปที่ห้องก่อน ท่านพี่สะใภ้ พวกท่านกินให้อร่อย กินให้อร่อยนะ”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็เดินโซซัดโซเซออกไปโดยไม่สนใจเฉาซื่อและลูกทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ราวกับว่าเขาไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซุนซื่อก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเห็นว่ากู้ฉวนโซ่วไปแล้ว เฉาซื่อก็ยังไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อยและตามเขาออกไปต่อว่าด้วยความโกรธ “กู้ฉวนโซ่ว เจ้าไปตายที่ไหนในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา”